ก็แค่อยากให้

4 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 13 มิถุนายน 2010 เวลา 12:21 (เย็น) ในหมวดหมู่ วิจัยเชิงคุณภาพ งานวิจัยที่ทำ #
อ่าน: 2237

 

      มีเรื่องหนึ่งที่คิดขึ้นมาได้  เป็นเรื่องอุปนิสัยส่วนตัวซึ่งทำไปโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้สึกตัวว่าแปลกจากคนอื่น แต่เพื่อนบางคนเห็นแปลก และชี้ให้เห็น

       ตามปกติมักจะพกเศษสตางค์และแบงก์ย่อย ๆ ไว้ในกระเป๋ากางเกง กระโปรง หรือกระเป๋าที่ติดตัวเสมอ เนื่องจากมักจะหาของไม่ค่อยเจอยามเร่งรีบ บางทีก็ลืมกระเป๋าเงิน และบ่อยครั้งที่ถูกล้วงกระเป๋า

สมัยทำงานที่รพ.ศิริราช มักไปเดินหาของกินของใช้ที่  ”วังหลัง” ซึ่งมีคนพลุกพล่านและชุกชุมด้วยนักล้วงกระเป๋า จะโดนล้วงกระเป๋าบ่อยเสียจนชิน หนัก ๆ เข้า ก็เลยไม่ใส่เงินไว้ในกระเป๋าเงินมาก ๆ  เคยได้รับบัตรต่าง ๆ ในกระเป๋า (ที่ถูกล้วงไป)คืนทางไปรษณีย์ หลายครั้ง จนครั้งหลังสุดมีลายมือโย้ ๆ เย้ ๆ เขียนแนบมาว่า … “ระวังหน่อยนะ อย่าพกบัตรไว้ในกระเป๋ามาก ๆ หายไปแล้วลำบากไหม!!!”

สันนิษฐานได้ว่าคนล้วงก็จะเป็นคนเดิม ๆ ที่ล้วงกระเป๋าเราเป็นประจำ หลาย ๆ ครั้งเข้าถึงกับอิดหนาระอาใจ ทำไมมันซุ่มซ่าม ปล่อยให้ล้วงกระเป๋าได้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ อย่างนี้นะ ส่งบัตรคืนให้หลายครั้งแล้ว…ชักเบื่อแล้วนะ (ฮา ๆ)

        เมื่อมีเศษสตางค์ในกระเป๋ากางเกง ล้วงง่ายหยิบง่าย คราวนี้เมื่อเจอคนขอเงิน ขอทานอยู่ที่ไหน ก็มักจะล้วงให้อย่างสบายใจ จนล้วงกระเป๋าแล้วไม่มีเศษสตางค์เมื่อไหร่ก็เลิกให้…จบกัน  ทำอยู่เช่นนี้เรื่อยมา หลัง ๆ เพื่อน ๆ ที่เดินด้วยก็จะบอกว่า ไม่ควรให้ เพราะเป็นการส่งเสริมให้เขาไม่ทำมาหากิน เสียนิสัย แล้วเดี๋ยวนี้ขอทานก็มักเป็น “ต่างชาติ” มาเป็นแกงค์ขอทาน ทำกันเป็นอาชีพ เป็นล่ำเป็นสัน เราให้เพราะเราสบายใจ คิดว่าได้บุญ (คิดว่าตัวเองทำดี ให้ทาน เป็นนางเอกหรือไง) แต่ความจริงกลับได้บาป เพราะทำให้เขาไม่คิดพึ่งตัวเอง ยิ่งเอาเด็ก ๆ (ที่ไร้เดียงสา) ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มานั่งขอทานด้วย แย่ไปอีก แล้วยังว่าตามหลักเศรษฐศาสตร์มหภาค จะทำให้เกิดแรงงานแฝง ทำลายระบบเศรษฐกิจโดยรวมอย่างแรงร้าย…

 โดยสรุปแล้ว ไม่ควรให้เงินขอทาน ถ้าจะช่วย ควรช่วยให้เขาได้พึ่งตนเองอย่างยั่งยืนและมีศักดิ์ศรี มากว่าให้ตามกิเลสของตัวเองที่อยากให้!!!

 

ฟังเหตุผลของเพื่อนแล้วก็ร้องโอย…

    …ช่างคิดกว้างคิดไกลจริง ๆ เพื่อนเอ๋ย เรานี่ทำไปตามระบบประสาทอัตโนมัติ (มีสิ่งเร้าก็ตอบสนองไป)ไม่ได้คิดอะไรถึงผลดีผลเสียผลได้อะไรเลย หลัง ๆ พอจะควักเศษสตางค์ให้ขอทานก็หยุดนิดหนึ่ง แต่ก็ทำเหมือนเดิม … โธ่เอ๋ย ก็ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ตาดำ ๆ รออยู่อย่างมีความหวัง ให้มากให้น้อยก็ไม่เคยบ่นด้วย ให้เหอะ บาทสองบาทเองน่ะ…

มาย้อนคิว่าอะไรทำให้เราทำพฤติกรรมซ้ำ ๆ แบบนั้น ทั้งที่ก็เห็นก็รู้ก็ตระหนักผลดีผลเสียทั้งภาพใหญ่ภาพย่อยที่เพื่อนชี้ให้เห็นนั้นแล้ว ยอมรับว่าไม่ควรเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเร่งกระบวนการนำคนและเด็ก ๆ มาขอทาน พอเจอสถานการณ์เดิม ก็…ทำแบบเดิมอีก แล้วยังสามารถหาเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ สนับสนุนความคิดความเชื่อ สร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำของตัวเองได้เป็นตุเป็นตะ หลอกตัวเองด้วยการแก้ตัวอ้อม ๆ แอ้ม ๆ ว่า…ฉันก็แค่ให้สิ่งเล็ก ๆ ที่ฉันให้ได้ ไม่เดือดร้อน ก็แค่ให้น่ะ ไม่ได้คิดอะไรมากมายสักหน่อยเลย (ให้เพราะอยากให้ เห็นว่าควรให้ความช่วยเหลือไม่ได้หรือไงเล่า)

 

         ไปอ่านเจอเรื่อง Mental model (ทฤษฏีรูปแบบความคิด/รูปแบบความเชื่อฝังใจ) ของ Kenneth James Williams Craik (K.J.W. Craik) (1914-1945) ซึ่งกล่าวโดยรวมสรุปย่นย่อ ก็คือ รูปแบบความคิด ที่เป็นพื้นฐานของพฤติกรรมมนุษย์ เป็นกระบวนการของความคิดที่ส่งผลต่อการมีปฏิสัมพันธ์ของบุคคลต่อคนอื่น สิ่งแวดล้อมรอบตัว และการมองโลก เป็นความคิดรูปแบบที่ฝังใจ เป็นความเชื่อของบุคคล  Mental model ยังส่งผลดีคือทำให้บุคคลมีความมุ่งมั่น กระตือรือร้น เพราะมีภาพความคิดความเชื่อที่ชัดเจนและฝังใจในการจะไปสู่เป้าหมายของตน

แต่…ในขณะเดียวกันก็มีข้อควรระวังคือ การมีภาพความคิดความเชื่อที่ฝังใจนี้ หากเป็นสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์ ไม่ถูกต้องเที่ยงตรง หรือขัดแย้งกับค่านิยมของสังคมที่ตนอยู่แล้ว ก็อาจส่งผลเสียทั้งในระดับบุคคลและสังคมได้

 

        Mental model นี้จึงน่าจะใช้สำหรับทำความเข้าใจและวิเคราะห์พฤติกรรมต่าง ๆ ที่แตกต่างไปจากเกณฑ์ปกติที่สังคมนิยมกัน (ไม่หมายรวมถึงบางพฤติกรรมบางสังคมถือว่าดี ยอมรับได้ แต่ในบางสังคมกลับเป็นสิ่งที่เสียมรรยาทอย่างร้ายแรง ยอมรับไม่ได้เลยก็มี) ว่าดีว่าถูกต้องหรือไม่ดีไม่ถูกต้อง

       คิดได้แล้วก็ยิ้ม…เข้าใจขึ้นมาว่า ที่คนเราคิดต่าง เห็นต่าง พูดต่าง ทำต่างกันไปอย่างที่บางทีเราไม่เข้าใจเขาหรือเขาไม่เข้าใจเรา ก็เพราะต่างมีกรอบของ Mental model นี้มาต่างกันนั่นเอง  นึกต่อไปว่า สำหรับในเด็กอายุไม่เกิน 8 ปี ซึ่งเป็นช่วงของการสร้างระบบ Mental model เราคงต้องระวัง เพราะหากมีการสร้างกรอบความคิด/ความเชื่อที่ผิด ๆ หรือบิดเบี้ยวแล้ว ก็ให้น่าเป็นห่วงและเป็นอันตรายมากทั้งต่อตัวเขาเองในฐานะปัจเจกชนและต่อสังคมโดยรวม

        แล้วไม่ใช่เพราะเจ้า กรอบความคิด/ความเชื่อที่บิดเบี้ยว ไม่ตรงกับความเป็นจริงนี่หรอกหรือ ที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมอย่างที่เราคาดไม่ถึงมาแล้ว

 

แค่เรื่องอยากจะให้นี่…คิดต่อไปยาวเสียจริง…

 


ที่เรียกว่า…ชีวิต

4 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 12 มิถุนายน 2010 เวลา 11:16 (เช้า) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2069

 

 

หาก… “ชีวิต” เปรียบได้กับ”การเดินทาง”

 

เราต้องเดินทางไปตาม “เส้นทางชีวิต”

บางครั้งเส้นทางราบเรียบ รื่นรมย์ สดใส สวยงาม

บางคราเส้นทางขรุขระ ขมขื่น มืดมน น่าเกลียด

 

บางทีเราอาจเลือกเส้นทางได้ตามใจ…ที่อยากให้เป็น

หลายทีเราไม่อาจเลือก…เส้นทางที่เราเผชิญนั้นเราไม่ชอบ

 

“ชีวิตเป็นเรื่องยากลำบาก”

 ทุกครั้งที่เอ่ยอ้างและระลึกถึงประโยคนี้ คนที่ได้ฟังจะร้อง โอย…มองโลกแง่ร้ายเสียจริงนะ

และความคิดลึก ๆ ในจิตใต้สำนึกของตัวเอง ก็เห็นด้วยกับข้อความที่คนอื่นว่านั้นเสียด้วยซี…

 

คิดว่า ยากลำบาก เป็นทุกข์… มันก็เป็นเช่นนั้นตามที่คิด

คิดว่า สนุกสบาย เป็นสุข… มันก็เป็นเช่นนั้นตามที่คิด

 ชักจะสับสนแฮะ… ตกลงมันเป็นไงกันแน่

 

ขี้เกียจถามใครต่อใครแล้ว ถามไปก็เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง ก็เวียน ๆ วน ๆ อาจผ่านความรู้สึกนั้นมาได้ แล้วก็จะวนเข้าสู่ วัฏจักรเดิมอีก ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ซ้ำอีก ซ้ำซาก

 ถามและตอบตัวเองนี่ล่ะ…

ใช่หรือไม่ที่ว่า ผู้คนล้วนทุกข์ เจ็บปวด สับสน และซ่อนเร้นสิ่งที่เป็นบาดแผลอยู่ในใจ

 

       ทุกวันเราอาจหลอกล่อตัวเอง ด้วย กิจกรรมต่าง ๆ หนังสือ ดนตรี อาหาร การท่องเที่ยว เปลี่ยนสถานที่แปลกใหม่ ผู้คนที่เราได้พบ … เป็นการเปลี่ยน “อิริยาบถ” เพื่อบดบัง “ความทุกข์หรือความยากลำบาก” ให้เราได้ “ผ่อน” และ “ผ่าน” ความทุกข์ยาก อันเป็นสัจธรรมของชีวิต ทุกคนล้วนดิ้นรนเพื่อให้พ้นจากบ่วงความยากลำบากด้วยนานาวิธีการ 

เรามักเกลียดทุกข์…รักความสุข

 แต่… ในที่สุดแล้ว “ความเปล่ากลวง” อันเป็นผลจากความทุกข์ ก็ยังคงอยู่กับเรา เราไม่สามารถเติมเต็มสิ่งที่ขาดพร่องในใจได้ด้วยอะไรเลย…

 และหากเรามุ่งหมายที่จะค้นหา “สิ่ง” ที่จะมาเติมเต็ม ความเปล่ากลวงนั้น เราคงต้องใช้เวลากับสิ่งนั้นเกือบทั้งชีวิตเป็นแน่

 เราเป็นใครกัน จะเปลี่ยนสัจจะนั้น…

ถ้าอย่างนั้น...ก็ยอมรับมันเสียไม่ดีหรือ ก็มันเปล่ากลวง ก็มันเป็นความยากลำบาก ก็มันเป็นเช่นนั้นอยู่ชั่วกาลนานมาแล้ว ยอมรับเส้นทางที่ดูเหมือนจะเจ็บปวด ไม่น่าอภิรมย์ เพื่อการงอกงามและเติบโต ซึ่งเป็นเส้นทางแห่งปัจเจก ของใครก็ของใคร เหมือน-ต่างไปตามบริบทชีวิต…

  

         ดังนั้นแล้ว  หน้าที่ของเราที่ทำได้ก็คือ การยอมรับ เรียนรู้ บ่มเพาะ สร้างสมดุลเพื่อการเติบโตงอกงามของจิตวิญญาณโดยการใช้ “ความรัก” เป็นเครื่องมือ ดังที่ นพ.เอ็ม.สก็อต เปค จิตแพทย์ผู้เขียนหนังสือขายดีเรื่อง The Road Less Traveled (วิทยากร เชียงกูลแปลในชื่อภาษาไทยว่า “บทเรียนชีวิตทีจิตแพทย์อยากบอกให้โลกรู้”)  เป็นหนังสือที่น่าอ่านและอ่านสนุกเล่มหนึ่งดังที่คุณ Logos แนะนำไว้

 

รู้สึกเบิกบาน (แบบไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ) ถามตัวเองซะอีกคำถามหนึ่งว่า….

แล้วเธอ…กล้าพอหรือยังที่จะก้าวไปบนเส้นทางชีวิตที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เลือกนั้น?

กล้าไหมล่ะ?

M172964 

 


จัดแจงแต่งหน้า

6 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 10 มิถุนายน 2010 เวลา 10:23 (เช้า) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 2478

 

ขำ ๆ เจ้าหลานสาว สาวน้อยที่เพิ่งเข้าสู่วัยรุ่น…

 

        เมื่อวันก่อน สาวน้อยวัยย่าง 13 ปี เดินหน้ามุ่ยเข้ามาหา… บอกว่าเสาร์นี้นัดกับเพื่อนเก่า  จะไปเที่ยวสยามกัน  เพื่อน ๆ นัดกันว่าให้แต่งชุดออกสีเขียวกับชมพู (ดี ๆ หวานแหวว) รองเท้าดำ ซึ่งก็ไม่มีปัญหา คุณแม่อนุญาต แต่ที่มีปัญหาคือ เพื่อนบอกให้ “แต่งหน้า” ด้วย เอาล่ะสิคุณแม่ไม่อนุญาตบอกว่าแก่แดด อายุแค่นี้แต่หน้าทำไม ไม่ได้… เป็นที่ขัดอกขัดใจกับแม่ เลยมาหาหวังจะให้ช่วยสอนแต่งหน้าให้ (ตายละวา…เอาไงดี) ไม่งั้นจะไปกับเพื่อน ๆ ไม่ได้ (ดาแดง ๆ) ก็เลยลดความตึงเครียด เอาใจหน่อย บอกว่าจะแต่งยังไงดีล่ะ สาวน้อยบอกว่า เพื่อนบอกว่าให้แต่งแบบนี้…

 

        หน้าซีด กรีดตา ปากแห้ง คิ้วเข้ม

 

        อ้อ… มีเทรนด์มาให้เสร็จ เลยซักต่อว่า

ถาม  แต่งให้ หน้าซีด แล้วมันจะสวยเหรอ เดี๋ยวคนนึกว่าไม่สบายไปโน่น

ตอบ  มันเป็นเทรนด์เกาหลีค่ะ ต้องหน้าซีด ๆ ขาว ๆ

ถาม  แล้ว “กรีดตา นี่ ทำยังไงเหรอ

ตอบ  ตาใช้อายไลน์เนอร์ (ที่วาดขอบตา) หนูไม่มีค่ะ

ถาม  ตายล่ะ ไม่มีเหมือนกัน ทำไงดีล่ะ ใช้อย่างอื่นกรีดตาแทนได้ไหม กรีดยังไง…

ตอบ  วาดให้มันเป็นเส้นเดียวกับขอบตาบนไปทางหางตาแล้วก็ตวัดขึ้น

         นิดหน่อยตรงหางตา (5555…เหมือนแต่งหน้าของพวกงิ้วเลยนะ)

ถาม  เดี๋ยวจัดให้ได้จ้ะ แต่มันจะสวยรึ น่ากลัวมากกว่า

ตอบ  สวย ๆ ค่ะ ใครไม่กรีดตาไม่อินเทรนด์ กรีดแล้วตาจะโตเข้มขึ้นด้วย

ถาม  “คิ้วเข้ม” นี่ก็เทรนด์เกาหลีน่ะสินะ  เออ…แล้ว ปากแห้ง เป็นไงล่ะ

ตอบ  เหมือนปากร้อนในอ่ะ  อ้อ…พอเข้าใจ ทาลิปสีเฉพาะริมฝีปากด้านใน

        ด้านนอกริมฝีปากไม่ต้องทา (ดูตัวอย่างได้จากพี่อั้ม พัชราภา)

ถาม  เอา ๆ ร้อนในก็ร้อนใน… (สวยไงนะ)

       

      ตกลงนัดหมายกันว่าลองแต่งหน้าก่อนวันเสาร์ที่จะถึงนี้  เพื่อให้สาวน้อยได้เห็น “ภาพ” ของตัวเองก่อน…

     เมื่อวานเย็นก็เลยลองช่วยแต่งตัวตามเทรนด์ เล่นเอาเหนื่อยไปทั้งเจ้าตัวและคนช่วยแต่งให้ ไหนจะต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ให้สมาชิกในบ้านคนอื่นได้เห็นอีก กว่าชั่วโมงผ่านไป …

ถาม   เอ้ามองกระจก สวยพอหรือยัง (คนช่วยแต่งถอนใจ)

ตอบ  อืม…หนูว่าคิ้วเข้มไปหน่อย (อ้าวก็จะเอาคิ้วเข้ม ๆ ไง)

ถาม   ลบหน่อยก็ได้ ใช้สำลีเช็ด ๆ

ตอบ  หน้าซีดมากเลยนะ เพื่อนบอกว่าหน้าไม่เรียบต้องรองเบส

ถาม   รองเบส อ้อ…รองพื้นน่ะนะ

ตอบ  พยักหน้า หลังหมุนซ้าย หมุนขวา หน้าหลังหลายรอบ หนูว่ามันแปลก ๆ อ่ะ

ถาม   ใครแปลก… ก็ตามเทรนด์เลยนะ หน้าก็ซีดแล้ว ตาก็กรีดแล้ว

        (เลอะนิดหน่อย) ปากแห้งเหมือนคนร้อนใน(ขาดน้ำ) คิ้วเข้มได้ใจแล้วไง

ตอบ  หนูว่ามันไม่เหมือนตัวหนูอ่ะ ใครไม่รู้ … น่าเกลียดด้วย… เสียงเริ่ม

        อ่อยลงอย่างขาดความมั่นใจในตัวเอง

ถาม   5555555…. หัวเราะ ๆ ๆ ยิ้ม ๆ ๆ นั่นสิ…เห็นด้วย น่าเกลียดจริง ๆ

ตอบ  หนูไม่แต่งหน้าดีกว่า…ไม่เอาละ

 

        ในที่สุดก็รีบช่วยกันล้างหน้าล้างตา และในระหว่างเราสองคนก็ให้รู้สึกว่า “โล่งใจ” ลึก ๆ อย่างบอกไม่ถูก เพราะในที่สุดแล้ว สาวน้อยก็ได้เรียนรู้ว่า… หน้าตาของเธอน่ารักและสวยได้อยู่แล้ว โดยไม่ต้องแต่งหน้าทาปากตามเทรนด์ของใคร

       

คิดในใจยิ้ม ๆ  ……

อย่าเลย อย่าเพิ่งรีบบานสยายกลีบเลยเจ้าเอย  ถึงเวลาดอกไม้…จะบานงดงามเอง

 

Rose1 

ยินดีด้วยจ้ะที่ค้นพบตัวเอง…

 


ชัยชนะ

4 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 8 มิถุนายน 2010 เวลา 12:35 (เย็น) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2092

    

          ในคราหนึ่ง เคยได้ร่วมวงสนทนา (ในฐานะนักวิชาการตัวเล็ก ๆ) กับหลากหลายผู้ทรงคุณวุฒิ ล้วนแต่เป็นผู้มีชื่อเสียงในวงวิชาการ ระหว่างนั้น เกิดนึกขึ้นถึงข้อความที่เคยอ่าน เคยจดไว้นานแล้วที่ว่า

ผู้ชนะ  คือผู้ที่เอาจริงเอาจังโดยไม่ต้องวางท่าอย่างเป็นทางการ

ผู้แพ้   มักวางท่าเป็นทางการเสมอเพื่อทดแทนการไร้ซึ่งความสามารถในการเอาจริงเอาจัง

Img_44640 

 

         คิดต่อตามประสาคนที่มีความคิดยุ่ง ๆ เป็นยุงตีกันในหัว คิดไปคิดมาก็อมยิ้ม อุทานว่า…

เออแน่ะ…ผู้ชนะที่แท้จริงแล้ว คือผู้ชนะตัวเองต่างหาก หาใช่ผู้ที่ชนะคนอื่นทั้งโลก แม้ไม่สามารถชนะใจตนได้ การชนะโลกทั้งโลก ก็ไม่ยั่งยืนหรือมีประโยชน์อันใดเลย

 

เห็นชัดว่า…คนเก่งจริงนี่ ไม่เรื่องมาก ไม่วางท่า แต่อ่อนน้อมถ่อมตนและ

เมตตาอย่างน่าแปลกใจ… 

 


ความเชื่อกับปาฏิหาริย์

2 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 7 มิถุนายน 2010 เวลา 10:39 (เช้า) ในหมวดหมู่ เรื่องเรื่อยเปี่อยตามอารมณ์ #
อ่าน: 1899

 

THESE ARE FOR YOU!!!

 

Life is too short to wake up with regrets.
Love the people who treat you right.
Forget about the ones who don’t.
Believe everything happens for a reason.
If you get a second chance, grab it with both hands.
If it changes your life, let it.
Nobody said life would be easy.
They just promised it would be worth it.

 

Friends are like balloons.
Once you let them go, you can’t get them back.
So I’m gonna tie you to my heart so I never lose you.
Send these balloons to your friends.*
You must also return it to me.*
If four balloons are returned to you, something you have been waiting for a long time will happen!!!!

Believe me…. It really happens!
 
  

 

           ด้านบนเป็นข้อความที่ส่งมาจากเพื่อน ๆ และพี่ ๆ น้อง ๆ หลายคน (เกิน 4 คน) ภายใน 2 วันนี้ แสดงว่ากลุ่มนี้มีความเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์อย่างยิ่งยวด…

         อ่านดูเนื้อความก็ดีอยู่หรอก แต่เหมือนบังคับกลาย ๆ ให้ต้องส่งเมลนี้กลับไป ไม่งั้นเหมือนจะไม่รักเพื่อน และสิ่งที่ฝันไว้ลึก ๆ ว่าอยากได้ แต่ยังไม่ได้ จะไม่เกิดขึ้น

         ฟังแล้วไม่ค่อย make sense เท่าไรนัก แต่… เกี่ยวกับเรื่องความเชื่อ เรื่องปาฏิหาริย์นี่ มักจะอธิบายไม่ค่อยได้ ไม่ค่อยอยากอธิบายกัน เลยโยนกลองไปให้คำว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” ซะงั้น!!!

 

ก็เลยรีบส่งต่อไปบ้าง…เพราะเชื่อเหมือนกัน!!!

ฮา ๆ ๆ ๆ


ค้อนกับตะปู

4 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 6 มิถุนายน 2010 เวลา 11:33 (เช้า) ในหมวดหมู่ วิจัยเชิงคุณภาพ งานวิจัยที่ทำ #
อ่าน: 2685

 

                ได้มีโอกาสโทรไปเรียนปรึกษา กับอาจารย์ที่ปรึกษาร่วม (co-adviser) แต่เช้า คุยหลายหลากประเด็น เล่าถึงแผนงานที่จะทำ (อย่างจริงจัง) รีบเล่ารีบอธิบายในเวลาอันจำกัด อาจารย์ฟังเงียบ พอพูดจบ อาจารย์บอกว่า…

        ที่ทำและวางแผนมานี้ เห็นความตั้งใจและความละเอียดรอบคอบในการวางแผนที่จะทำแล้ว ให้ทำได้ต่อไปตามแผนเลย … นักเรียนโข่งฟังแล้วโล่งใจ

        ก่อนวางสาย อาจารย์ฝากคำคมของ  Abraham Maslow บิดาแห่งศาสตร์วิชานมุษย์นิยม (Humanint) (ขอบคุณข้อมูลจากคุณ logos) ที่ว่า

 

“…สำหรับคนที่มีแต่ “ค้อน” อย่างเดียวอยู่ในมือ ทุกอย่างที่ขวางหน้าก็คือ “ตะปู”

(If you only have a hammer, you tend to see every problem as a nail.)

ระวังด้วย…”

 

กลับมาพิจารณา ประโยคของอาจารย์นั้น น่าจะมีนัยที่ควรคิดต่อคือ

- ระวังการยึดติดกับวิธีการใดวิธีการหนึ่งเท่านั้นในการทำงานวิจัย เพราะการทำวิจัยเชิงคุณภาพนี้ ไม่ใช่การพิสูจน์สมมุติฐานที่ตั้งไว้ แต่เป็นการ สร้างสมมุติฐานใหม่ขึ้น ต้องยืดหยุ่นและรู้จักการปรับประยุกต์เทคนิค วิธีการให้เหมาะกับสถานการณ์และข้อมูลในพื้นที่

 

- แผนงาน กลยุทธ์ที่นำเสนออาจารย์นั้น ยังค่อนข้างจะ “แข็ง” เกินไป ควรยืดหยุ่น ไม่ตายตัวกว่านี้ (ต้องลงพื้นที่ก่อน จึงจะรู้ว่าต้องปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง)

 

- และสุดท้ายคือ ระวังจะทำตัวเป็น “ค้อน” ที่เห็นอะไร ๆ เป็น “ตะปู” ไปเสียหมด (ข้อนี้น่าคิดต่อมาก ๆ)

 

ไม่ง่ายเลยนะนี่ … แต่ก็อีกล่ะ “ชีวิตเป็นเรื่องยากลำบาก” ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ สบาย ๆ

หรอกนะ…จะบอกให้

 


แบ่งปัน

8 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 5 มิถุนายน 2010 เวลา 7:49 (เย็น) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 1898

 

 แอบได้ยินพี่สาวคุยกับหลาน ๆ (ในฐานะคุณยาย) …

         พี่สอนหลาน ๆ เรื่อง “การว่ายน้ำ” เปรียบเทียบกับ “การแบ่งปัน” ได้ยินแล้วมาคิดต่อไปอีกยาว

 

       “…ตอนเราว่ายน้ำ ต้องทรงตัวอยู่ในน้ำนะ เราก็ต้องตะกาย ต้องวักน้ำออกจากตัวไปใช่ไหม แล้วยิ่งเราวักน้ำ ผลักน้ำออกไปจากตัวมากเท่าไร ตัวเราก็จะลอยอยู่ได้ เพราะยิ่งผลักไสน้ำออกไป น้ำมันก็จะยิ่งกรูเข้ามาหาตัวเรา ช่วยพยุงให้ตัวเราลอยอยู่ได้สบาย ๆ…”

 

       มนุษย์เราหากมุ่งแต่จะเป็น “ผู้รับ” ถ่ายเดียว ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง สิ่งของ ความรู้ ความคิด ก็เปรียบเหมือนคอยแต่วักน้ำเข้ามาหาตัว น้ำก็ยิ่งแทรกทะลุหนีออกไปไกลตัวเท่านั้น

       ในทางกลับกันหากเรามีใจเกื้อกูลที่จะแบ่งปันให้คนอื่นและสังคม ก็คล้ายวักน้ำออกไปจากตัวให้คนอื่น ๆ น้ำก็จะยิ่งวิ่งเข้ามาหาเรามากขึ้นโดยปริยาย

 

       งั้น…เรามาเป็น “ผู้ให้” กันดีกว่า ไม่ใช่เพราะการให้ ทำให้ยิ่งได้รับ แต่เพราะว่าการมีผู้ให้เพิ่มขึ้น จะทำให้โลกนี้รื่นรมย์ อบอุ่น น่าอยู่ และทุกคนมีความสุขเพิ่มขึ้นโดยรวมต่างหาก

 

      เพราะในที่สุดแล้ว เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา ต่างปรารถนา “ความสุข” ด้วยกันทุกคน

 

แปงปัน ให้ความสุขกันเถิด โลกจะได้น่าอยู่ยิ่งขึ้น….

 


ลงโทษด้วย…รัก

6 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 3 มิถุนายน 2010 เวลา 12:54 (เย็น) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2123

 

         เช้า ๆ จะได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวของหลาน ๆ เด็ก  3 คนในบ้านที่ต้องรีบตื่น รีบล้างหน้าแปรงฟัน รีบทานข้าวเช้า รีบ ๆ ๆ ๆ ๆ เพื่อไปให้ทันโรงเรียนเข้า 8 โมงเช้า

        เจ้าคนโต (12 ขวบ) และเจ้าตัวเล็กสุดในบ้าน (6 ขวบ) ไม่ค่อยมีปัญหา ตื่นขึ้นมาก็งัวเงียนิดหน่อย รอให้แม่โอ๋ แล้วก็นั่งหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่หน้าจานชามอาหารเช้าจนหมดไปได้  แต่คนที่มีปัญหามากที่สุดแต่ไหนแต่ไร คือ สาวคนกลาง (10 ขวบ)ที่ขึ้นชื่อว่ามีอารมณ์ ‘ติสต์  ศิลปินไร้สังกัดมาแต่ไหนแต่ไร ตื่นขึ้นมาจากเตียงแล้ว ต้องมานอนเกลือกกลิ้งทิ้งตัวอยู่หน้าห้องน้ำ ไม่ยอมล้างหน้าแปรงฟัน ต้องมีการทั้งดุทั้งปลอบของแม่เป็นระยะ ๆ สลับเสียงครางฮือ ๆ ไม่ได้ศัพท์แข่งกับนกขุนทองที่เลี้ยงไว้ แล้วเจ้าขุนทองนี้ก็เลยเลียนเสียงครางที่ว่านั้นเป็นที่สนุกสนานทุกวัน

         บ้านนี้ไม่มีการตีลูกตีหลาน เคยมีญาติ ๆ วิจารณ์ว่า ตามใจเด็ก ๆ เกินไปจนเสียคน (รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตีนะ) เด็กบ้านนี้กล้าพูดกล้าเถียงผู้ใหญ่ ดูไม่ค่อยน่ารัก (เด็กน่ารักต้องว่าง่าย ไม่เถียง ไม่ดื้อไม่ซน) สมาชิกในครอบครัวเรามองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ ๆ พูดเกือบพร้อมกันว่า อ้อ…อาม่าสั่งไว้ว่าไม่ให้ตีลูกตีหลาน เราทำตามคำสั่ง

        ญาติฟังแล้วอึ้ง เงียบไป คงด้วยไม่อยากขัดคอพวกเราหรือขัดใจ (คนพูด) จนไม่อยากพูดต่อ แต่อาจคิดต่อในใจ…บ้านนี้ประหลาดจริง

 

        ตั้งแต่เกิดจนปัจจุบัน แม้แม่จากไปแล้ว ไม่เคยเห็นแม่ตีใคร มากที่สุดของคำดุคือ อ้าว ทำไมทำอย่างนี้ล่ะ? ในบรรดาพี่น้องจะรู้กันว่า แม่กำลังโมโหที่สุดแล้ว ควรหยุดพฤติกรรมที่กำลังทำอยู่ได้แล้ว  แม่ไม่เคยตีลูกแต่มีวิธีที่ทำโทษได้ “เจ็บจำ” เสียยิ่งกว่าการตีเป็นไหน ๆ

        ตอนอยู่ในช่วงวัยรุ่นอยากไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อนบ้าง แต่หากขอแม่ก็คงไม่มีสิทธิ์ แม่บอกว่าเป็นลูกผู้หญิงไปเที่ยวบ้านคนอื่นได้ยังไง ไม่ดีไม่ปลอดภัย (แต่ลูกผู้ชายไปได้) ขอหลายครั้ง ไม่เคยได้รับอนุญาต ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นเขาไปกันได้ จำเพาะเจาะจงต้องเราที่ไปไม่ได้ (ขัดข้องใจจริงหนอ) ในคราวหนึ่งจึงไปบ้านเพื่อนหลังเลิกเรียน โดยไม่บอกแม่ก่อน กลับถึงบ้าน 2 ทุ่ม (เลิกเรียน 5 โมงเย็น) รู้สึกดีเล็ก ๆ เพราะได้ทำตามที่ต้องการ โตแล้วนะ จะห้ามอะไรนักหนาเล่า พอเข้าประตูบ้าน เห็นหน้าแม่เท่านั้น …

…ใจหล่นวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม…

      เห็นท่าทางที่แม่นั่งรอ ตาจับจ้องที่ประตู พอเห็นลูกสาวก้าวเข้ามา แววตาดีใจของแม่ก็แทบจะเปล่งแสงออกมาจนแทงกระทบใจ(ดำ)  ไม่ดุว่าอะไรเลยสักคำ ละล่ำละลักถามว่า “กินข้าวหรือยัง แม่รอกินข้าวกับหนู…” (โห…ตอนนั้นคิดว่า ตีเราเสียยังดีกว่า)

       จากครั้งนั้นเป็นต้นมา ไม่เคยคิดจะขัดคำสั่งของแม่อีกเลย การทำเช่นนี้ของแม่เป็นการลงโทษที่ยิ่งกว่าการลงโทษด้วยการดุด่าว่าตี เป็นการลงโทษที่มโนสำนึก และเป็นการลงโทษที่น่าจะได้ผลดีที่สุด เพราะเข้าไปเปลี่ยนที่ “จิตใต้สำนึก” ของเรา (เพราะตามหลักจิตวิทยาว่าไว้ว่า หากจะเปลี่ยนพฤติกรรม คนต้องเปลี่ยนที่ “ความคิด” และเปลี่ยนเพราะคนคนนั้นอยากเปลี่ยน ไม่มีใครบังคับใครได้)  ดังนั้นพฤติกรรมที่ถูกพิพากษานั้น จะไม่เกิดขึ้นอีกเลย…

      ในปัจจุบันน่าจะเรียกวิธีการนี้ว่าเป็น “วินัยเชิงบวก” ซึ่งเป็นฐานความเชื่อของการห้ามตีและใช้ไม้เรียวกับเด็กนักเรียนในโรงเรียน  ส่วนตัวคิดแล้วยิ้ม ๆ ใครเรียกอะไรก็ตามที เราเรียกวิธีนี้ของแม่ว่า…

 ”การลงโทษด้วย…รัก”

 

        แน่ล่ะ เป็นการลงโทษที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพและประสิทธิผล (สำหรับลูกหลานที่แม่เลี้ยง) เพียงแต่จะต้องใช้ทรัพยากรทั้งเวลา แรงใจแรงกาย ความรัก ความเมตตา ปรารถนาดีอย่างมหาศาล ต่างจากการลงโทษด้วยการดุด่าว่าตี ที่แม้เวลาผ่านไป บาดแผลความเจ็บปวดทางกายจะหายไปแล้ว แต่บาดแผลทางอารมณ์ในบางคนบางกรณี ก็อาจประทับทิ้งรอยแผลเป็นไว้ชั่วชีวิต

 

 

คิดเล่น ๆ แล้วอมยิ้ม ในโลกที่ยุ่ง ๆ นี้ หากเราลองใช้วิธี ลงโทษด้วยรักกันบ้าง

 จะเป็นยังไงนะ…

 

 


เรื่องเล่าจากรถเมล์เล็ก

4 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 1 มิถุนายน 2010 เวลา 12:22 (เย็น) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 1983

 

         ส่วนตัวแล้วเดินทางและชื่นชอบการเดินทางด้วย “รถเมล์” เพราะสะดวก ประหยัด ตื่นเต้น เร้าใจ และที่ชื่นชอบที่สุดเป็นส่วนตัวก็คือ การได้เห็น “ชีวิต” เหมือนดู ซีรี่ส์หนังเกาหลี (ซึ่งจริงๆ ก็ไม่มีโอกาสดูหนังเกาหลีหรอก)

 

       เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้ฟังมานานมากแล้ว แต่ยังติดใจและจำได้ดี…

เริ่มเรื่องจาก รถร่วม ขสมก. หรือ รถเมล์เล็กสีเขียว (ปัจจุบันบางคนเรียกว่า “สางเขียว”) ที่ขึ้นชื่อว่าขับรถได้รวดเร็ว ทันใจ เป็น “ขาใหญ่” ประจำท้องถนนที่คนขับรถทั่ว ๆ ไปไม่อยากยุ่งด้วย ด้วยเหตุนี้ หากรีบจริง ๆ ต้องขึ้นรถร่วมหรือเจ้าสางเขียว นี่แหละ จึงจะถึงที่หมายได้เร็วอย่างแน่นอน จะลงตรงไหน หากรถติดอยู่ก็ลงได้ตามใจ ไม่ต้องรอถึงป้าย ทันใจทุกระดับประทับใจ

        มีลุงคนหนึ่งเป็นขาประจำรถเมล์เล็ก ทุกเช้าลุงจะมารอรถเมล์และก็มักจะได้ขึ้นรถเมล์เล็กคันนี้เกือบทุกวัน ลุงชอบห้อยโหนอยู่ตรงประตูหลังเสมอ แม้คนไม่แน่น ลุงก็ไม่ยอมขึ้นมายืนหรือนั่งในรถเลยสักครั้ง

        วันหนึ่งกระเป๋ารถเมล์ ซึ่งเห็นพฤติกรรมของลุงมานานแล้ว อดรนทนไม่ได้จึงพูดว่า…

 กระเป๋า    ลุง ไปโหนอยู่ทำไม เข้ามายืนข้างในดีกว่า

ลุง          ข้าชอบ ตรงนี้เย็นดี

กระเป๋า    เอ๊ะ ลุงนี่ อันตรายนา เข้ามา ๆ

ลุง          ไม่ตอบ เฉย โหนต่อไป

กระเป๋า    พูดไม่รู้เรื่องหรือไง ตกลงไปเดี๋ยวผมกับคนขับจะ

              เดือดร้อนอีก

ลุง          เดือดร้อนก็เรื่องของเอ็งสิ…ไม่เกี่ยวกับข้า

กระเป๋า    อ้าว พูดงี้ก็สวยดิ เดี๋ยวลุงตกลงไปตายห่…ว่าไง

ลุง          ก็เรื่องของข้า...โว้ย ไม่เกี่ยวกับเอ็ง

คนในรถ   ลุงเข้ามานั่งเหอะ ลุงเป็นอะไรไป มันเดือดร้อน

               กันไปหมดนะ คนขับก็แย่ ผู้โดยสารก็เสียเวลา

ลุง          ยอมเดินเข้ามาในรถอย่างว่าง่าย ท่ามกลางสายตา

             โล่งอกโล่งใจของทุกคนในรถ

กระเป๋า    เออ พูดกันเข้าใจง่าย ๆ หน่อย ค่อยยังชั่ว

ลุง          ข้ามานั่งเพราะเห็นว่าเป็น “เรื่องของเรา” โว้ย

 

       ตอนได้ฟังเรื่องเล่านี้ หลายคนฟังแล้วบ่นว่า ลุงนี่กวนจริง ๆ บางคนบอกว่า มีคนอย่างนี้จริง ๆ เหรอ บ้างก็ว่า เฮ้อ น่าเห็นใจคนขับกับกระเป๋า บ้างก็ว่าลุงนี่น่ารักนะ เห็นแก่ส่วนรวม …..ฯลฯ

 

       ส่วนตัว ฟังแล้วอารมณ์ดี  ได้คิดขึ้นมาว่า เรื่องของใคร คนคนนั้นก็ควรที่จะรับผิดชอบเอง อย่าเที่ยวไปเรียกร้องให้คนอื่นต้องมารับผิดชอบในเรื่องของตัว  แต่ในเรื่องของ “ส่วนรวม” หรือ เรื่อง “ของเรา” ต้องระลึกตระหนักไว้ว่า เรามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน แม้จะไม่ชอบไม่อยากทำก็ตามทีเถอะ

ลุง…จ๊าบส์มากสุดยอดเลย!!!

 


วาดฟ้า วาดฝัน

7 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 31 พฤษภาคม 2010 เวลา 10:53 (เช้า) ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้ #
อ่าน: 3192

 

“อยากจะวาดท้องฟ้า ก็วาดเถอะ

ถ้าทำเลอะก็จงลบและวาดใหม่

วาดอาทิตย์ส่องสว่าง ณ กลางใจ

ไล่ความมืดออกไปจากใจเธอ”

 

Dscn03488

 

 

       ชีวิตที่ปราศจากความฝัน ไม่กล้าคิด กล้าทำ กล้าหวัง คงหดหู่ ไร้สีสัน และไร้สุข ต้องฝันให้ไกล ฝันให้ใหญ่ อย่าหยุดฝัน คนที่ไม่มีความฝันก็คือ คนที่ “ตายแล้ว”

 

       อ๊ะ ๆ งั้นต้องฝันทุกวันล่ะสินะ ไม่งั้นกลัวตกกระแส (โลกาภิวัตน์) ฝันวันละหลายอย่าง ฝันระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว (เหมือนแผนงาน โครงการที่หน่วยงานทำเลยนะ)

 

       อ้อ…ฝันแล้ว ก็ “ทำ” ด้วยล่ะ เอาแต่ฝัน ไม่ทำเลย เหมือนโครงการระดับชาติ (หน้า) หลายโครงการ

 

       เอาล่ะสิ … ฝันแล้วทำแล้วประเมินผล ฝัน-ทำ-ประเมินผล ฝันใหม่-ทำอีก-ประเมินผล…เหมือนหนูถีบจักร เมื่อไหร่จะหยุดนะ (หยุดไม่ได้หรอก หยุดก็คือถอยหลังแล้ว)

 

เหนื่อยจัง…

 

พอตื่นขึ้นมาวันหนึ่ง ทำไมฟ้าก็เป็นสีเทาหม่น ๆ หมอง ๆ มัว ๆ ซึม ๆ โดยไม่รู้สาเหตุ ไม่อยากฝัน ไม่อยากทำ ไม่อยาก ๆ ๆ ๆ

 

        ตำราทางจิตวิทยา/จิตเวช เรียกว่าอาการซึมเศร้า (Depressive episode) อย่างเบา ๆ ซึ่งทุกคนมีโอกาสที่จะพบเจอกับอาการนี้ได้  บอกว่าต้องหากิจกรรมดี ๆ ทำ พบปะผู้คน ออกไปนอกบ้าน คุยกับเพื่อน คิดบวก ๆ ๆ อย่าหมกมุ่นกับความคิดและสิ่งแวดล้อมเดิม… และอื่น ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วนวิธี (นอกจากการใช้ยา)

 

        คุยกับหลวงพี่ (ที่เรียนด้วยกัน) ท่านบอกว่า เป็นอาการ “จิตตก” และสาเหตุที่แท้ของอาการนี้ก็คือ “การขาดสมาธิ” นั่นเอง

 

อ้อ… ที่ฟ้าเทา ๆ อารมณ์มัว ๆ ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุก็เพราะเราขาดสมาธิหรือนี่?

 

         หลวงพี่สอนต่อว่า จิตมันดิ้นรน ซัดซ่ายเพราะคิดหลายเรื่องมากเกินไป คิดมาก ๆ เข้า จิตก็เหนื่อย หมดกำลัง เลยจิตตก ให้พยายามตั้งมั่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างมุ่งมั่น จะเกิดสมาธิ จิตก็มีกำลังตั้งมั่นขึ้น เป็นการยกจิตไม่ให้ตกลงไป

 

อ้อ…เราต้องจิตตกแน่แล้ว ก็ยุงมันตีกันในหัวเราทุกวัน ๆ ๆ

 

พอได้คำตอบ… ก็ยิ้มได้ หาย “จิตตก” ในทันทีทันใดที่รู้สาเหตุ…อา…ได้รู้อีกอย่างว่า การได้ “คำตอบ” ก็ช่วยให้เรามุ่งมั่น มีสมาธิ หายจิตตกได้ด้วยนะ

 

ตั้งใจใหม่อีกที…

คราวนี้จะ “วาดฟ้าวาดฝัน” ก็วาดทีละหน้า ทีละตอน

ทีละเฟรมก็แล้วกันนะ

 



Main: 0.065223932266235 sec
Sidebar: 0.033446073532104 sec