วาดฟ้า วาดฝัน

7 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 31 พฤษภาคม 2010 เวลา 10:53 (เช้า) ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้ #
อ่าน: 3171

 

“อยากจะวาดท้องฟ้า ก็วาดเถอะ

ถ้าทำเลอะก็จงลบและวาดใหม่

วาดอาทิตย์ส่องสว่าง ณ กลางใจ

ไล่ความมืดออกไปจากใจเธอ”

 

Dscn03488

 

 

       ชีวิตที่ปราศจากความฝัน ไม่กล้าคิด กล้าทำ กล้าหวัง คงหดหู่ ไร้สีสัน และไร้สุข ต้องฝันให้ไกล ฝันให้ใหญ่ อย่าหยุดฝัน คนที่ไม่มีความฝันก็คือ คนที่ “ตายแล้ว”

 

       อ๊ะ ๆ งั้นต้องฝันทุกวันล่ะสินะ ไม่งั้นกลัวตกกระแส (โลกาภิวัตน์) ฝันวันละหลายอย่าง ฝันระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว (เหมือนแผนงาน โครงการที่หน่วยงานทำเลยนะ)

 

       อ้อ…ฝันแล้ว ก็ “ทำ” ด้วยล่ะ เอาแต่ฝัน ไม่ทำเลย เหมือนโครงการระดับชาติ (หน้า) หลายโครงการ

 

       เอาล่ะสิ … ฝันแล้วทำแล้วประเมินผล ฝัน-ทำ-ประเมินผล ฝันใหม่-ทำอีก-ประเมินผล…เหมือนหนูถีบจักร เมื่อไหร่จะหยุดนะ (หยุดไม่ได้หรอก หยุดก็คือถอยหลังแล้ว)

 

เหนื่อยจัง…

 

พอตื่นขึ้นมาวันหนึ่ง ทำไมฟ้าก็เป็นสีเทาหม่น ๆ หมอง ๆ มัว ๆ ซึม ๆ โดยไม่รู้สาเหตุ ไม่อยากฝัน ไม่อยากทำ ไม่อยาก ๆ ๆ ๆ

 

        ตำราทางจิตวิทยา/จิตเวช เรียกว่าอาการซึมเศร้า (Depressive episode) อย่างเบา ๆ ซึ่งทุกคนมีโอกาสที่จะพบเจอกับอาการนี้ได้  บอกว่าต้องหากิจกรรมดี ๆ ทำ พบปะผู้คน ออกไปนอกบ้าน คุยกับเพื่อน คิดบวก ๆ ๆ อย่าหมกมุ่นกับความคิดและสิ่งแวดล้อมเดิม… และอื่น ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วนวิธี (นอกจากการใช้ยา)

 

        คุยกับหลวงพี่ (ที่เรียนด้วยกัน) ท่านบอกว่า เป็นอาการ “จิตตก” และสาเหตุที่แท้ของอาการนี้ก็คือ “การขาดสมาธิ” นั่นเอง

 

อ้อ… ที่ฟ้าเทา ๆ อารมณ์มัว ๆ ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุก็เพราะเราขาดสมาธิหรือนี่?

 

         หลวงพี่สอนต่อว่า จิตมันดิ้นรน ซัดซ่ายเพราะคิดหลายเรื่องมากเกินไป คิดมาก ๆ เข้า จิตก็เหนื่อย หมดกำลัง เลยจิตตก ให้พยายามตั้งมั่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างมุ่งมั่น จะเกิดสมาธิ จิตก็มีกำลังตั้งมั่นขึ้น เป็นการยกจิตไม่ให้ตกลงไป

 

อ้อ…เราต้องจิตตกแน่แล้ว ก็ยุงมันตีกันในหัวเราทุกวัน ๆ ๆ

 

พอได้คำตอบ… ก็ยิ้มได้ หาย “จิตตก” ในทันทีทันใดที่รู้สาเหตุ…อา…ได้รู้อีกอย่างว่า การได้ “คำตอบ” ก็ช่วยให้เรามุ่งมั่น มีสมาธิ หายจิตตกได้ด้วยนะ

 

ตั้งใจใหม่อีกที…

คราวนี้จะ “วาดฟ้าวาดฝัน” ก็วาดทีละหน้า ทีละตอน

ทีละเฟรมก็แล้วกันนะ

 


ชีวิตขาลง

6 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 28 พฤษภาคม 2010 เวลา 10:15 (เย็น) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2407

 

        ได้คุยกับเพื่อน เพื่อนเล่าว่า ตอนนี้ตกงาน ฟังแล้วอดจะรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ ในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ บ้านก็ต้องผ่อน พ่อแม่ก็ต้องดูแล ลูก 2 คนก็ต้องเรียน ยังดีที่แฟนไม่ตกงานด้วยอีกคน  แต่เสียงเล่าสบายใจแกมหัวเราะ ๆ ทำให้ต้องถามอย่างข้องใจ

 

ถาม         ตกงานแต่…ทำไมดูสบายใจจังล่ะ

เพื่อน      ก็ไม่มีอะไร ออกจากงานได้เงินมาก้อนนึงด้วย พูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

               สังเกตเห็นว่าเพื่อนดูหน้าตาสดใส มีน้ำมีนวลกว่าแต่ก่อนเสียอีก

ถาม       สงสัยคงได้มาเยอะสิ เลยไม่เดือดร้อน… รู้งี้ก็สบายใจหน่อยไม่ต้องห่วงแล้ว

เพื่อน      ได้ไม่เยอะหรอก ลงทุนอะไรก็ไม่ได้…

ถาม         อ้าว… มีอะไรให้ช่วยมั๊ย จิตวิตกเริ่มปรุงแต่งอีกแล้ว

เพื่อน       ไม่มีร๊อก… ขอบใจจ้า รู้มั๊ย ตกงานนี่นะ มันเปรียบเหมือน “ชีวิตช่วงขาลง” นะ

ถาม         ยังไงหรือ ชีวิตขาลงมันเป็นไงน่ะ  ถามต่อด้วยอยากให้เพื่อนได้ระบาย

               ความอัดอั้นตันใจบ้าง

เพื่อน      ชีวิตขาลง ก็… ดีจะตาย ไม่ต้องรีบตื่นเช้า ๆ ตาลีตาลานไปทำงานให้ทัน

              แปดโมงครึ่ง มีเวลาดูแลลูกส่งไปโรงเรียนเอง ได้คุยกับป๊าม๊าบ้าง

              ดูแลพาแกไปไหว้พระ ได้ดูต้นไม้ใบหญ้า เล่นกับหมากับแมวที่สำคัญ

              ได้มีเวลาบอกรักสวีทกับสามีสุดที่รักหลังจากไม่ค่อยได้สนใจกันมา

              ตั้งแต่เกือบ 20 ปีที่ทำงานมา

ถาม       ฮ้า… ขนาดนั้นเลยนะ ฟังไปทึ่งไป อือออไปด้วย

เพื่อน       ดีออก “ชีวิตขาลง” น่ะ เหมือนตอนลงเขาไง ไม่มีแรงต้านไม่ต้องสู้

              กับแรงโน้มถ่วงของโลก ลงคล่อง สะดวก

ถาม         อือ…ก็จริงนะ แล้วเงินพอใช้เหรอ ถามแบบเกรงใจ ๆ

เพื่อน      แค่ไหนเรียกว่าพอล่ะ… ตอนนี้ฉันเหลือเงินมากกว่าตอนทำงานอีกนะ

              อาหารก็ทำกินเองไม่ต้องซื้อ สะอาดด้วย ไม่ต้องกลุ้มใจว่าจะจ้างคน

              มาทำงานบ้านดี ๆ ได้ที่ไหน ในบ้านก็มีความสุข เครื่องสำอางค์ กระเป๋า

              รองเท้าก็ไม่ต้องซื้อ ภาษีสังคมก็เกือบไม่มี แฟนฉันบอกว่าเขาจะหางานพิเศษ

              ทำเพิ่ม ฉันไม่ต้องทำงานหรอก อยู่บ้านดูแลบ้านช่อง พ่อแม่ ลูก ๆ แล้วกัน…

             ตอนนี้นะ เลยมีความสุขกว่าตอนที่ยังทำงานเยอะเลย

 

          ฟังเพื่อนแล้ว “ชีวิตขาลง” ของเพื่อนก็ไม่เลวนัก ไม่ยุ่งยาก ลำบากอะไรเกินไป  เพราะชีวิตขาลงนี่ขึ้นอยู่ที่เราจะยอมรับ ปรับตัวปรับใจได้แค่ไหนอย่างไรต่างหาก  ถ้า “ลงเป็น”  เข้าใจและรู้หลักแล้ว “การลง” ก็ไม่น่าเกลียด น่ากลัวอะไรเลยนี่นา

 

คิดเล่น ๆ พลางพึมพำ ๆ … ชีวิตขาลงนี่…ก็ไม่เลวนะ

 


คนสองคน

4 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 26 พฤษภาคม 2010 เวลา 10:43 (เช้า) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2209

 

มนุษย์คือ “คนสองคน”…ที่คนหนึ่งตื่นอยู่ในความมืด…

 และอีกคนหลับใหลในความสว่างไสว

                                                                                                           คาริล ยิบราน

 

        ก่อนนี้ยามใดที่ต้องอ่านงานของคาริล ยิบราน ก็จะรู้ครั่นเนื้อครั่นตัว หน้าตายู่ยี่  ได้อ่านงานเขียนดี ๆ ก็มักจะกล่าวอ้างถึงข้อความของคาริล ยิบรานเสมอ ๆ แต่…

         เราอ่านแล้ว มันไม่รู้เรื่อง …  โอ ร้ายแรงมาก เพราะความจริงนี้มันเขย่าอัตตา(Ego อันอวบอ้วน) อย่างรุนแรง อะไรนี่ ทำไมคนอื่นบอกว่าดีนักดีหนา ลึกซึ้งเหลือเกิน แต่เราอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ไม่อิน ไม่ซาบซึ้ง อ่านแล้วระดับความนับถือตัวเองวูบลงเหมือนดัชนีหุ้นของบางชาติ ครั้นจะหลอกตัวเองว่าอ่านแล้วรู้เรื่องก็คงไม่เข้าที ไม่รู้เรื่องแต่ไปทำเป็นเข้าใจ อินเหลือเกิน จะกลายเป็นหลอกคนอื่นไม่พอ ย้งหลอกตัวเองเพิ่มเข้าไปอีก… 

       

        พอมาวันหนึ่ง วันเวลา ประสบการณ์ และวัยที่มากขึ้น (แก่กล้าขึ้น) พอมาอ่านหนังสือเดิม ของคาริล ยิบราน กลับรู้สึกว่า อือ…ข้อความบางข้อความนั่น ลึกซึ้ง จับใจ โดนใจจัง

มนุษย์คือ “คนสองคน”…ที่คนหนึ่งตื่นอยู่ในความมืด…และอีกคนหลับใหลในความสว่างไสว…

 

คิดต่อไปว่า…

       ปุถุชนคนธรรมดา ผู้ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เหน็ดเหนื่อย เครียดคร่ำอยู่กับการดำรงชีวิต คล้ายอยู่ใน “ความมืด” หากแต่ “ตื่นรู้” ในสาระของการดำรงอยู่ ยังประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและสังคมโลกรอบตัว

…ย่อมควรแก่การสรรเสริญ

       ส่วนผู้ยิ่งใหญ่ ร่ำรวย อุดมด้วยทรัพย์สมบัติ เปรียบได้กับผู้อยู่ในที่ “รุ่งเรืองสว่างไสว” แต่กลับ “หลับใหลมัวเมา” ในทรัพย์ที่ครอบครองโดยไม่เคยตระหนักถึงคุณค่าของมนุษย์ที่แท้แล้ว เขาผู้นั้น

…จะมีคุณค่าใดให้สรรเสริญ…

 

และหากยิ่งพิจารณาลงไปอีก บางครั้งบางคราว เราก็เป็น “คนสองคน” สลับผลัดเปลี่ยนกันไปตามวาระ เหตุและปัจจัย…อีกด้วย

 

                     ขอบคุณคาริล ยิบราน… 

 


ยอมรับ

2 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 25 พฤษภาคม 2010 เวลา 10:36 (เช้า) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 2030

 

 

       ”การที่คนเราจะรู้จักเปิดใจกว้าง ลดการยึดมั่นในอัตตาของตนเองและเอาใจใส่ผู้อื่นอย่างแท้จริงได้ ต้องการพลังอย่างมาก ซึ่งมีแต่… “ความรัก” เท่านั้นที่จะสามารถทำสิ่งนี้ให้สำเร็จได้… เพราะ “ความรัก” คือความตั้งใจที่จะแผ่ขยายตัวเราเอง เพื่อการเจริญเติบโตทางจิตใจร่วมกัน…”

                                                                                                        วิทยากร เชียงกูล.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

       เรื่องการมอบความรักความปรารถนาดีนี่ ส่วนตัวคิดว่าไม่ยากนัก เพราะทุกคนก็ต้องมีความน่ารัก ความดี ความงามอยู่ในตัวบ้างไม่มากก็น้อย

       แต่… ให้รักให้ปรารถนาดีคนที่เราไม่เห็นความดีงามในตัวเลย (อาจต้องลองตะลุยค้นหาใหม่) …

ให้ตายสิ…ไม่อยากหลอกตัวเอง…

 

      พอรักและเมตตาคนบางคนไม่ได้ คราวนี้ก็รู้สึกผิดล่ะสิ เอ้า…เรานี่ไม่ดีเลย ทำไมไม่ให้อภัย ไม่เข้าใจแง่มุมของความเป็นมนุษย์ว่าก็ต้องทำผิด ทำถูก ดีบ้างเลวบ้าง (ต้วเราก็เช่นกัน) 

 

คราวนี้ก็รู้สึกแย่เป็นสองเท่า ทั้งไม่รักไม่ชอบคนอื่นแล้วยังไม่รักไม่ชอบตัวเองอีก … โอย…โลกจะแตกหรือไงกัน

 

         เล่าให้พี่ชายฟัง พี่ชายหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่นาน ลูบหัวตบหูน้องแล้ว ก็บอกเสียงนุ่ม ๆ ขณะที่ยังสำลักน้ำหูน้ำตาจากการหัวเราะ (ขำอะไรนักหนาไม่รู้) ว่า…

“…การยอมรับว่าเรารู้สึกอย่างไรนั่นแหละ เป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตทางจิตวิญญาณ แล้วเราก็จะรักตัวเอง แผ่ขยายไปรักคนอื่น … ไปจนรักคนที่เราไม่ชอบได้ด้วยไงล่ะ…”

 

ไม่แน่ใจว่าเริ่มรู้สึกรักตัวเองหรือยัง?

ที่แน่ ๆ ตอนนี้รู้สึกรักพี่ชายจัง!!!

      


คนเดียว ก็เหลือจะพอ

10 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 24 พฤษภาคม 2010 เวลา 9:34 (เช้า) ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้ #
อ่าน: 2075

 

บันทีกนี้ไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะจ้วงจาบหรือกล่าวอ้างถึงนักการเมือง เป็นบันทึกความคิดของเจ้าของบันทึก ไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อหรือความฝักใฝ่ทางการเมืองค่ะ

 

 

        เหตุการณ์ที่ได้ประสบ พบเห็นในช่วงที่ผ่านมา…

ทำให้หวนคิดไปถึงอาจารย์ที่เคารพตั้งแต่ยังเรียนชั้นมัธยมปลาย ท่านสอนวิชาภาษาอังกฤษ แต่มักจะมอบหมายงานให้นักเรียนไปอ่านและนำเสนอหน้าชั้น เรามักจะแอบนินทาท่านว่าชอบให้รายงานเด็ก ตัวเองสอนสบาย ๆ เวลาส่วนมากในห้องที่เหลือจากการมอบหมายงานแล้ว ท่านมักจะเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น จำได้ว่าท่านพูดถึงว่า

 

       ในสังคมใด ๆ ก็ตาม ต้องการ “คนดี” มาก ๆ  หน้าที่ของเราคือต้องช่วยสนับสนุนคนดีให้ทำหน้าที่ของเขาได้  ส่วน คนเลว” นั้น แม้มีเพียงคนเดียวก็ทำให้สังคมในหมู่ชนปั่นป่วน วุ่นวายเสียหายได้มากมาย  ดังนั้นครูจึงชอบใช้เวลาในชั้นสอนให้พวกเราเป็น   ”คนดี” ซึ่งไม่มีวิชานี้ในตารางสอนเลย ส่วนเนื้อหาวิชาการนั้น จะหาอ่าน หาเรียนที่ไหนก็ได้

 

        จำได้ว่าตอนฟังอาจารย์นั้น ยกมือทำหน้าทะเล้นถามอาจารย์ว่า งั้นแสดงว่า “คนเลว” มีศักยภาพและความสามารถมากกว่า “คนดี” ใช่ไหม เพราะเทียบกันตัวต่อตัวแล้ว คนเลวทำอะไรได้มากกว่าคนดีอย่างเทียบกันไม่ติด (แล้วจะมาพร่ำสอนให้เราเป็น คนดี ทำไมกัน)

 

       อาจารย์ตอบว่า ก็ขึ้นกับว่าเราจะมองแง่มุมไหน หากเทียบการกระทำ โดยไม่คิดว่าอะไรดี อะไรเลว ก็อาจบอกได้ว่าคนเลวมีศักยภาพและความสามารถมากกว่าคนดี แต่ต้องดู “ผล” ของการกระทำเป็นหลัก เพราะทำอะไรได้มากแค่ไหน หากเป็นการทำร้ายตัวเองและคนอื่น ทำร้ายสังคมประเทศชาติแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นคนที่มีศักยภาพหรือมีความสามารถหรอก…

 

       วันนี้เพิ่งนึกถึงประเด็นนี้ของคุณครูได้…นึกรักคุณครูจับใจ อยากให้มีคุณครูที่สนใจและตั้งใจสอนให้นักเรียนเป็น “คนดี” มากกว่าสอนเพียงวิชาการในหนังสือ … ด้วยหวังลมแล้ง ๆ ว่า

 

 

       …สังคมประเทศชาติของเราจะได้ดีขึ้นกว่านี้!!!

 

 

 


เกม…ชีวิต

2 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 22 พฤษภาคม 2010 เวลา 9:53 (เย็น) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2773

 

     นั่งดูหลานสาวสามใบเถา (12 ปี 10 ปี และ 6 ปี) ที่ต้องทนแกร่วอยู่บ้านต่อไป เนื่องจากกระทรวงศึกษาเลื่อนการเปิดภาคเรียนของเด็ก ๆ ออกไปอีก จนถึงต้นเดือนหน้า สังเกตเห็นว่าแย่งกันเล่นเกมคอมพิวเตอร์ทั้งวัน เล่นอย่างมุ่งมั่น สนุกสนาน และเอาจริงเอาจัง ไม่พูดไม่คุย และเกือบไม่ยอมหยุดทานข้าว คุยกับเด็ก ๆ ก็ได้ข้อคิดดี ๆ เหมือนกัน ฟังไปยิ้มไป

 

ถาม          เล่นเกมทั้งวัน รู้สึกเป็นไงบ้าง ไม่เบื่อเหรอ

สาว 1        ม่ายเบื่อ ชอบ หนุกดี…  สีหน้าค่าตาสนุกเมามันจริงตามที่ตอบ

สาว 2        ก็ดีกว่าอยู่ป่าว ๆ อ่ะ… คนนี้หน้าตาไร้อารมณ์แต่มือก็ยังกด ๆ

สาว 3        หนูเล่นตามเจ้… เจ้าคนเล็กสุด 6 ขวบตอบอย่างจริงจังที่สุด

 

ถาม          สมมุตินะ ว่าไม่มีเกมให้เล่น จะทำไง

สาว 1        เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่มีเกม หันมามองคนถามแปลก ๆ พูดอะไร เป็นไปไม่ได้

สาว 2        ไม่มีก็ไม่ต้องเล่น ไปทำอย่างอื่นก็ได้  สีหน้าเซ็งโลก เจ้าคนนี้เป็นสาวเครียดประจำบ้าน

สาว 3        บอกป่าป๊าให้ทำให้ใหม่สิค้า ง่าย ๆ เอง  ตัวเล็กอารมณ์ดีไม่มีปัญหา

  

ถาม          เกม คืออะไร ให้คำจำกัดความหน่อย

สาว 1        เกมคือการเล่นที่สนุก สร้างสรรค์ ตื่นเต้นเร้าใจที่สุด  หากขาด เกม คงขาดใจ  คำตอบจากเจ้าแม่เกมพันธุ์แท้

สาว 2        เกมก็เหมือนชีวิตคน ชีวิตคือเกม ไงล่ะ   โห โดนใจคำตอบสาวเครียดประจำบ้านคนนี้จัง

สาว 3        เกม ก้อ..คือเกมน่ะสิ โตป่านนี้แล้วยังไม่รู้อีก เมื่อไหร่จะหยุดถามค้า… เจ้าตัวเล็กดุคนถามเสียแล้ว

                 

        คุยกับเด็ก ๆ ก็มักได้อะไรดี ๆ อย่างนี้เสมอ…

        จะว่าไป เรามีชีวิต ก็เหมือนกำลังเล่นเกม ต่างมีต้นทุนมาไม่เท่ากัน (รูปร่างหน้าตา อาการ 32 ชาติตระกูล ฐานะ ฯลฯ) ต้องปฏิบัติตามกฎกติกาของการเกิดมาเป็นมนุษย์  มีกิจกรรมต่าง ๆ ที่คอยผลักดันให้เราต้องเล่นไปตามเกมกรรม ตอนเป็นเด็กต้องเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน ทำตามคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ เรียนให้จบคณะดี ๆ  จะได้ทำงานดี ๆ มีเกียรติ เลี้ยงตัวเองได้ แล้วก็ต้องหาคู่ครองสักคนแต่งงาน มีลูกไว้สืบต่อวงศ์ตระกูล เลี้ยงลูกให้ดี … เข้าสู่วัฏจักรเดิม การใช้ชีวิตในแต่ละวันต้องต่อสู้ ตั้งเป้าหมาย ต้องมุ่งมั่น มีสมาธิในการใช้ชีวิต คล้ายการต้องระมัดระวังในการเล่นตามเกมข้างหน้าที่ท้าทายและบังคับเราอยู่

       แต่…เกมกรรมก็คงเกรงว่ามนุษย์จะเบื่อการมีชีวิตไปเสียก่อน เลยสร้างสิ่งต่าง ๆ ไว้ล่อใจ ให้เรามีเพื่อน ได้รับความสำเร็จตามขั้นตอนของชีวิต ได้พบเห็น ได้เรียนรู้  มีหนังมีละคร ดนตรีสุนทรีย์ให้เราผ่อนคลายอารมณ์  มีหนังสือดี ๆ ให้อ่าน  ได้พักผ่อนท่องเที่ยว คล้ายกับได้โบนัสในเกม คอยล่อใจให้เราสนุก ลิงโลดเมื่อชนะ ได้คะแนนสูงสุดของเกม

        อย่าว่าแต่เด็กเลยที่ “ติดเกม” ผู้ใหญ่เองก็ติดเกมกันทั้งบ้านทั้งเมือง ตามสำนักงานเกือบทุกที่ มีเวลาว่างเป็นต้องกดเข้าเกม เช่นที่เห็นบ่อย ๆ ก็ เกมปลูกผักปลูกหญ้ากันเป็นจริงเป็นจังทางเว็บ เพื่อนฝูงนัดไปเที่ยวค้างคืนต่างจังหวัดจะไม่อยากไป อิดออดเพราะจะไม่ได้ปลูกผัก เป็นห่วง… เออนะ เป็นไปได้ขนาดนั้น

 

        คิดไปคิดมาสองสามตลบ … ได้ข้อสรุปว่า มนุษย์ล้วนถูกล่อหลอกให้อยู่ใน “เกมกรรม” วนเวียนอยู่ใน “วัฎสงสาร” เรื่อยไป

 

        ชักจะเห็นจริง อย่างเจ้าตัวน้อยว่า “ชีวิตคนก็เหมือนเกม” นั่นแหละ วนเวียนเล่นไปไม่รู้จบ ความจริงแล้วไม่มีสาระแก่นสารที่แท้เลย

 

        คิดได้แล้ว บอกตัวเองว่า … อย่าไปเอาจริงเอาจังกับชีวิต ทั้งดีใจ เสียใจ โกรธ รัก โลภอะไรนักเลย สู้มาเร่งหาทางออกจาก “เกมกรรม” หรือ “วัฎสงสาร” กันดีกว่าไหม?

 


ปฏิบัติการค้นหา…ความสุข

6 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 21 พฤษภาคม 2010 เวลา 11:22 (เช้า) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 1907

 

          ใคร ๆ ก็บ่นว่า โลกเดี๋ยวนี้สับสนวุ่นวาย เสียจนพากันไร้สุข…

                 อากาศร้อน มลพิษ รถติด ม็อบแย่ คนไร้น้ำใจ บ้านเมืองวุ่นวาย เหนื่อย ๆ ๆ ๆ

 

        …ความสุขหายตัวไปไหนกันหมดนะ…

                                                                 

……oooO…………… 
…..(….)……………. 
……)../….Oooo….. 
…..(_/…..(….)……. 
……………)../…….. 
…………..(_/……… 
……………………… 
……oooO…………… 
…..(….)……………. 
……)../….Oooo….. 
…..(_/…..(….)……. 
……………)../…….. 
…………..(_/……… 
……………………… 

 

     คราวนี้ก็เลยเกิดปฏิบัติการเร่งด่วน หัวซุกหัวซุน รีดรุด ค้นหาความสุข ด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา ทั้งปลอบทั้งขู่

      มาเถิดจ้ะ ความสุขที่รัก เธออยู่ไหนน่ะ ในท้องฟ้าใส ๆ น้ำที่ไหลริน ต้นไม้ ดอกไม้นั่นหรือ…

 โอยหายากหาเย็น เล่นซ่อนหาอยู่นั่นแหละ เหนื่อยแล้วนะ แง ๆ ๆ ออกมาเถอะ เจ้าความสุข ไม่งั้น…มีงอนนะ (จะบอกให้)

 

          ก็นั่นไง ใช่ไหมนั่น…. เจ้าความสุขยืนยิ้มกริ่ม อยู่แค่เอื้อม อยู่นี่จ้ะ มนุษย์ผู้ไม่รู้จักประมาณ อยู่ข้าง ๆ ข้างหน้า ข้างหลังเธอนั่นแหละ ไปมองหาเสียไกลทำไมกันเล่า

 

          อย่ามาล้อเล่นกันน่า (ไม่ใช่เพื่อนเล่นนะ) ไอ้ข้อความสวย ๆ เนียน ๆ แบบนี้ (ความสุขน่ะอยู่ใกล้ ๆ ภายในใจเรานี่เอง ไม่ต้องเพียรไปใฝ่หาจากภายนอก ไม่เจอหรอก) อ่านมาจนปรุแล้ว เบื่อแล้ว เชย ๆ ๆ ๆ  ขออะไรที่ใหม่ ๆ หน่อยไม่ได้รึไง

 

          ยิ้ม ๆ ๆ หน้าบาน ก็อย่างนี้ไงเล่า  เมื่อวานก็สุขได้กับบางเรื่อง พอนานเข้า ๆ ก็เบื่อว่าซ้ำซาก  เวียนไปค้นหาความสุขใหม่ ๆเรื่อยไป พอได้ ก็สุขไปชั่วครู่ชั่วคราว แล้วก็เบื่อ หาเรื่องหาราว หากิจกรรมที่คิดว่าจะนำพาไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “ความสุข” ต่อไป ไม่รู้จบ…

 

เฮ้อ… เจ้ามนุษย์ผู้ไม่รู้จัก “ความสุข” เอ๋ย!!!

ตกลง รู้หรือยังน่ะ ความสุขอยู่ไหน? 

 

 

หึ หึ หึ ใครแคร์เล่า…

 

 


เจ็บปวด

ไม่มีความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 20 พฤษภาคม 2010 เวลา 7:45 (เย็น) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 1915

 

เจ็บปวด สูญเสีย ล้มตาย     สะใจ ดีใจ ใช่ไหม

ทำร้าย กันเอง ทำไม         ป่วยการ หาใคร เยียวยา

สิ่งของ บ้านเรือน พินาศ     สามารถ สร้างใหม่ ได้แน่

จิตใจ วิญญาณ  ผันแปร      ย่ำแย่ ใครแก้ บอกที

 

Municipal workers clear the fortification of anti-government protesters as smoke billows out from a building set on fire by protesters in downtown Bangkok, Thailand, Wednesday, May 19, 2010. Seven leaders of Thailand's Red Shirt protesters have surrendered to authorities after a deadly army assault on their fortified encampment.

 ภาพจากอินเทอร์เน็ต

   

ว่ากันว่า การเขียน การเล่า การบอก การบ่น เป็นวิธีในการเยียวยาความรู้สึกที่แย่ ๆ

 

อืม… ดีขึ้นจริง ๆ       

 


ธรรมชาติแสดงสัจธรรม

4 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 19 พฤษภาคม 2010 เวลา 1:02 (เย็น) ในหมวดหมู่ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ต้นไม้ #
อ่าน: 2880

 

     ระยะนี้ ต้นมะลิ ที่พี่สาวเพียรทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยง แข่งกันออกดอกเสียเต็มต้นเอาใจเจ้าของ … สร้างความสุขและชื่นชมให้กับพี่สาวผู้บำรุงเลี้ยง ด้วยการเก็บ “น้ำซาวข้าว” ไว้รดต้นมะลิทุกวัน

 

 

       ทุกเช้า พี่ก็จะเก็บ ๆ แล้วไปปักแจกันถวายพระ ไว้ที่โต๊ะทั้งในห้องนอน โต๊ะในบ้าน … จนมีกลิ่นอบอวลไปทั่วบริเวณ

 

     เย็นวันหนึ่ง พี่สาวบ่นว่า ดูสิบานหอมอยู่วันเดียว ก็ไม่หอมแล้ว… สีหน้าและน้ำเสียงที่เคยเปี่ยมสุขตอนเก็บดอกบานมาใส่แจกัน หุบลงอย่างผิดหวัง

     ฟังแล้วยิ้ม… โห พี่สาวเราจะให้ดอกมะลิบานตลอดกาลนานไม่โรยราเลยหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกันล่ะ

     คิดไปยิ้มไป เกิดแล้ว ก็ตั้งอยู่ชั่วครู่หนี่ง และในที่สุดก็ต้อง ดับไปตามเหตุปัจจัย มิใช่หรือ? อะไรจะคงทนอยู่ตลอดไปเล่า

 

        หลวงปู่ชา  สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง กล่าวไว้ในเรื่อง “สองหน้าของสัจธรรม” ว่า…

“คนเราไม่รู้จักคิดย้อนหน้าย้อนหลัง เห็นแต่หน้าเดียวไปเลย จึงไม่จบสักที ทุกอย่างมันก็ต้องมีสองหน้า มีความสุขเกิดขึ้นมาก็อย่าลืมทุกข์ ทุกข์เกิดขึ้นมาก็อย่าลืมสุข มันเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน”

 

ธรรมชาติสอนใจ แสดงสัจธรรมให้เราประจักษ์อยู่ทุกวี่วัน…

 

      วันนี้ดอกมะลิที่เคยบานส่งกลิ่นหอมอบอวลกลับแห้งหายหอม วันพรุ่งนี้ก็จะมีดอกใหม่บานขึ้นมาอีก แทนดอกเก่าที่โรยราไปเสมอ


เลือกปฏิบัติ

6 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 19 พฤษภาคม 2010 เวลา 12:02 (เย็น) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 2047

 

       เพิ่งได้คุยกับพี่สาว ซึ่งพักอาศัยอยู่ใกล้สีลม พี่สาวคนนี้เป็นคนที่ต่อต้านและเกลียดการชุมนุมประท้วงทุกประเภท ตั้งแต่สมัยที่น้องสาวตัวแสบเคยไปร่วมชุมนุมกับ “เสื้อเหลือง” พี่จะโทร.ตามอย่างไม่หยุดหย่อน และหากเจอหน้าเป็นต้องมีการเทศนา เคาะหัวให้หายโง่ (ไปยุ่งกับเขาทำไม…ห๊า!!!)

 

       พี่เล่าว่าก่อนวันที่ 13 พค.53 ซึ่งเป็นวันประกาศแตกหักของรัฐและกลุ่มนปช. พี่แวะผ่านไปทางสีลม เห็นทหาร ตำรวจยืนประจำการตลอดถนน (โธ่…พี่เราไปอยู่ไหนมา ข่าวสารการเมืองไม่ดู ไม่ติดตามบ้างเลย) เห็นทหารตำรวจมองไม่วางตา เนื่องจากเธอแต่งกายค่อนข้างออกแนวไปทางคุณนาย และมองเพ่งที่ของที่เธอถืออยู่ 2-3 ถุงใหญ่ ซึ่งเธอตั้งใจซื้ออาหารและขนมไปฝากลูกน้อง เธอจึงตัดใจยกทั้งหมดให้ทหารที่อยู่แถวนั้น เธอบอกว่า หน้าตาเขาดีใจมาก ๆ เลย วันต่อมาเธอสั่งลูกน้องไปซื้อผ้าขนหนูเนื้อดีจากสำเพ็ง (เน้นเอาเนื้อดีที่สุดที่มี) กว่า 500 ผืน มาซักและแช่น้ำแข็ง หยอดโอดิโคโลจญ์ 4711 ขวดโปรดจนหอมฟุ้ง ใส่กล่องโฟมไประดมแจกโดยพาลูกน้องผู้ชายไป 2-3 คนช่วยแจก (โอย…ไม่ยอมบอกเราบ้าง)

 

น้อง : โห ดีจัง เล่าหน่อย ๆ  อย่างนี้ไม่ยักชวนหนูหรอก

พี่    :  ก็แบกกันไป รีบแจก กลัวระเบิดน่ะ เพราะมีข่าวระเบิดทุกวันเลย เจ้ก็รีบ ๆ ส่ง ๆ ให้ อ้อ…แต่สั่งลูกน้องนะว่าให้แจกแต่ทหาร ชุดเขียว ๆ เท่านั้น ตำรวจสีแบบนี้ ๆ ไม่แจกนะ…

น้อง :  อ้าว…ทำไมล่ะ  เลือกปฏิบัติอย่างนี้ได้ไง เขาก็ยืนรักษาความปลอดภัยอยู่ด้วยกันนะเจ้…

พี่    :  ใครบอก ไม่ได้ดูข่าวเหรอไง ตำรวจตีคนเสื้อหลากสีจนทหารต้องเข้ามาช่วยห้าม เชยจัง…

น้อง :  อ้อ…เหรอ อมยิ้ม พี่สาวเราชักเปลี่ยนไปแฮะ เริ่มสนใจข่าวสารบ้านเมืองขึ้นมาบ้างแล้ว ถามต่อ…แล้วไม่น่าเกลียดหรือเขาก็ยืนอยู่ด้วยกันน่ะ เจ้ใจร้ายนะ

พี่    :  ไม่รู้ … ไม่สนใจร๊อก อ้อ…อย่ามาว่าเจ้ใจร้าย แล้วเจ้ก็แจกแหละ เพราะตำรวจที่ยืนติดกันเอื้อมมือมาบอกว่า ขอด้วย…

น้อง :  เหรอ … แล้วเจ้ให้หรือเปล่า ลุ้นระทึกน่าดูเลย

พี่    :  ให้สิ เสียงตอบสูง  แต่ก่อนให้ก็บอกว่า… ให้เพราะเป็นคนไทยเหมือนกันนะคะ ไม่ใช่ให้ตำรวจ…เสียงเล่าสะอกสะใจ แล้วเธอว่าไง อย่าน่า รู้นะ เธอต้องว่าเจ้ทำไม่ถูกใช่ไหมล่ะ เธอพวกนิยมการชุมนุมประท้วงนี่…

น้อง :  ฮ่า ๆ ๆ ๆ … เจ้แน่มาก…

 

หนูรักเจ้และภูมิใจในตัวเจ้จัง 

 



Main: 0.057816982269287 sec
Sidebar: 0.03493595123291 sec