คนเดียว ก็เหลือจะพอ

โดย freemind เมื่อ 24 พฤษภาคม 2010 เวลา 9:34 (เช้า) ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้ #
อ่าน: 1955

 

บันทีกนี้ไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะจ้วงจาบหรือกล่าวอ้างถึงนักการเมือง เป็นบันทึกความคิดของเจ้าของบันทึก ไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อหรือความฝักใฝ่ทางการเมืองค่ะ

 

 

        เหตุการณ์ที่ได้ประสบ พบเห็นในช่วงที่ผ่านมา…

ทำให้หวนคิดไปถึงอาจารย์ที่เคารพตั้งแต่ยังเรียนชั้นมัธยมปลาย ท่านสอนวิชาภาษาอังกฤษ แต่มักจะมอบหมายงานให้นักเรียนไปอ่านและนำเสนอหน้าชั้น เรามักจะแอบนินทาท่านว่าชอบให้รายงานเด็ก ตัวเองสอนสบาย ๆ เวลาส่วนมากในห้องที่เหลือจากการมอบหมายงานแล้ว ท่านมักจะเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น จำได้ว่าท่านพูดถึงว่า

 

       ในสังคมใด ๆ ก็ตาม ต้องการ “คนดี” มาก ๆ  หน้าที่ของเราคือต้องช่วยสนับสนุนคนดีให้ทำหน้าที่ของเขาได้  ส่วน คนเลว” นั้น แม้มีเพียงคนเดียวก็ทำให้สังคมในหมู่ชนปั่นป่วน วุ่นวายเสียหายได้มากมาย  ดังนั้นครูจึงชอบใช้เวลาในชั้นสอนให้พวกเราเป็น   ”คนดี” ซึ่งไม่มีวิชานี้ในตารางสอนเลย ส่วนเนื้อหาวิชาการนั้น จะหาอ่าน หาเรียนที่ไหนก็ได้

 

        จำได้ว่าตอนฟังอาจารย์นั้น ยกมือทำหน้าทะเล้นถามอาจารย์ว่า งั้นแสดงว่า “คนเลว” มีศักยภาพและความสามารถมากกว่า “คนดี” ใช่ไหม เพราะเทียบกันตัวต่อตัวแล้ว คนเลวทำอะไรได้มากกว่าคนดีอย่างเทียบกันไม่ติด (แล้วจะมาพร่ำสอนให้เราเป็น คนดี ทำไมกัน)

 

       อาจารย์ตอบว่า ก็ขึ้นกับว่าเราจะมองแง่มุมไหน หากเทียบการกระทำ โดยไม่คิดว่าอะไรดี อะไรเลว ก็อาจบอกได้ว่าคนเลวมีศักยภาพและความสามารถมากกว่าคนดี แต่ต้องดู “ผล” ของการกระทำเป็นหลัก เพราะทำอะไรได้มากแค่ไหน หากเป็นการทำร้ายตัวเองและคนอื่น ทำร้ายสังคมประเทศชาติแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นคนที่มีศักยภาพหรือมีความสามารถหรอก…

 

       วันนี้เพิ่งนึกถึงประเด็นนี้ของคุณครูได้…นึกรักคุณครูจับใจ อยากให้มีคุณครูที่สนใจและตั้งใจสอนให้นักเรียนเป็น “คนดี” มากกว่าสอนเพียงวิชาการในหนังสือ … ด้วยหวังลมแล้ง ๆ ว่า

 

 

       …สังคมประเทศชาติของเราจะได้ดีขึ้นกว่านี้!!!

 

 

 

« « Prev : เกม…ชีวิต

Next : ยอมรับ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

10 ความคิดเห็น

  • #1 ป้าจุ๋ม ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 พฤษภาคม 2010 เวลา 10:18 (เช้า)

    -ขอคารวะคุณครูของน้องFreemind ด้วยคนค่ะ ครูสมัยก่อนจะมีทั้งคุณธรรมและจริยธรรม รักและห่วงใยลูกศิษย์ นอกจากจะสอนวิชาความรู้แล้วยังสอนลูกศิษย์ให้เป็นคนดีอีกด้วยค่ะ โดยทั้งสอนและทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้ดูค่ะ จึงทำให้ประเทศไทยเราเจริญรุ่งเรืองและน่าอยู่มาจนบัดนี้ค่ะ
    -แต่ณ. วันนี้และปัจจุบันนี้ชักไม่มั่นใจค่ะ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเร็วๆนี้ ทำให้คิดไม่ออกว่าคนไทยทำกันได้ขนาดนี้เชียวหรือ ขนาดพูดอย่างเปิดเผยว่าสถานที่ดีๆที่มีอยู่ในประเทศไทยจะถูกเผา จะทำลายให้หมด…ไม่ให้มีเหลือ??? คิดได้อย่างไรกับบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง พูดเหมือนลูกอกตัญญูที่มาขู่จะเอาตังค์จากพ่อ-แม่ไปซื้อยาบ้า แต่พ่อ-แม่ไม่ให้เลยขู่จะฆ่า และก็ฆ่าจริงๆด้วย…
    - แต่ทุกอย่างก็ไม่อาจเรียกคืนมาได้แล้ว ต่อจากนี้เราจะช่วยกันทำอย่างไรจะเรียกขวัญและกำลังใจของคนดีๆที่ยังมีอีกมากมาย…มาช่วยกันทำสิ่งดีๆของบ้านเราให้กลับคืนมาค่ะ เราทำได้ค่ะ  และต้องจดจำไว้ด้วยว่าใครทำร้ายประเทศไทยค่ะ

  • #2 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 พฤษภาคม 2010 เวลา 10:56 (เช้า)

    สวัสดีค่ะป้าจุ๋ม

    ขอบคุณข้อคิดดี ๆ ของป้าจุ่มนะคะ

    คนดีนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในอาชีพ หน้าที่ สังคมใด ก็ย่อมยึดหลักของคุณธรรม จริยธรรมซึ่งเป็น เกณฑ์ ในการอยู่ร่วมกันของสังคมมนุษย์โดยไม่อ้างที่จะใช้เพียง “กฏหมาย” ซึ่งเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำสุดในการจำกัดและจัดการให้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข

    คนที่เผาบ้านเผาเมืองตัวเอง คงมีระบบคิดอย่างหนึ่ง  ที่บ้านแม่จะสอนลูกหลานเสมอว่า สำคัญที่สุดคือ การติดกระดุมเม็ดแรก ต้องติดให้ถูกรังดุม เพราะหากเม็ดแรกผิด เม็ดต่อไปก็ผิดตามกันไปอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

    เราเป็นพุทธศาสนิกชน ที่สอนให้วางใจ ให้อภัย ทำดี ละชั่ว ทำใจให้บริสุทธิ์ แต่เราคงลืมไม่ได้ว่าใครทำสิ่งที่ไม่ดีไว้อย่างไร ไม่ได้อาฆาต แต่เราต้องจดจำไว้เพื่อเป็นบทเรียน ไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำซากต่อไป…

  • #3 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 พฤษภาคม 2010 เวลา 11:32 (เช้า)

    ถูกใจหลายเด้….

    มาช่วยกันสร้างคนดีกันนะครับ บางคนบอกว่าเริ่มที่ตัวเราก่อนอื่น เอ้าเริ่มก็เริ่มนะครับ

  • #4 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 พฤษภาคม 2010 เวลา 11:47 (เช้า)

    เริ่มที่ไหน…แบ่งแยกว่าใครดี ใครไม่ดี ฟันธง ได้หรือเปล่า  ในดีมีชั่ว ในชั่วมีดี 

    เพราะความถูกผิดเป็นสิ่งสัมพัทธ์ ไม่มีใครผูกขาดความถูก หรือความผิดไปเสียทั้งหมด แต่แท้ที่จริงแล้ว แต่ละฝ่าย ล้วนมีแง่ที่ผิดและถูกดำรงอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ด้วย เหตุนี้ แทนที่จะกล่าวโทษกัน เราควรหันมาแสวงหาทางออกร่วมกันด้วยสติ ด้วยปัญญา ร่วม กันคิดร่วมกันพิจารณา

    เพราะถ้าเรายังก้าวข้ามความถูก ความผิด หรือวิธีคิดแบบแบ่งฝักแบ่งฝ่าย และคอยแต่จะกล่าวโทษกันและกันไม่ได้ สิ่งที่รออยู่ตรงหน้าก็ คือ “หายนะมวลรวมประชาชาติ” ของคนไทยทั้งปวงโดยแท้

    จงมองคนให้เห็นว่าเป็นคน — ว.วชิรเมธี
    จงทำกับเพื่อนมนุษย์โดยคิดว่า-ท่านพุทธทาส

  • #5 ป้าจุ๋ม ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 พฤษภาคม 2010 เวลา 12:22 (เย็น)

    -ป้าจุ๋มยินดีที่ได้รู้จักน้องFreemindและได้ทักทายกันอย่างเป็นทางการค่ะ แอบอ่านมาหลายตอนแล้วค่ะ(เข้าใจว่าเป็นรุ่นลูกด้วยซ้ำไปค่ะ)ชอบความคิดและทัศนคติที่ดีค่ะ ก็ดีใจค่ะว่าลานปัญญาเราได้มีสมาชิกคุณภาพเพิ่มอีก 1 ท่านค่ะ ก็ยินดีต้อนรับนะคะในฐานะที่ป้าจุ๋มเป็นสมาชิกเก่า(แก่)คนหนึ่ง แต่ไม่ค่อยมีบทบาทและเวลาเขียนมากนัก เพราะไม่ค่อยมีความสามารถในการเขียนด้วยค่ะ แต่ก็เป็นสมาชิกลานปัญญาอย่างเหนียวแน่นเพราะเห็นความตั้งใจดีของผู้ก่อตั้งค่ะและเพื่อจะได้มีโอกาสเรียนรู้จากท่านผู้รู้ท่านอื่นด้วยค่ะ
    -เห็นด้วยกับน้องFreemind เรื่องการให้อภัย การทำใจให้สบาย การปล่อยวางและไม่อาฆาตค่ะ คนเราหากทำแค่นี้ได้ก็ถือว่าผ่านแล้วค่ะชีวิตนี้ ป้าจุ๋มก็ได้รับคำสอนจากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ว่าให้มีเมตตา เอื้อเฟื้อคนอื่น และให้อภัย สองอย่างแรกทำได้มาตลอดเพราะเป็นคนใจอ่อน ขี้สงสารค่ะแต่ก็เหมือนจะขัดแย้งกันนะคะเรื่องให้อภัยนี่ตอนเด็กๆนี่ไม่ได้เลยไม่ยอมใครเลยเหมือนกันโดนใครแกล้งไม่ได้เป็นต้องเอาคืน แต่แหมกว่าจะเอาคืนได้ก็ร้อนรุ่มเป็นทุกข์ตลอด …แต่พอโตก็ค่อยคิดได้และต่อมามีครอบครัว ก็โชคดีค่ะคู่ชีวิตเขาใจเย็น สุขุม ค่อยชี้ ค่อยยกตัวอย่าง อันนี้ช่วยได้มากเลยค่ะ และตัวเราเองก็คงโตขึ้นด้วยกระมังเรียกว่ามีวุฒิภาวะเพิ่มขึ้น แล้วก็มีลูกแล้วก็ชักคิดหนัก ตัวอย่างที่ดีอยู่ที่ไหน??? ก็คิดได้และพยายามค่ะ ต้องใช้คำว่าพยายามจริงๆค่ะ แล้วก็หมั่นทำบุญทำกุศลไปตามกำลังและไม่นานก็ทำได้ค่ะ  คือใจเย็นลง และทุกวันนี้ก็ทำใจได้ระดับหนึ่งค่ะ แต่เรียกว่าสบายๆพอสมควรทีเดียว  ก็มีแว๊บมาให้สะกิดใจบ้างแต่ก็วางอุเบกขาได้…ไม่กระทบอะไรมาก  ปลงได้แล้วก็ปล่อยไปพร้อมแผ่เมตตาว่าเขาคงทุกข์ใจ เขาคงไม่มีความสุข เขาจึงเป็นเช่นนั้นแล…เราก็สบายใจด้วยค่ะ  และการทำเช่นนี้ได้ก็พบว่าสุขภาพเราก็ดีด้วยค่ะ ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่มีโรคประจำตัวค่ะ ก็เรียกว่า มีลาภอันประเสริฐแล้วค่ะ แต่กว่าจะทำได้ถึงตรงนี้ได้เรียกว่าใช้เวลาทีเดียว และอาจเป็นด้วยบุญเก่าและบุญที่ทำใหม่ในชาตินี้ด้วยก็ได้ แต่ก็ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตเหมือนกันค่ะ ตอนนี้เกษียณอายุราชการแล้ว ลูกๆก็โตๆและได้เรียนจบมหาวิทยาลัยกันหมดแล้ว ทุกคนต่างมีเส้นทางชีวิตของตนเองและเป็นคนดี ก็เลยไม่มีอะไรต้องห่วง ตอนนี้ป้าจุ๋มก็เลยใช้ชีวิตแบบสบายๆค่ะ ใช้ชีวิตแบบพอเพียงตามอัตตภาพค่ะ ดูแลสุขภาพตัวเองและคนใกล้ชิดให้ดี อยากทำอะไรที่คิดว่าเป็นความสุขของตัวเอง โดยไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนก็จะทำค่ะ…ขอให้น้องFreemind โชคดีค่ะ
    -กมฺมุนา  วตฺตตี  โลโก  -สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมค่ะ

  • #6 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 พฤษภาคม 2010 เวลา 7:57 (เย็น)

    ขอบคุณพี่ bangsai ค่ะ

  • #7 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 พฤษภาคม 2010 เวลา 7:58 (เย็น)

    ขอบคุณ คุณป้าหวาน
    สำหรับข้อคิดเห็นและลิงก์ที่นำมาฝาก
    อ่านแล้วได้ประเด็น กระตุกความคิดมากค่ะ

  • #8 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 พฤษภาคม 2010 เวลา 8:08 (เย็น)

    สวัสดีป้าจุ๋ม อีกครั้งค่ะ ^_^

    เชื่อได้ว่าป้าจุ๋มเป็นผู้ใหญ่ที่มีแต่คนรัก เพราะแม้แต่ตัวหนังสือก็ย้งเต็มไปด้วยความเมตตา ปรารถนาดี

    แม้เกษียณแล้ว ก็ยังแสวงหาความรู้ และไม่ปฏิเสธเทคโนโลยี ต้องเป็นคนมีสุขภาพดีแน่ ๆ ค่ะ

    น้องชอบเขียน เพราะการเขียนคล้ายได้ฝึกฝนการคิดและยังได้ใช้การเขียน “เยียวยา” สำหรับความรู้สึกบางอย่างค่ะ และที่เบื่อหน่ายที่สุดก็คือ “การวิวาทะ” โดยปราศจากมูลเหตุอันสมควร  ด้วยคิดว่าคนเรามีเวลาในช่วงชีวิตหนึ่งไม่มากมายอะไร และไม่รู้แน่ด้วยซ้ำว่าเรามีเวลาเหลืออยู่เท่าไร จึงควรใช้เวลาให้มีคุณภาพเป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม (ถ้าทำได้) ดีกว่า

    กราบขอบพระคุณที่ป้าจุ๋มให้ความเมตตาและให้เกียรติเด็กน้อยด้อยปัญญาค่ะ

    ขอให้ป้าจุ๋มมีสุขภาพแข็งแรงนะคะ
    ;)

  • #9 ป้าจุ๋ม ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 พฤษภาคม 2010 เวลา 9:32 (เย็น)

    -น้องFreemind คะ…”คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ” จริงแท้แน่นอน คนเรามีทั้งคนรักคนชังค่ะ เป็นสัจจธรรมค่ะ  
    -อายุยังน้อยค่อยฝึกฝนไปเดี๋ยวก็ยิ่งเก่งค่ะ ส่วนป้าจุ๋มก็แค่ทรงๆไว้ก็ถือว่าเก่งแล้วค่ะ(ป้องกัน Alzheimer’s disease มาเยือนค่ะ)
    -ขอบคุณค่ะสำหรับคำอวยพร ขอให้น้องFreemindโชคดีและมีสุขภาพแข็งแรงเช่นกันค่ะ

  • #10 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 25 พฤษภาคม 2010 เวลา 9:10 (เย็น)

    ขอบคุณ ป้าจุ๋ม ค่ะ

    ป้าจุ๋มยังดูสาวปิ๊ง และยิ่งสนใจ ติดตามความเป็นไปของโลกข่าวสารข้อมูลแล้ว ไม่เป็น Alzheimer’s disease แน่ ๆ ค่ะ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.4430148601532 sec
Sidebar: 0.11316108703613 sec