ชุดบันทึกตามเก็บรอยเท้า: ดอยเต่า

1 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 26 สิงหาคม 2012 เวลา 11:27 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3414

 นักเรียน SPN หนีแอ่วดอยเต่า

(คนบะเก่าเพิ่นว่าตายไปเป็นผีแล้วต้องมาตวยเก็บฮอยตี๋น คนมักเขียนขอถือก๋าละโอกาสเก็บเล่าเป๋นก๋านเก็บฮอยเท้าไว้เหียเมื่อยังคน)

ดอยเต่า เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ต้องตามเก็บรอยเท้า ไปค้นดูรูปเก่าๆเจอรูปหมู่สมัยเป็นนักเรียนผู้ช่วยพยาบาลหนีไปแอ่วดอยเต่า น่าจะเป็นช่วงแรกๆที่เปลี่ยนจากชุดนักเรียนขาสั้นมานุ่งกางเกงขายาว เมื่อซาวปีก่อนใครๆก็ไปแอ่วดอยเต่า รวมกลุ่มกันได้เก้าคนสิบคนเหมารถสองแถวแดงไป แล้วก็ลงเรือต่อไปนั่งกินข้าวบนแพ บ่ายๆนั่งเรือมาขึ้นรถกลับ ตอนหลังๆมาได้ไปเที่ยวอีกครั้งสองครั้งกับหมอพยาบาลที่วอร์ด ไปดอยเต่าต้องแวะออบหลวงเพราะอยู่เส้นทางเดียวกัน  

อันที่จริงผมรู้จักพี่น้องชาวดอยเต่ามาตั้งแต่วัยก่อนเข้าโรงเรียน ตั้งแต่พ่อแม่พาย้ายจากบ้านหนองหล่ม มาอยู่บ้านแพะซึ่งเป็นบ้านจัดสรรให้กับพี่น้องชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมจากการสร้างเขื่อนยันฮี มีครอบครัวพ่อน้อยจู แม่ต๋าแก้ว แม่ต๋านิล อ้ายหนานเหล็ง เป็นต้น พี่น้องเล่าว่ามาจากบ้านน้อยมืดก๋า ยามใกล้วันบุญศิลกิ๋นตาน แม่มักชวนพี่น้องบ้านมืดก๋าจุมนี้มาขึ้นมะพร้าวขุดแล้วก็ตั้งกะทะใบบัวคนขนมปาดอันเป็นขนมประจำถิ่นชาวดอยเต่า

ปี ๒๕๐๗ ผมเพิ่งเริ่มตั้งไข่ แต่พี่น้องชาวดอยเต่ากำลังวิตกอกไหม้จากข่าวที่ทางการมาแจ้งว่าน้ำจากเขื่อนจะเอ่อมาท่วมบ้านท่วมเมือง ทางการท่านสร้างนิคมสร้างตนเองหลายแห่ง ชาวบ้านบางคนที่เชื่อก็อพยพโยกย้ายไปตามทางการ แต่ส่วนที่ไม่เชื่อว่าน้ำจะมาท่วมก็ไม่คิดย้าย ด้วยคิดไม่ถึง ไม่เคยรู้เคยเห็นว่าสร้างเขื่อนใต้ลงไปตั้งไกลน้ำที่ไหนจะมาท่วมถึง ด้วยห่วงไร่นาต้นหมากรากไม้วัวควายหมูเห็ดเป็ดไก่ ด้วยอาลัยวัดวาอาราม สมัยนั้นการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารคงไม่ทั่วถึงเหมือนสมัยนี้ เสียงตามสายไม่มี ทีวีไม่ต้องพูดถึง วิทยุทรานซิสเตอร์ก็มีเฉพาะที่บ้านพ่อหลวงกำนันเป็นประเภทที่ใช้ถ่านสามสิบแปดก้อน ทีนี้พอน้ำท่วมมาจริงๆ ขึ้นมาทีละคืบทีละศอก เอาใต้บ่ได้เหนือ บ้านเฮือนบ่ทันได้ม้างได้ขน ได้มาแต่ผ้าติดเนื้อเสื้อติดตั๋ว นี่เป็นเรื่องราวที่แม่อุ้ยดีแม่ของแม่ต๋าแก้วเคยเล่าให้ฟัง

ค่าวน้ำท่วม ที่กวีท่านเผยแพร่ไว้ใน https://sites.google.com/site/pumpanyadoitao/home/4-6-sakha-phasa-laea-wrrnkrrm สะท้อนภาพเหตุการณ์ตอนนั้นได้ชัดแจ้งเลยทีเดียว ขออนุญาตคัดมาเผยแพร่สักหนึ่งตอน ดังนี้

“อกตีบใจ๋ตั๋น พ่องนั่งฮ้องไห้          จักเยี๊ยะจะได  ปี้น้อง

ปู่ป้าน้าอา  ปากั๋นนั่งซ้อง                 ปรึกษากั๋นอั้น   ตางไป

กั๋นดื้ออยู่แต้ น้ำจะท่วมต๋าย              กั๋นว่าย้ายไป กลั๋วต๋ายอดกั้น

แม่งัวตัวควาย  ไฮ่นาเฮือนบ้าน        จักเตปัง  แตกม้าง

วัดวาอาราม ก็จักเป็นฮ้าง           จ๋มอยู่ใต้ วังวน

ก๋าละครั้งนั้น เหมือนมารผจ๋ญ     หัวอกตุ๊กคน เหมือนสายฟ้าต้อง”

ขอขอบคุณ กวีผู้แต่งที่บ่ได้ระบุนาม (น่าจะเป็น อ้ายศรีโหม้ เลิศสุวรรณไพศาล ผู้แต่งค่าวเขื่อนเจ้าน้ำตาที่อยู่ในเวปไซด์เดียวกันนี้)

บทเรียนจากการอพยพโยกย้ายผู้คน และการเผยแพร่ข่าวสาร นี่แสดงว่ามีมาพร้อมๆกับที่ผมเกิดโน่น หากมีการถอดบทเรียนปรับปรุงแก้ไข ทุกวันนี้อะไรๆน่าจะดีขึ้น

สมัยก่อนที่จะมีทางรถไฟเชื่อมต่อเชียงใหม่-กรุงเทพ(รัชกาลที่ ๖ พ ศ.๒๔๖๔) การเดินทางติดต่อค้าขายระหว่างเมืองล้านนากับบางกอกต้องอาศัยขึ้นล่องตามลำน้ำปิงเป็นเส้นทางสายหลัก  บ้านมืดก๋าเป็นพื้นที่จอดพักเรือตระเตรียมผูกมัดเครื่องของ หาแรงงานท้องถิ่นก่อนที่จะพาเรือล่องผ่าน ๔๙แก่งไปถึงเมืองตาก เคยได้อ่านเรื่องราวการล่องแม่ปิงสมัยนั้นอยู่สองสามเล่มได้แก่ (๑) บันทึกแม่น้ำปิงในวารสารเมืองโบราณ แต่งโดย มล. สุรสวัสดิ์ สุขสวัสดิ์ ท่านตามรอยหนังสือพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ทรงถวายพระราชชายาเจ้าดารารัศมีในปี พ.ศ. ๒๔๖๔ (๒)  A Half Century Among Siamese and the Lao by Daniel MeGilvary (๓) ระยะทางไปมณฑลพายัพ โดยพระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ (พ.ศ. ๒๓๖๕)  และ (๔) โคลงนิราศล่องแก่งแม่ปิง โดยจางวางเอก พระยาบุรุษรัตนราชวัลลภ ที่แต่งไว้ในคราวที่ได้ติดตามเสด็จพระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ไปเชียงใหม่ปี๒๔๗๐ แม้นว่าทุกวันนี้ทางน้ำแก่งเกาะทังมวลจมอยู่ใต้ทะเลสาบหน้าเขื่อนไปเสียแล้ว แต่ก็ยังพอมีเรื่องราวร่องรอยให้สืบค้น หากวันไหนจัดระเบียนหนังสือเสร็จท่านใดสนใจหยิบยืมได้ครับ

สำเนียงภาษาของพี่น้องดอยเต่าเป็นที่คุ้นหูต่อมหาชนเมื่อเพลง “ไอ่หนุ่มดอยเต่า” ของวง นกแล โด่งดังทั่วบ้านทั่วเมือง สระไอ พี่น้องจะออกเสียงเป็นสระ ออย ไปตี้หนอย ไปตางดอย ไก่มันกิ๋นก๋อยกิ๋นก๋างโต้งต้อยหยับบ่ด้อยมันแห เป็นคำที่ชาวพื้นถิ่นแม่แตงมักจะพูดหยอกพี่น้องชาวบ้านแพะที่ยกย้ายมาจากบ้านน้อยมืดก๋า

บ่าอ้ายลูกโตนเกิดมาพร้อมยี่ห้อคนขี้โรคป้ออุ้ยแม่ป้าไผๆก่มัดมือผูกแขนเอาเป๋นลูกเป๋นเต้า ยันต์ห้อยเต็มคอ ฝ้ายหมัยมือเต็มสองข้อแขน ตอนยังหน้อยเพิ่นก่ะเลยฮ้องว่า”อ้ายหมัย”กั๋นหมดบ้านหมดเมืองย้อนฝ้ายไหมมือเต๋มแขนเคาะเลาะ ทีนี้ลองนึกดูสิพี่น้อง ว่าอาวอาว์หมู่ฟู่ชาวดอยเต่าจะฮ้องบ่าอ้ายว่าจะได ฮ่า ฮ่า ฮิ้ว


โฉบไปเชียร์ครูบา ที่เชียงใหม่

1 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 10 สิงหาคม 2012 เวลา 1:58 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2974

พอได้อ่านบันทึกพ่อครูชวนไปเชียร์(หิ้วปีกเข้ามุม) ในการขึ้นเวทีสัมมนาที่เชียงใหม่ ตัดสินใจจัดการปรับแผนชีวิตให้ลงตัว แล้วก็หิ้วกระเป๋าข้ามชายแดนกลับมาเมืองน่าน เครื่องบินเจ้ากรรมงดบินก็ช่างปะไรมีรถเมล์เขียวให้นั่ง

สนใจงานนี้เพราะ ๑) ตั้งใจมาเป็นขะโยมหิ้วกระเป๋าติดตามพ่อครู ๒) อยากพบเจอพี่น้องประดาสานุศิษย์พ่อครูแซ่เฮฯสายเหนือ ๓) อยากมาฟังว่าบรรดาท่านจะมองชุมชนอาเซียนในอีกยี่สิบปีข้างหน้าอย่างไรบ้าง ๔) เจ้าของงานคือมหาวิทยาลัยราชมงคล ที่สมัยยังเป็นเทคโนฯตีนดอย เจ้าตัวเคยไปเป็นมือปืนรับจ้างสอนวิชาดินอยู่ เลยเหมาเอาว่าเป็นสถาบันที่ผูกพันกันมา และ ๕) มีธุระที่บ้านนิดหน่อย ตูบน้อยที่ไหว้วานพี่น้องมาปรับปรุงเผอิญสื่อสารกันผิดตรงที่ครัวไฟหาย

กะว่าจะไปบ้านแบบนินจาไม่ให้ใครรู้ โทรเรียกแท็กซี่ตามเบอร์ที่ได้จากพรรคพวก พอเจอหน้ากลับกลายเป็นพี่น้องบ้านใกล้ ข่าวการปิ๊กบ้านเจียงใหม่ของบ่าอ้ายเลยแพร่กระจายไปในหมู่ญาติมหาสาขา แถมยังเผลอไปโพสต์ไว้ในเฟสอีก บรรดาเพื่อนฝูงน้องนุ่งลูกหลานอีกหลายสาขาก็พากันรู้ข่าวอีก…ปานดาราคิวทอง

วันแรกไปบ้าน ได้กินน้ำพริกเห็ดหล่มกับยำเห็ดโคน ได้ไปแฮกนาของตัวเองที่ไม่ได้ทำมายี่สิบกว่าปีแล้ว กลับมาพักในเมืองกินข้าวกับญาติกลุ่มที่หนึ่ง ไม่ได้กินโรตีรอคิวยาวเกิน (ซื้อโรคีกรอบมาชิมสามแผ่น) อุ้ยพาครูบาและคณะไปกินข้าวหนมเส้นลืมเรา ฮึ วันนี้ได้กำไรตรงที่ได้กินของโปรดกับได้ไปแฮกนา

วันที่สองครูใหญ่กับครูอารามมารับไปเจอพ่อครูที่คาบข้าวตอน ข้าวคลุกกะปิร้านภูเก็ตลายครามรสชาติสุดยอดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปจากที่เคยกินสมัยอยู่คณะเกษตรฯ แล้วครูใหญ่ก็พานั่งรถแดงจากคณะเกษตรฯไปลงหน้าคณะพยาบาลฯ เฮ้อกึดเติงหาสมัยเมาสาวหน้อยคณะเดียวกัน ต้องกะเวลาขึ้นรถแดงสายนี้แหละไปลงสวนดอกยามแลง บ่ายวันนี้ธรรมะจัดสรรให้มีโอกาสเกาะขบวนพ่อครูไปเยี่ยมคณะพยาบาลฯ ไปแบบเป็นทางการครั้งแรกในรอบกี่สิบปีก็ไม่รู้ หลังจากเรียนจบรับใบประกาศฯปี ๒๓ แล้วก็จำได้ว่าปี ๒๙ไปคุยกับอาจารย์ลออเรื่องย้ายคณะครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ไม่ได้ไปอีก ยกเว้นตอนปี ๓๐-๓๑ไปดูโต้วาทีเกษตร-พยาบาลอีกสองครั้ง มื้อเย็นหมอเมืองปายพ่อน้องสบายสกาวมาร่วม วันนี้กำไรหลายต่อ ตั้งแต่ได้ไปเยี่ยมคณะฯได้กินร้านภูเก็ตลายคราม ได้นั่งรถแดงระทึกระทวยถึงความหลัง กำไรสุดยอดก็คือได้อภินันทนาการน้ำเมี้ยงหนึ่งกระบอกจากครูอาราม

วันที่สาม มะหลุกขลุกขลิกกับญาติโกเล็กน้อย พาตัวเองมาถึงที่สัมมนาสายๆ เดินกรำฝนเข้าอาคาร ผ่านด่านลงทะเบียนเข้าห้องไปตอนที่พ่อครูร่ายกลอนแนะนำตัวเอง ว่ามาจากเมืองน้ำดำตำน้ำกิน ที่ประชุมหัวเราะกันเกรียวกับกลอนอ้อนหาคนอกหัก โอ๊ย อย่างนี้ไม่ต้องหาคนหิ้วปีกเข้ามุมแล้ว หาคนจัดคิวแฟนๆดีกว่า อิ อิ ป้าดโท๊ะ ครูภูมิปัญญาท่านอื่น ท่านมาแสดงผลงานในบูธ แต่ครูภูมิปัญญารุ่นหนึ่งท่านนี้ไม่ธรรมดา เพราะท่านเป็นครูบา ท่านนั่งเป็นคีย์โน้ตคู่กับคุณชายดิศนัดดา กับหมอซินเธีย กับอาจารย์ฝาหรั่ง นับเป็นเกียรติต่อวงค์ตระกูลแซ่เฮ ไอ้กระผมอยู่ข้างล่างได้ทีแอบอ้างกับเพื่อนฝูงครูบาอาจารย์ใหญ่เลย พ่อผมๆ กำลังเว้าเปิดๆอยู่เทิงเวทีพู้น

แล้วพ่อครูก็กระตุกปัญญาด้วยเรื่อง การเรียนรู้โดยใช้ไอที การระดมมันสมองจากเครือข่ายออนไลน์ การจัดการความรู้ แถมโฆษณาหมู่บ้านโลกนิดหน่อย รอบสองพ่อครูพูดถึงที่ไปที่มาของการเลี้ยงวัวด้วยใบไม้สับเพื่ออุปมามัยให้นักศึกษากระโดดออกจากกรอบ ลุกออกจากเก้าอี้ไปหาความรู้ “รู้ได้อย่างไรว่าวัวจะกินใบไม้ …ก็หักกิ่งไม้มาลองยื่นให้วัวสิถ้ามันกินก็แสดงว่าวัวกิน…อิ อิ”

หมอซินเธีย เล่าถึงการทำงานด้านสุขภาพของท่านกับชาวกระเหรี่ยงที่ชายแดนพม่า-ไทย ปัญหาสุขภาพแม่และเด็ก กลยุทธในการป้องกันและควบคุมโรค และการสร้างโครงข่ายความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ

ดอกเตอร์ฝรั่ง อีกท่าน พูดเรื่องอะไรก็ฟังไม่ทัน มัวแต่ไปสวัสดีท่าน ผอ.เก่า ถึงตั้งใจฟังก็ไม่น่าจะจับประเด็นได้ หูเรื้อภาษาไปนานปี งานนี้มีแจกเครื่องแปลให้คณะอาจารย์กับเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งแต่ส่วนมากจะไม่มีให้ จับคำสำคัญได้ว่า มีพูดถึง Triple bottom line     รอบสองท่านพูดภาษาไทยชัดแจ๋ว คงสงสารนักศึกษาที่ทำตาลอยไปในอากาศ รอบนี้พูดว่าเกี่ยวกับการทำงานเป็นทีมของคนไทยที่ไม่ค่อยเก่ง

คุณชายดิศนัดดา ท่านแปล Triple bottom line ว่า “เจ็บ จน ไม่รู้” รู้สึกว่าท่านจะกัดเจ้าสัว และนายทุนที่ทำให้ภูเขาหัวโล้นเพราะ เอาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มาส่งเสริมให้ชาวบ้านเสพติด รอบสองท่านให้แนวทางรอดด้วย 3S Survival = การอยู่ให้รอด Sufficient= อยู่อย่างพอเพียง  Sustainable= อยู่อย่างสมดุลและยืนยง

เหตุการณ์ต่อไปเป็นอย่างไรไม่ทราบ ก่อนที่ผมจะแวปออกจากห้องเห็นคุณชายเดินมาโอบกระซิบอะไรกับพ่อครู ต้องถามเจ้าตัวเองว่ากระซิบกระซาบอะไรกัน

ผมแวะไปให้ครูบุญศรีรัตนังต่อเพลงขลุ่ยปราสาทไหว อุดหนุนหนังสือค่าวซอกับขลุ่ยมาหนึ่งเลา แวะไปไหว้สาพ่อครูขลุ่ยอีกท่านต่อเพลงโศกพม่า อุดหนุนขลุ่ยอีกหนึ่งเลา เดินไปดูลายผ้าทอของแม่ครูอีกสองสามท่าน พอดีกับญาติกาอีกสายหนึ่งโทรมาตามไปแวะกินข้าว(แกล้งแวะกินร้านเจซะให้เข็ด) แวะไปให้สาวพยาบาลฉีดวัคซีน แล้วบึ่งมาท่ารถ มาถึงน่านสี่ทุ่มครับ

จบข่าว



Main: 0.057138919830322 sec
Sidebar: 0.014345169067383 sec