9-11 เมื่อสิบเอ็ดปีก่อน
อ่าน: 2548วันที่ ๑๑ กันยายนที่ผ่านมา นั่งดูข่าวทีวีชาวอเมริกาจัดพิธีรำลึกถึงเหตุการณ์วินาศภัย
จบแล้วเปลี่ยนช่องไปดูหนังวีรบุรุษสงครามข่าวเปอร์เซีย ช่างแตกต่างกันทางมุมมอง แนวคิด และอารมณ์ แต่สุดท้ายฝ่ายที่ถูกกระทำก็ย่อมสูญเสีย
รบกันไป รบกันมา เฮ้อ…มนุษย์นี่หนอ
ย้อนกลับไปเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน วันที่ ๑๑ เดือน ๙ ท่านกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน จำได้ไหมเอ่ย
ผมจำได้ว่าตัวเองเพิ่งถูกโยกย้ายออกจากสำนักงานใหญ่เมืองกรุง ไปรับตำแหน่งที่มุกดาหาร
ไปแบบฉุกละหุกเมื่อต้นเดือน ทิ้งงานผู้จัดการโครงการศึกษาความเหมาะสม และประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของกรมชลประทานไว้ให้พี่น้องรับผิดชอบต่อ พอถึงวันเสาร์-อาทิตย์ก็เลยต้องนั่งรถทัวร์กลับมาช่วยเพื่อนฝูงเก็บกวาดงานที่คงค้าง มาตัดต่อทำบทบรรยายวีดีโอการสำรวจดินเค็มที่ชัยภูมิ
นั่งรถมาจากมุกดาหารเย็นวันศุกร์ ถึงเมืองกรุงเสาร์เช้าแวะเข้าสำนักงานอาบน้ำที่นั่นแล้วก็ลุยงานต่อถึงค่ำ แล้วมาโต๋เต๋หาที่พักแถวบางกะปิ เริ่มเห็นข่าวครั้งแรกในร้านขายทีวี คืนนั้นเช็คอินที่เซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ข้างเดอะมอลล์นอนดูข่าวเครื่องบินชนตึกจนถึงค่อนรุ่งทั้งๆที่คืนก่อนหน้านั้นนั่งหลับๆตื่นๆมาในรถทัวร์
นี่ก็กำลังมีเหตุบานปลายประท้วงกันวุ่นวายจากคลิปหนังอเมริกันที่เป็นที่ไม่พอใจของฝ่ายพี่น้องมุสลิม ไม่รู้ว่าจะลุกลามไปถึงไหน เหตุเกิดมาจากพวกที่ชอบทำอะไรไม่นึกถึงหัวใจคนอื่น เอาความคิดเอาฮีต คองวัฒนธรรมของตัวเองมาเป็นบรรทัดฐาน ไม่ให้ความเคารพสิ่งกราบไหว้บูชาของเผ่าพันธุ์อื่น พวกตาน้ำข้าวที่ชอบเอาพระพุทธรูป พุทธศิลป์มาประกอบฉากถ่ายรูปกับนางแบบนุ่งน้อยห่มน้อย หรือเอาองค์พระไปวางในอ่างเลี้ยงปลา ประดับสวนหย่อม น่าจะได้สำนึกบ้าง
สงครามที่เกิดจากเหตุขัดแย้งในศรัทธา เป็นเรื่องที่มีมาเนิ่นนาน สงครามคูเสดสร้างความเสียหายทั้งชีวิต และทรัพย์สินให้กับมวลมนุษยชาติอย่างหลวงหลาย หรือแม้แต่ยุทธภพตงง้วนเภทภัยที่เกิดจากการขัดแย้งรบรากับลัทธิสุริยันจันทราหรือที่ชาวยุทธเรียกว่าพรรคมารก็ปรากฏในนิยายกำลังภายในหลายเรื่อง ล้วนเป็นเภทภัยในยุทธจักร
ขอข้ามผ่านไม่กล่าวถึงเรื่องราวใกล้ตัวในด้ามขวานทอง เห็นทีวีตีข่าวการจับมือชื่นมื่นกันอยู่ขอให้สงบทีเถิด (แต่กรอบข่าวติดๆกันก็ยังมีข่าวการสูญเสียอีกสี่ชีวิตที่ยะลา…ขอร่วมแสดงความเสียใจกับญาติผู้สูญเสีย..)
๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙
ขัดแย้งก็ขัดแย้งกันไป
ทั้งมวลนี้สมควรแก้ไขที่ตัวตนภายในของตนเองของแต่ละคน แล้วค่อยขยายหาหมู่พวกในทำนองขั้วดีดึงดูดกัน
วันเวลาแห่งยุคพระศรีอารย์คงจะมาถึงวันใดวันหนึ่ง หรือไม่ก็ถึงยุคโลกาวินาศไปเลย
๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙
ข่าวการรำลึกถึงครบรอบ ๑๑ปีของกันยาวิปโยคทำให้ได้หยุดมองกลับคืนถึงการเดินทางแห่งชีวิตตนเอง เพราะไปประจวบเหมาะกับการเปลี่ยนแปลงแบบ Metamorphosis ในการทำงานของตนเองอยู่พอดี
ชีวิตการทำงานของผู้เขียนผ่านมาสามสิบปีโดยประมาณ แบ่งงานออกเป็นสามช่วงๆละสิบปีได้พอดิบพอดี
สิบปีแรก เป็นพนักงานประจำทำงานตามกิจวัตร และคำสั่งของหมอ ของแถมที่พิมพ์ไว้ในความทรงจำ ก็ที่ได้เคยได้เอาใจใส่เป็นพิเศษ(เป็นบางครั้ง) กับคนไข้บางราย(แต่บางคราวอย่างไม่รู้สึกตัวอย่างขาดสติก็คงจะมีบ่อย) ย้อนนึกถึงคราวใดก็สุขใจยามนั้น
สิบปีถัดมา เป็นนักวิชาการวาดฝันวิเคราะห์เหตุสร้างแผนในกระดาษ ยึดหลักทฤษฏีวิทยาศาสตร์และสังคมเป็นบ่อนอ้างอิง ความสำเร็จความถูกต้องแม่นยำตามหลักวิชาการนำมาซึ่งความสุขความภาคภูมิใจ(หลายๆงานที่ล้มเหลวก็ลืมๆมันไป อย่าได้นำพามาบั่นทอนความสุข)
ช่วงสิบปีที่สาม คือเริ่มตั้งแต่ กันยาวินาศภัยที่อเมริกาปีนั้น ประจวบกับเป็นเวลาที่ผมกระโจนออกจากเล่มรายงาน ลงไปคลุกคลีตีโมงกับชุมชน(ภาษาหงสาว่า ลงไปกลิ้งเกลือกลีเลือหรือใกล้ชิดติดแทด) ไปนั่งจับเข่าคุย ไปจับมือทำ ไปร่วมเรียนรู้ ตลอดหกปีที่มุกดาหารกับอีกห้าปีที่หงสา หลายๆประสบการณ์หลายๆเรื่องราวที่ผ่านพบหากเลือกที่จะจำที่จะนำมาทบทวนถอดถอนบทเรียนก็น่าจะเป็นหยดน้ำทิพย์บำรุงใจได้ในวันหน้า
ระยะต่อหน้านี้ นี่ก็น่าจะเข้าสู่ช่วงทางเดินระยะที่สี่แล้ว อย่างไรก็ต้องmetamorphosis ต่อไป แต่ไม่ อาจหวังว่าจะอยู่ถึงการ metamorphosisรอบต่อไป จึงได้วาดฝันไว้ว่าจะได้มีโอกาสคุยกับตัวตนภายในของตนเองได้มากขึ้น ควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้เดือดช้าลงเหมือนกับฝืนน้ำยามเมื่อลมสงบไม่วูบวาบดังเปลวเพลิง หวังว่าจะได้ควบคุมดูแลร่างกายภายนอกให้ได้พักผ่อนซ่อมเสริมให้ภาวะจิตได้สงบ รับงานให้น้อยลง รับงานที่อยากทำ และคบค้าสมาคมกับมวลมิตรในขั้วที่จะนำพากับประกอบกรรมดี
(ย่อหน้าสุดท้ายนี่ บันทึกไว้เตือนตัวเอง ว่าอย่าได้หลงใหลอาลัยกับลาภยศ ตำแหน่ง ที่บรรดาท่านหยิบยื่นเสนอ แม้กระทั่งกับชื่อเสียง หรือกับความภาคภูมิใจในผลงานก็อย่าพึงติดยึด เพราะวันเวลาไม่อาจรอถ้า อย่าได้ใจอ่อนต่อการร้องขอ….ขอพลังสำหรับการ metamorphosis)
ขอบคุณ 9-11 ที่ทำให้ได้คิด