ใจมีแผล ,งานบำรุงใจ , เรื่องของกรรม

4 ความคิดเห็น โดย ป้าหวาน เมื่อ 3 ตุลาคม 2009 เวลา 7:23 (เช้า) ในหมวดหมู่ ข้อคิด ชีวิต #
อ่าน: 3023

ใจมีแผล

ยาพิษไม่อันตราย  ถ้ามือที่จับไม่มีแผล
ใจเรายอมให้ความทุกข์เข้ามาหรือเปล่า
ใจเราเปิดช่องเอง  เหมือนใจมีแผล
อย่าโทษภายนอก
เวลาเราชี้นิ้วไปหาใคร  เราชี้เพียงนิ้วเดียว
แต่อีกสามนิ้วเราชี้เข้ามาหาตัวเราเอง
เรามักจะไม่ดูใจของเราเอง
ถ้าใจเราไม่ยอมให้เข้ามา ก็อยู่ที่ตา ที่หู เข้ามาไม่ได้
ถ้าฝนตก หลังคารั่ว อย่าไปโทษฝนที่ทำให้เราเดือดร้อน
ต้องโทษเราที่ไม่ดูแลหลังคาให้ดี

ใจเรามักมีปฎิกริยาเกินเหตุ
ของธรรมดา เราไปปรุง ไปคิด ใจเราทำเอง แต่เราไปโทษข้างนอก
ใครทำอะไร เราก็เก็บไปคิด คิดทั้งวัน ทั้งคืนก็มี
สิวไม่มีอะไรมาก แต่คนฆ่าตัวตายได้เพราะสิว
สิวไม่ได้ทำให้คนตายได้ แต่ความคิดที่ทำให้ตายได้
เพราะใจมันคิด ปรุงแต่ง
สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ก็ฆ่าตัวตาย ก็มี
ความคิดปรุงแต่งนั้นมีปฎิกริยาเกินเหตุ
ใครทำอะไรกับเรา ถ้าเราจริงจังมากก็ทุกข์มาก
หันมา เราดูใจเรา สอนใจเรา อย่าไปดูที่คนอื่นตลอดเวลา
อย่าสนใจแต่สิ่งภายนอกตลอดเวลา

สิ่งดีๆถ้าเกี่ยวข้องไม่เป็นก็ทำให้เสียเหมือนกัน
ถ้าใจไม่พร้อมอาจเหมือนสามล้อถูกหวยที่ภายหลังกลับเป็นทุกข์หนัก

อาจเหมือนพระที่หลงในลาภสักการะ
เลยต้มตุ๋นชาวบ้าน
ถ้าขอพรได้ น่าจะขอให้ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง
แต่พรนี้ให้ไม่ได้ ต้องทำเอง
ให้รักษาใจ ฝึกใจของเราไม่ให้มีแผล

งานบำรุงใจ

นอกจากอาชีพการงานหรือการทำมาหากินแล้ว เรายังมีงานด้านในที่ควรใส่ใจด้วย
หากอาชีพการงานเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิต งานด้านในก็เป็นสิ่งบำรุงใจ
ความสงบและความดีเป็นเสมือนอาหารใจ ที่ทำให้จิตใจเป็นสุขและเจริญงอกงาม
ร่างกายนั้นเมื่อถึงวันหนึ่งก็หยุดเจริญเติบโต
แต่ใจนั้นสามารถเจริญงอกงามไปได้เรื่อย ๆ ไม่เว้นแม้แต่ในยามเจ็บป่วย

เรื่องของกรรม

เพราะกรรมในอดีตมันมีนัยยะคล้ายๆ พรหมลิขิตซึ่งห่างไกลพุทธศาสนามาก
ชาติที่แล้วคุณทำอะไรมาก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญอยู่ที่ปัจจุบันชาติ
สิ่งที่คุณมีอยู่ตอนนี้จะมาจากไหนก็ตาม สิ่งสำคัญอยู่ที่คุณจะทำอย่างไรกับสิ่งที่มีอยู่
เหมือนคุณจั่วไพ่ มันไม่สำคัญว่าคุณได้ไพ่อะไรมา
สิ่งสำคัญคือคุณจะเล่นไพ่ในมืออย่างไรต่างหาก

คุณจะเอาสิ่งที่คุณมีมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไรนี้คือประเด็นที่สำคัญ

เปรียบเหมือนแม่ครัวสองคน คนหนึ่งมีเครื่องปรุงทุกอย่างในครัว
อีกคนในครัวไม่ค่อยมีอะไรเลย ทำไมแม่ครัวคนหลังถึงทำอาหารได้อร่อยกว่า
มันอยู่ที่ฝีมือ อยู่ที่ความใส่ใจในขณะปรุง นี่คือเรื่องของกรรมโดยตรง
กฎแห่งกรรมไม่ได้เน้นว่าการที่คุณมีของในครัวน้อยเป็นเพราะชาติที่แล้ว
แต่เน้นว่า คุณจะนำของที่มีอยู่ไม่กี่อย่างนั้นมาทำให้อร่อยได้อย่างไร

แต่คนยุคนี้กลับสนใจว่าทำอย่างไรฉันถึงจะมีของในครัวครบทุกอย่าง
แต่ไม่สนใจที่จะฝึกปรือวิชาทำครัว หรือพยายามทำครัวให้ดีที่สุด
ไม่ว่าจะมีของมากหรือน้อยก็ตาม การที่คุณหมั่นฝึกปรือวิชาทำครัว
ใส่ใจทำอาหารให้ดีให้อร่อยแม้จะมีเครื่องปรุงแค่ไม่กี่อย่าง เป็นเรื่องของกรรม

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล

http://www.visalo.org/sound/soundFile/yenDhamma/06.wma
http://www.visalo.org/columnInterview/AdayBud.htm
http://www.visalo.org/index.htm


สู่รักแท้

3 ความคิดเห็น โดย ป้าหวาน เมื่อ 30 กันยายน 2009 เวลา 6:38 (เช้า) ในหมวดหมู่ ข้อคิด ชีวิต #
อ่าน: 2467

ความรักนั้นเป็นได้ทั้งความสุขและความทุกข์ เป็นทั้งความหวังและสิ้นหวัง เป็นทั้งอนาคตและความมืดมิด
ถ้าเรารักด้วยสมอง ความรักจะนำสิ่งดีๆ มาให้เรา ถ้าเรารักจนขึ้นสมอง ความรักจะนำสิ่งเลวร้ายมาให้แก่เรา

ความรักจะเป็นสิ่งที่ล้ำเลิศ หรือความทุกข์ตรมขึ้นอยู่กับว่ารักด้วยสมองหรือรักแบบขึ้นสมอง
วันหนึ่ง เมื่อรักไม่สมหวังในความรัก ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สมหวังในการดำเนินชีวิต

รวมทั้งต้องไม่ยึดติดว่า
ความรักมีเพียงมิติเดียว คือ ความรักเชิงชู้สาวเท่านั้น
แต่ความรักมีหลายมิติ เปรียบเสมือนบันไดต้องเดินขึ้นไปทีละขั้น จนถึงความหมายของความรัก นั่นคือ
ความสุข ถ้ารักแล้วมีความทุกข์ หมายถึง พัฒนาการของความรักยังไม่สมบูรณ์

ขั้นบันไดแห่งความรัก นั้นมี 4 ขั้น

ขั้นที่ 1 รักตัวกลัวตาย รักชนิดนี้ ถ้ามีมากๆจะทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว

ขั้นที่ 2 รักใคร่ปรารถนา อิงกับสัญชาตญาณการ สืบพันธุ์ ความรักชนิดนี้มีมากจะทำให้เกิดความลุ่มหลง กามารมณ์ หนุ่มสาวจะยึดความรักชนิดนี้เป็นที่พึ่งของชีวิต ยึดติดความใคร่มาใช้ในนามของความรัก จนกลายเป็นความโลภ คือ อยากจะครอบครองใครสัก
คนให้อยู่ในความควบคุมของเรา พอควบคุมไม่ได้ความรักก็กลายเป็นความร้าย เป็นโศกนาฏกรรม เช่น ทำร้ายคนรัก เผยแพร่คลิป
คนรัก สาดน้ำกรดคนรัก เป็นต้น

ขั้นที่ 3 รักเมตตาอารี ให้เห็นคนทั้งโลกว่า เป็นมิตรแก่เรา

ขั้นที่ 4 รักมีแต่ให้ รักปัญญาชนไม่คิดจะทำร้ายใคร ไม่หวังผล ซึ่งความรักจะต้องพัฒนาจนถึงปลายทางของความรัก

ความรักแท้ คือ ความกรุณา  รักที่จะเป็นผู้ให้

อาตมาขอให้เด็กและเยาวชน คนไทยทั้งหลาย ยึดความรักที่อาตมากล่าวมาทั้งหมด
เป็นแนวทางปฏิบัติ เรียนรู้พัฒนาความรัก ไม่ใช่ไปจมติดกับความรัก

ว. วชิรเมธี
www.bangkokbiznews.com/…/ว.วชิรเมธีเตือนโจ๋สู่รักแท้-รักด้วยสมอง.html
http://hilight.kapook.com/view/33829

ปฏิบัติธรรมอย่างไรจึงแก้ความร้อนรุ่มใจในรักได้
http://www.star4life.com/forum/index.php?PHPSESSID=q63n30k8miaoq4dodtbuevt471&topic=974.msg3207#msg3207
http://dungtrin.com/mag/?18.prepare


ตถตา

5 ความคิดเห็น โดย ป้าหวาน เมื่อ 17 กันยายน 2009 เวลา 7:38 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3393

ตถตา แปลว่า เป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนั้นเอง
การเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือเห็นเช่นนั้นเอง
หรือจะแยกออกไปเป็นว่า มันปรุงแต่งกันออกไปเป็นสายยาว
เป็นปฏิจจสมุปบาท กระทั่งว่ามี อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน
ทุกข์ มันก็คือเช่นนั้นเอง ที่ต้องทุกข์ก็เพราะว่าเป็นเช่นนั้นเองอย่างนั้น
ขณะใดไม่ต้องทุกข์ เพราะว่า มันเป็นเช่นนั้นเองอย่างนั้น
ฉะนั้น เรามีเช่นนั้นเองไว้เป็นเครื่องดับทุกข์เถอะ
อะไรเกิดขึ้นมาก็เห็นเป็นเช่นนั้นเองไว้ก่อน แล้วก็จะไม่รัก จะไม่เกลียด
จะไม่โกรธ จะไม่กลัว ไม่วิตกกังวลอะไรหมด เพราะมันเช่นนั้นเอง

เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมี ชราและมรณะ …
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ …
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ …
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน …
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา …
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา …
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ …
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ …
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป …
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ …
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร

พระตถาคตทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่เสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุอันนั้น คือ
ธัมมฐิติ ธัมมนิยาม อิทัปปัจจัย ก็ยังดำรงอยู่
พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ย่อมตรัสรู้ ทั่วถึงซึ่งธาตุอันนั้น
ครั้นแล้วย่อมตรัสบอก ทรงแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น
และตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงดู ดังนี้
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร ภิกษุทั้งหลาย
ความจริงแท้ ความไม่คลาดเคลื่อน
ความไม่เป็นอย่างอื่น
มูลเหตุอันแน่นอนในธาตุอันนั้น

ดังพรรณนามาฉะนี้แล   เราเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%96%E0%B8%95%E0%B8%B2

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ บรรทัดที่ ๕๙๐ - ๖๔๑. หน้าที่ ๒๔ - ๒๖.

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=16&A=590&Z=641&pagebreak=0


ใครทำให้มีค่า..

9 ความคิดเห็น โดย ป้าหวาน เมื่อ 5 กันยายน 2009 เวลา 9:20 (เช้า) ในหมวดหมู่ ข้อคิด ชีวิต #
อ่าน: 2134

ถามว่า แมลงปอตัวนี้มีคุณค่าไหม
อยากตอบว่าขึ้นกับว่าเทียบกับอะไร
ถ้ามองที่ความสามารถคงมีน้อยนิดถ้าเทียบกับสัตว์อื่น
ถ้ามองที่คุณประโยชน์ จะหาประโยชน์อะไรจากแมลงปอคงมีไม่มาก
แต่ถ้ามองที่ความงามเล่า  สีสรร ความมีชีวิตราบเรียบ สงบ
ก็มีเสน่ห์แล้ว  มองเห็นก็ให้ความสบายตา สบายใจ
คุณค่าคือสื่งที่ผู้ประเมินคิดเปรียบเทียบกับอะไรบางอย่างในใจ

นั่นคือเรื่องของผู้ประเมินจะคิด
ถามว่าแมลงปอตัวนี้ จะมีชีวิตอย่างไร
ตัวแมลงปอเองคงไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร
สนใจให้ตัวเองอยู่รอดก็พอแล้ว
ไม่ใช่  ความคิดใครที่มีต่อแมลงปอ จะมีผลต่อแมลงปอได้

แต่มนุษย์เรา กลับเอาคำพูด ความคิด คนอื่น
มากระทำต่อตัวเอง  ให้มีผลเช่นนั้น เช่นนี้
ตัวเอง ทำเองต่างหาก  จะดี จะชั่ว
จะทำอะไร ทำได้อย่างไร ทำได้ไม่ได้
ไม่ใช่  ความคิดใครที่มีต่อแมลงปอ จะมีผลต่อแมลงปอได้

ธรรมชาติ สอนเรา ตลอดเวลา ดอกไม้ ภูเขา ทะเล
มีความแตกต่างมากมายตั้งแต่เล็กน้อย ไปจนราวฟ้ากับดิน
ความแตกต่างนั้นคือ ธรรมชาติ ความแตกต่างนั้นมีทุกหนแห่ง
สำหรับในใจคนนั้น ถ้ายอมรับความแตกต่างได้
ถ้าเกิดการเรียนรู้ที่จะอยู่กับ ความแตกต่าง
ก็จะเกิดความสุข ความงามในจิตใจ
เหมือนดั่งเช่น ธรรมชาติ
เพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง


บ้านเฮฮาศาสตร์

13 ความคิดเห็น โดย ป้าหวาน เมื่อ 24 สิงหาคม 2009 เวลา 1:09 (เย็น) ในหมวดหมู่ ข้อคิด ชีวิต #
อ่าน: 1665

ฟังเพลงกดที่ปุ่มรุปลำโพงค่ะ
มีบางคนบอกว่า เรามาพบกัน มีสัมพันธ์กันด้วยวาสนา
บ้านเฮฮาสตร์ เป็นสังคมอีกแห่งหนึ่งที่น่าอยู่
ป้าหวานอยากให้เหมือนบ้าน ทุกคนเหมือนญาติ
ป้าหวานจะฝันมากไปหรือเปล่าไม่ทราบค่ะ


ใครทำก่อน…..

6 ความคิดเห็น โดย ป้าหวาน เมื่อ 22 สิงหาคม 2009 เวลา 5:10 (เย็น) ในหมวดหมู่ ข้อคิด ชีวิต #
อ่าน: 1491

เมื่อจะเริ่มต้น หรือ เมื่อจะแก้ไข จุดมุ่งหมายล้วนทำให้ดีขึ้น และหลังจากดีขึ้นแล้ว ได้รับผลแล้ว ต่างก็มีความสุข ไม่ใช่หรือ ทำไมคนเรามักจะรอดู  หรือ รอให้คนอื่นทำก่อน และบางที ไม่ทำแต่อยากให้คนอื่นทำโดยใช้วิธีของตัวเองอีกด้วย เพราะอัตตาใช่ไหม…ทุกสิ่งเกิดจากใจ ใจเป็นใหญ่ สมเด็จพระสังฆราชท่านทรงสอนให้อย่ายอมยกใจให้ใครหรืออะไร แต่เจ้าของจะต้องคอยดูแลใจตัวเองให้ลดกิเลสทั้งมวล ให้อย่าทำแม้แต่จะให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจ เพราะมันจะเกิดเหตุให้เกิดผลอื่นๆตามมา แต่ใจคนเรามักดื้อดึง เอาแต่ใจตัว มีตัวกู ของกู อยู่เสมอ จึงทำให้เอาความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้ง แม้จะทำความดีก็ยังไม่วาย ไม่วาง ใครจะเริ่มก่อน….

หลวงปู่เทสก์เคยยกตัวอย่างว่า  เรามีผลไม้ 2ลูก ลูกหนึ่งใหญ่ ลูกหนึ่งเล็ก จะแบ่งให้เพื่อนลูกหนึ่ง  ตอนจะแบ่งนี้มันทรมานใจ หลวงปู่ว่าใจมันสับสน มันไม่สบายใจ อยากจะให้เพื่อนลูกเล็กเก็บลูกใหญ่ไว้เอง  แต่เมื่อให้แล้วต่างกัน ให้ลูกใหญ่แล้วมันสบายใจมีความสุขกว่าให้ลูกเล็ก  ประทับใจเหลือเกินกับคำสอนง่ายๆของท่าน

คุณหมอประเวศ วะสี ท่านเคยเขียนไว้ในหนังสือ ชื่อ รักษาโรค หรือ รักษาคน  ตอนหนึ่ง ขอเล่าย่อๆว่า  มีหมอหนุ่มคนหนึ่ง มาดูแลเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง  เด็กผู้หญิงคนนั้นดื้อมาก ไม่ยอมกินยา เม้มปากไว้แน่น หมอจะพยายามพูด พยายามป้อนเท่าใดก็ไม่กิน ระหว่างนั้นเด็กก็ได้ปัดช้อนยาจากมือหมอกระเด็นไป  หมอหนุ่มจึงเลิกป้อนยาเด็กคนนั้น  ในที่สุดอาจารย์หมอก็มา  อาจารย์หมอก็พยายามป้อนยาให้เด็กเช่นเดียวกันและมีกริยาอ่อนโยน ยิ้มแย้ม เด็กก็ทำอย่างเดิม  ปัดช้อนยากระเด็นไป  แต่อาจารย์ก็ยังคงยิ้ม และใจดี ถึงเสื้อหมอจะเปื้อนยาจะหกเลอะเทอะ  ท่านก็ป้อนใหม่  เด็กคนนั้นเริ่มมองท่าน  ฟังท่าน และในที่สุดก็ยอมอ้าปากรับยาแต่โดยดี  ถึงแม้จะรับยาแล้วมุดหน้าลงกับหมอนก็ตาม


วิธีการให้ได้มา

5 ความคิดเห็น โดย ป้าหวาน เมื่อ 6 สิงหาคม 2009 เวลา 12:08 (เย็น) ในหมวดหมู่ ข้อคิด ชีวิต #
อ่าน: 2042

เรื่องในชีวิตประจำวันธรรมดา  ทำให้ได้คิดค่ะ บางทีเรามองข้ามศิลปะในการจัดการและไม่ใช้หลักจิตวิทยา ทำให้ เรื่องที่คิดว่าง่ายอาจกลายเป็นยาก ในทางตรงกันข้ามเรื่องที่ยาก หากมีวิธีการที่ดี อาจกลายเป็นง่าย

บางทีการให้น้ำหนักที่ผลรับมากกว่าวิธีการ อาจทำให้ไม่ไปถึงผลที่ต้องการ  แต่การให้น้ำหนักที่วิธีการอาจทำให้เพิ่มผลรับได้มากกว่าที่คาด เคยอ่านเรื่อง ห่านกับไข่ทองคำ นำมาเล่านิดหนึ่งว่า มีห่านตัวหนึ่งออกไข่เป็นทองคำ  แต่เราไม่สามารถบังคับให้ห่านออกไข่มากกว่าที่ห่านจะทำได้ และ ไม่เกิดไข่ทองคำถ้าห่านนั้นสุขภาพไม่ดี ในทางตรงกันข้าม ถ้าห่านนั้นสมบูรณ์แข็งแรงดีมาก อาจให้ไข่ทองคำมากกว่าที่คิด แต่ถ้าใจร้อน หรือ ดูแลไม่ดี ห่านตายไป  ก็ไม่มีไข่ทองคำอีกต่อไป

เรื่องนี้น่านำมาประยุกต์ใช้กับหลายๆเรื่องรอบๆตัวนะคะ  เราเร่งห่านหรือเปล่า  เราดูแลห่านดีไหม  เราอยากได้มากเกินไปไหม  เราคำนึงถึงห่าน  หรือ ไข่ทองคำ มากกว่ากัน


ทางเอก หรือ ทางโท ไฟเขียว หรือ ไฟแดง

5 ความคิดเห็น โดย ป้าหวาน เมื่อ 30 กรกฏาคม 2009 เวลา 5:37 (เย็น) ในหมวดหมู่ ข้อคิด ชีวิต #
อ่าน: 4900

เมื่อวันก่อนคุยกัน วงสนทนาเอ่ยถึงเรื่อง ผิด หรือ ถูก ป้าหวานนึกถึงเรื่องนี้ค่ะ

ป้าหวานเคยมีอุบัติเหตุทางรถยนต์ค่ะ  จุดเกิดเหตุ เป็นสี่แยก บนถนนโล่งเปลี่ยว  รถวิ่งทางไกล ไม่เร็วนัก แต่แล้วรถอีกทางหนึ่งก็มาถึงจุดเกิดเหตุพร้อมกัน  รถเราหักหลบเต็มที่ แต่ไม่วาย…ชนกัน  ขอข้ามรายละเอียดไปนะคะ มาถึงหลังจากเหตุการณ์นั้นเรามาพูดคุยกัน  สามีป้าหวานบอกว่า  เรามา ทางเอก และเขาไม่คิดว่ารถคันนั้นจะวิ่งเข้ามา  ที่ควรคือให้เราไปก่อน

เหตุคล้ายกันอีกครั้ง  ตอนนั้น เราอยู่ระหว่างรอไฟแดง  เราเป็นรถคันแรก อยู่หน้าสุด  พอไฟเขียวรถทุกคันออกตัวและกำลังจะเร่งเครื่อง  ทันใดนั้นมีรถมอเตอร์ไซด์  ขับฝ่าไฟแดงออกมา  ป้าหวานรีบบอกสามี  มอเตอร์ไซด์ๆๆ   เกือบไปค่ะ  สามีป้าหวานเบรคทัน  นี่คือ ไฟแดง

ทางเอก ทางเอกแล้วเป็นอย่างไร  ถึงแม้เรามาทางเอกแต่ถ้ามีใครในรถเป็นอะไรไปเล่า….ทางเอกก็เบรคได้  ยอมรอได้  ดีกว่าไหมคะ  ไฟแดง ก็เหมือนกัน….เราเป็นไฟเขียว  เราจะไป เราต้องไป  แต่ถ้าไปแล้วชนกัน เราหยุดดีกว่าไหม…


จัดการอย่างไรดี

7 ความคิดเห็น โดย ป้าหวาน เมื่อ 8 มิถุนายน 2009 เวลา 9:32 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1577

 

เราทุกคนคงมีเรื่องผ่านเข้ามาในชีวิตมากมาย  บางเรื่องน่าจดจำ เราเคยไหมที่พยายามจะจดจำไว้ ไม่ให้ลืม  แต่บางเรื่องเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดกับชีวิตเราเลย  แต่ก็เกิด  แล้วเราทำอย่างไร  วันนี้ขอมาถามค่ะ  ใครมีวิธีคิด วิธีทำ อย่างไร กับเรื่องที่เกิดในชีวิตที่เรียกว่า ไม่อยากให้เกิด แต่ก็เกิด  บ้างคะ  เริ่มจากภายใน คิดอย่างไร จะหาเหตุเกิดอย่างไรไหม  จะหาอะไรบ้าง หลังจากนั้น จะใคร่ครวญ ไตร่ตรองอย่างไร ต้องมีข้อสรุปไหม หรือ กดทับ หรือ ตัดทิ้ง ใช้วิธีอย่างไรบ้างคะ สุดท้าย จะต้องลบออกไป พยายามลืมหรือไม่ อย่างไรค่ะ  ขอบพระคุณค่ะ

ในที่นี้ขอเปิดรับกว้าง ทุกแนวนะคะ และ รวมทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นเอง หรือ เรื่องที่มีการทำให้เกิด อาจจากใครก็ตาม อาจจะเล่า หรือ ไม่เล่าเรื่อง ก็ได้ค่ะ แต่ขอวิธีจัดการค่ะ  แน่นอนว่าแต่ละคนแตกต่างได้ เหมือนได้ และ ทุกความคิดมีคุณค่า ขอบพระคุณค่ะ 

                                                  


ห้องแล็บชีวิต : ใจ กับ กิเลส

6 ความคิดเห็น โดย ป้าหวาน เมื่อ 2 มิถุนายน 2009 เวลา 8:55 (เช้า) ในหมวดหมู่ ข้อคิด ชีวิต #
อ่าน: 2027

 

The value of an idea lies in the using of it
              Thomas A.Edision

  จาก  เรื่องเกี่ยวกับความคิด ลานซักล้าง

มาตรงกับคำสอนของ หลวงปู่ชาสุภัทโธ จาก ตาชั่งที่ไม่เที่ยงตรง ลานซักล้าง     

ปริยัติปฏิบัติ   


หลวงพ่อมักแนะนำพระภิกษุสามเณร ผู้ที่มุ่งเข้ามาประพฤติปฏิบัติที่วัดหนองป่าพงว่า

“ไม่ต้องอ่านหนังสือ ให้อ่านใจตัวเองดีกว่า” แต่ไม่ใช่ว่าท่านประมาทในเรื่องปริยัติธรรม
เพียงแต่เป็นห่วงว่าลูกศิษย์จะหลงเข้าใจผิดว่า ตนรู้ธรรมะดีแล้ว ทั้ง ๆ ที่จิตยังเข้าไม่ถึง

ปริยัตินี้เหมือนตำรายาที่ชี้บอกให้หารากไม้ แต่ถ้าไม่ปฏิบัติ ออกแสวงหาต้นยา ให้รู้จักว่า
ต้นนี้เป็นอย่างนั้น ต้นนั้นเป็นอย่างนี้ มันไม่เกิดประโยชน์อะไร”
มิหนำซ้ำ ความรู้ที่เป็นสัญญาความทรงจำอาจจะมีโทษต่อผู้ภาวนา

          ในที่นี่ป้าหวานนำมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิต  ป้าหวานเกิดความรู้สึกเปรียบเทียบกับที่เคยเรียนมา  หลวงปู่ท่านหมายถึง เราต้องเข้า  ห้องแล็บชีวิต  ในตำราบอกแต่วิธี แต่ถ้าไม่ลงมือปฎิบัติ เราก็จะรู้แต่ตัวหนังสือ  ตอนสมัยเรียน เมื่อเรียนทฤษฎีแล้ว ก็ต้องเข้าห้องแล็บ เข้าไปสัมผัส ด้วยมือ ด้วยตา ให้เห็นจริง ให้เข้าใจจริง

หลวงพ่อเคยสอนพระที่แตกฉานในทางปริยัติรูปหนึ่งว่า
“เอาปริยัติของคุณใส่หีบใส่ห่อเก็บไว้เสีย อย่าเอามาพูด
เวลามีอะไรขึ้นมา มันไม่เป็นอย่างนั้น เหมือนกับเราเขียนหนังสือว่า ความโลภ

เวลามันเกิดขึ้นในใจมันไม่เหมือนกับตัวหนังสือ เวลาโกรธก็เหมือนกัน
เขียนใส่กระดานดำเป็นอย่างหนึ่ง มันเป็นตัวอักษร เวลามันอยู่ในใจ มันอ่านอะไรไม่ทันหรอก

มันเป็นขึ้นมาที่นี่เลย สำคัญนัก สำคัญมาก จริงอยู่ปริยัติเขียนไว้ถูก
แต่ต้อง โอปนยิโก ให้เป็นคนน้อม ถ้าไม่น้อมก็ไม่รู้จักความจริง”    

ยังมีอีกมากนะคะ  ลองติดตามจากที่อ้างถึงนะคะ
จะเห็นได้จากที่อ้างมาข้างต้นว่า การปฎิบัติตามคำสอนของท่านนั้น เป็นการนำเอาธรรมมาใช้จริง  และทำให้เกิดขึ้นจริง 
ไม่ใช่เรียนรู้แต่ในตำรา  และเมื่อนำมาใช้แล้วเราก็จะตระหนักมากขึ้นจนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ต่อๆไป ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆในชีวิต 
เมื่อนึกเชื่อมโยงกับ การมีสติ  ทำให้รู้ถึงวิธีจัดการกับอารมณ์  มีสติ  มีสติเป็นตัวหนังสือ ในทางปฎิบัติคือหมายถึงรู้สติ แล้วนำไปสู่การบังคับตัวเอง  รู้เฉยๆไม่พอ  การบังคับตัวเองก็คือ พิจารณาให้เห็นกิเลสตัณหานั้นแล้วตัดออกไป  ทุกอย่างเกิดขึ้นที่ใจเราทั้งสิ้น เกิดอารมณ์เมื่อมีกิเลสมาจับ ชอบไม่ชอบ อยากได้ไม่อยากได้ หวัง ไม่หวัง โกรธ เสียใจเพราะไม่เป็นไปตามที่คิด เมื่อทราบแล้วว่าเกิดจากกิเลสมาจับ เราก็ต้องมีสติก่อนจะได้รู้ว่ากิเลสมาแล้วไม่ตกไปอยู่ใต้อำนาจกิเลส การรู้นั้นเกิดขึ้นได้ในระดับความยากง่ายต่างกัน  บางเรื่องทำได้ง่าย บางเรื่องทำได้ยาก
 เรามีตัวช่วยจากคำสอนเรื่องการย้ายที่วางใจ  จาก แสงส่องใจ สมเด็จพระสังฆราช  ใจเราส่งกระแสออกไปเรียกกิเลสมา  ถ้าเราเปลี่ยนที่จุดนี้ ใจกับกิเลสก็จะไม่พบกัน เพราะใจรู้สึกได้ที่ละหนึ่งเดียว เราจึงหลบกิเลสได้ มีสติ แล้วทำอย่างไรต่อให้ไม่ผลอ เดี๋ยวใจก็วิ่งไปที่เดิมอีก ต้องหางานให้ใจทำ ให้ใจไม่ว่าง อาจใช้วิธี พุทโธๆ หายใจเข้า หายใจออก เอาใจไปตามเรื่องพุทโธ หรือ เรื่องการหายใจ  บางคนทำได้ บางคนทำไม่ได้ เดี๋ยวใจก็วิ่งไปอีก  ก็ให้เพิ่มงานอีกงานนั้นเบาไปใช้แต่ใจ ให้ใช้กายด้วย  จะใช้วิธีไหนก็ได้ให้เกิดการบังคับร่างกาย แล้วเอาใจไปจับ เช่นการเดินจงกรม แต่บางท่านอาจใช้กายบริหารแทนก็ได้ เอาใจไปตามการเคลื่อนไหวของกาย สักพักจะเกิดควบคุมสติได้  นอกจากนี้ยังมีวืธีย้ายร่างกายเปลี่ยนสถานที่ ทำให้พบสิ่งเร้าอย่างอื่น สติจึงกลับคืนมา หรือใช้วิธีระบายออก โดยการร้องเพลง การพูด การเขียน  เป็นการใช้ร่างกายช่วย เปลี่ยนที่วางใจ  แต่ในส่วนตัวป้าหวานคิดว่า  การอ่านเป็นการรับเพิ่มเข้าไป ไม่ใช่การระบายออกมา  และต้องระวังไม่ใช่หนีเสือ ปะ จระเข้ ออกจากหลุมนี้ไปตกหลุมโน้น ต้องมี
เป้าหมายที่ชัดเจนค่ะ  เมี่อสติกลับคืนมาแล้วจึงไตร่ตรองหาทางกำจัด และ ป้องกันกิเลส  ซึ่งถ้าเราชนะใจตัวเองบ่อยๆใจก็จะเข้มแข็ง ข้อนี้ป้าหวานว่าตามตำรา ป้าหวานเองยังไม่เก่ง เพียงแต่มาบอกต่อ เท่านั้นค่ะ
นอกจากนี้เรายังมี   ยุทธวิธีกำจัดมาร ของ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี  มีเรื่อง ยิงเร็ว ยิงไว ยิงไกล ด้วย แยบยลจริงๆ

ยิงเร็วและยิงไว ยิงไกล ยิงถูกข้าศึกหมู่ใหญ่ กิเลสมารมีราคะ เป็นต้น จะเกิดขึ้นด้วยการดำริแล้ว รีบเร่งให้มีสติกำหนดประหารอย่าให้ทันเกิดขึ้นได้ เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วจะแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง เรียกว่ายิงเร็ว กิเลสมารถึงมันจะเกิดขึ้นห่างไกลจากตัวของเรา แต่มันเกี่ยวเนื่องถึงตัวของเราก็ให้รีบเร่งตั้งสติกำหนดเอากิเลสนั้นมาเป็นอารมณ์ ให้เห็นมูลของมันแล้วทำลายเสีย เรียกว่ายิงไกล สรรพกิเลสทั้งปวงซึ่งมีราคะ โทสะ โมหะ เป็นแม่ทัพนำพาเอากิเลสทั้งปวงมารุมล้อม ทำให้จิตของเราเศร้าหมอง ต้องกำจัดด้วยอนัตตาเป็นอาวุธ ถูกข้าศึกหมู่ใหญ่ราบเรียบไปหมด เราได้แม่ทัพทั้งสามคนนี้ไว้ในกำมือแล้ว เราไม่กลัวข้าศึกภายในของเราซึ่งจะมาราวีทำลายสมาธิของเราได้

เป็นเรื่องเล่าสู่กันฟังเท่านั้น กรุณาช่วยปรับปรุง แนะนำ ถ้าเห็นแตกต่าง หรือ ถ้าอยากเพิ่มเติม จะเป็นพระคุณค่ะ  เจตนาของป้าหวานคือการแบ่งปัน  ไม่ได้เจตนาแสดงว่ารู้ เพราะจริงๆก็ยังไม่รู้ค่ะ ยังเรียน ยังหาอยู่ และ ไม่ใช่เจตนาว่า ท่านทื่อ่านไม่รู้ เพราะท่านที่รู้มากกว่ามีมากมาย  ป้าหวานเทน้ำในแก้วออกมา เพื่อรับน้ำใหม่เข้าไปค่ะ  เพราะท่านว่า ถ้าเราไม่เทน้ำออก เราก็รับอะไรเพิ่มไม่ได้  ช่วยเติมเต็มให้ด้วยนะคะ  ขอบคุณค่ะ

 



Main: 0.15291690826416 sec
Sidebar: 0.037315130233765 sec