ห้องแล็บชีวิต : ใจ กับ กิเลส
The value of an idea lies in the using of it
Thomas A.Edision
จาก เรื่องเกี่ยวกับความคิด ลานซักล้าง
มาตรงกับคำสอนของ หลวงปู่ชาสุภัทโธ จาก ตาชั่งที่ไม่เที่ยงตรง ลานซักล้าง
ปริยัติปฏิบัติ
หลวงพ่อมักแนะนำพระภิกษุสามเณร ผู้ที่มุ่งเข้ามาประพฤติปฏิบัติที่วัดหนองป่าพงว่า
“ไม่ต้องอ่านหนังสือ ให้อ่านใจตัวเองดีกว่า” แต่ไม่ใช่ว่าท่านประมาทในเรื่องปริยัติธรรม
เพียงแต่เป็นห่วงว่าลูกศิษย์จะหลงเข้าใจผิดว่า ตนรู้ธรรมะดีแล้ว ทั้ง ๆ ที่จิตยังเข้าไม่ถึง
“ปริยัตินี้เหมือนตำรายาที่ชี้บอกให้หารากไม้ แต่ถ้าไม่ปฏิบัติ ออกแสวงหาต้นยา ให้รู้จักว่า
ต้นนี้เป็นอย่างนั้น ต้นนั้นเป็นอย่างนี้ มันไม่เกิดประโยชน์อะไร”
มิหนำซ้ำ ความรู้ที่เป็นสัญญาความทรงจำอาจจะมีโทษต่อผู้ภาวนา
ในที่นี่ป้าหวานนำมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิต ป้าหวานเกิดความรู้สึกเปรียบเทียบกับที่เคยเรียนมา หลวงปู่ท่านหมายถึง เราต้องเข้า ห้องแล็บชีวิต ในตำราบอกแต่วิธี แต่ถ้าไม่ลงมือปฎิบัติ เราก็จะรู้แต่ตัวหนังสือ ตอนสมัยเรียน เมื่อเรียนทฤษฎีแล้ว ก็ต้องเข้าห้องแล็บ เข้าไปสัมผัส ด้วยมือ ด้วยตา ให้เห็นจริง ให้เข้าใจจริง
หลวงพ่อเคยสอนพระที่แตกฉานในทางปริยัติรูปหนึ่งว่า
“เอาปริยัติของคุณใส่หีบใส่ห่อเก็บไว้เสีย อย่าเอามาพูด
เวลามีอะไรขึ้นมา มันไม่เป็นอย่างนั้น เหมือนกับเราเขียนหนังสือว่า ความโลภ
เวลามันเกิดขึ้นในใจมันไม่เหมือนกับตัวหนังสือ เวลาโกรธก็เหมือนกัน
เขียนใส่กระดานดำเป็นอย่างหนึ่ง มันเป็นตัวอักษร เวลามันอยู่ในใจ มันอ่านอะไรไม่ทันหรอก
มันเป็นขึ้นมาที่นี่เลย สำคัญนัก สำคัญมาก จริงอยู่ปริยัติเขียนไว้ถูก
แต่ต้อง โอปนยิโก ให้เป็นคนน้อม ถ้าไม่น้อมก็ไม่รู้จักความจริง”
ยิงเร็วและยิงไว ยิงไกล ยิงถูกข้าศึกหมู่ใหญ่ กิเลสมารมีราคะ เป็นต้น จะเกิดขึ้นด้วยการดำริแล้ว รีบเร่งให้มีสติกำหนดประหารอย่าให้ทันเกิดขึ้นได้ เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วจะแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง เรียกว่ายิงเร็ว กิเลสมารถึงมันจะเกิดขึ้นห่างไกลจากตัวของเรา แต่มันเกี่ยวเนื่องถึงตัวของเราก็ให้รีบเร่งตั้งสติกำหนดเอากิเลสนั้นมาเป็นอารมณ์ ให้เห็นมูลของมันแล้วทำลายเสีย เรียกว่ายิงไกล สรรพกิเลสทั้งปวงซึ่งมีราคะ โทสะ โมหะ เป็นแม่ทัพนำพาเอากิเลสทั้งปวงมารุมล้อม ทำให้จิตของเราเศร้าหมอง ต้องกำจัดด้วยอนัตตาเป็นอาวุธ ถูกข้าศึกหมู่ใหญ่ราบเรียบไปหมด เราได้แม่ทัพทั้งสามคนนี้ไว้ในกำมือแล้ว เราไม่กลัวข้าศึกภายในของเราซึ่งจะมาราวีทำลายสมาธิของเราได้
เป็นเรื่องเล่าสู่กันฟังเท่านั้น กรุณาช่วยปรับปรุง แนะนำ ถ้าเห็นแตกต่าง หรือ ถ้าอยากเพิ่มเติม จะเป็นพระคุณค่ะ เจตนาของป้าหวานคือการแบ่งปัน ไม่ได้เจตนาแสดงว่ารู้ เพราะจริงๆก็ยังไม่รู้ค่ะ ยังเรียน ยังหาอยู่ และ ไม่ใช่เจตนาว่า ท่านทื่อ่านไม่รู้ เพราะท่านที่รู้มากกว่ามีมากมาย ป้าหวานเทน้ำในแก้วออกมา เพื่อรับน้ำใหม่เข้าไปค่ะ เพราะท่านว่า ถ้าเราไม่เทน้ำออก เราก็รับอะไรเพิ่มไม่ได้ ช่วยเติมเต็มให้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
6 ความคิดเห็น
ไม่ได้มาเติมเต็มหรอกครับป้าหวาน แต่มาบริโภค มาศึกษา เรียนรู้ต่างหาก ครับ
ผมก็กระโดดไปมาระหว่าง ธรรมดาสามัญชน กับผู้ปฏิบัติธรรม สรุปตัวเองว่ายังกิเลสหนา
แต่ไม่ทิ้งครับ ผมทาน “อาหารเจ” มานับสิบปีแล้ว แต่อ้วนเพราะแป้งมาก และนิสัยการกิน(กลางคืน)
ตอนแรกๆที่กระโดดเข้าไปสู่วงการปฏิบัติธรรมนั้น เพราะเบื่อหน่ายความเป็นวัยรุ่นที่ เที่ยว ดื่ม นอนดึก…
ขอนแก่นพรุนไปหมด แล้ววันหนึ่งเบื่อสุดขีดเลยสวิงมาสุดกู่ทางปฏิบัติ…เพื่อนฝูงหายไปหมดเพราะคนละวงไปแล้ว
การทานเจ และทำงานพัฒนาชนบท เกิดปัญหาลำบากใจแก่ลูกน้อง ชาวบ้าน เพื่อนร่วมงาน
จะกินข้าวทีเดือดร้อนอาหารของเรา เข้าหมู่บ้าน ชาวบ้านก็เดือดร้อนวิ่งวุ่นไปหมด
เลยเตรียมอาหารเอง แต่ก็วุ่นวายพอสมควร พะรุงพะรัง คนอื่นเขาด้วย
ปัจจุบันทานลดลงมาทานมังสะวิรัติ เพื่อลดความลำบากของคนรอบข้าง
——
วันก่อน อ.แป๋วบอกว่าชวนมาหาป้าหวาน ผมติดธุระ จึงไม่ได้เข้า blog มา update ต่อว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ว่างๆจะแวะมาเยี่ยมครับ
ขอบพระคุณพี่บางทรายค่ะ
ป้าหวานก็กระโดดค่ะ ไม่ทราบจะกระโดดไกลแค่ไหน เพราะเห็น เพราะเจอปัญหาจึงต้องหาทางออก
มองว่า เรายังเป็นปุถุชนธรรมดา แนวทางในพระพุทธศาสนาสอนไว้นั้นเราเดินตาม พยายาม แต่ก็ยังเป็นความพยายามเพียงแค่ระดับหนึ่ง ยังมีอีกมากที่สำหรับผู้เลือกเดินทางจะเลือกค่ะ
การทานมังสะวิรัติของพี่ก็เป็นทางหนึ่งนะคะ ป้าหวานคิดว่า การสร้างทำนบ อาจสร้างได้หลายวิธี หลายตำแหน่งฉันใด การต่อสู้ กำจัด กิเลส ของแต่ละคนก็ฉันนั้น อาจมีวิธีแตกต่างกัน แต่คนที่เคยทำบ่อยๆ ย่อมชำนาญ พลิกแพลง และ ค้นคิด ได้มากกว่า คนที่นานๆทำทีค่ะ แต่ละวิธีมีอุปสรรค ผู้เลือกย่อมจำเป็นต้องปรับกลยุทธให้เหมาะกับตัวเอง เหมือนที่พี่พบว่า การทานเจนั้นมีอุปสรรค พี่จึงปรับเปลี่ยน เพราะพี่ไม่ได้เห็นแก่ตัวเห็นแต่เป้าหมายตนเองเป็นหลักไงคะ ป้าหวานเคยอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่จำที่มาไม่ได้ค่ะ
การที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงบํญญัติให้พระภิกษุฉันเจ ก็ในทำนองเดียวกัน กับปัญหาที่พี่พบค่ะ พระองค์จึงทรงให้ พระภิกษุ พิจารณาอาหารแทน คือฉันเพื่อดำรงชีวิต แต่มิได้ติดอยู่กับรสชาติ หรือ ชนิดของอาหาร
ป้าหวานก็เกรงใจทั้งพี่บางทราย และ อ. แป๋วค่ะ เพราะเวลาการทำงาน และสถานที่ทำงาน พี่บางทรายอาจไม่ค่อยอยู่ และ อ.แป๋ว ก็ติดเวลาราชการ ป้าหวานก็เลยหาโอกาสเหมาะๆอยู่ค่ะ แล้วคนภาคเหนือ ก็อาจต้องตาร้อน กับคนขอนแก่น บ้างละเน้อะ
…อิอิอิ ไอติม ขอนแก่น ก็อร่อยเนาะ ข้าวซอย ก็มี มังสะวิรัติก็ได้น่อ..ใครหนอที่เคยบอกว่าจะมาขอนแก่นหนอ…
ต้องมีสักวัน ต้องมีสักวัน…. นะป้าหวาน
ขอนแก่นน่ะไปแน่นอน ไม่ต้องยั่ว ๆ ๆ ๆ ๆ อิอิ
ป้าหวานจ๊ะจ๋า
ก็เพียรอยู่เช่นกันค่ะ แต่ก็ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ
เป็นคนอ่านหนังสือน้อย ปฏิบัติน้อย ก็ได้แบบน้อย ๆ
คิดว่าฝึกให้มันเป็นแบบไร้กระบวนท่า เป็นไปตามการลื่นไหล
แต่ตอนนี้มันเป็นมวยวัดอยู่ จะไปสู่แบบไร้กระบวนท่าอย่างไร
วาสนามี ปฏิบัติพาไป ก็คงได้สุขเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่งค่ะ
อิอิอิ
#4 พี่หมอคะ ไม่มีใครว่าอะไรซักหน่อย..อิอิ อิอิ อิอิ
สงสารน้องแซมเน้อ….ฮี่ๆๆๆๆ
#5 อิอิ พี่อึ่งคะ มวยวัดก็มวยนา..555
ป้าหวานมองว่า พี่อึ่ง สงบ เรียบง่าย ไม่ค่อยมีกิเลสมากวนใจ
แต่เมื่อไร..จำเป็นต้องขึ้นเวที ชกกับกิเลส ก็ต่อยแหลก..