ครอบครัวตัวแบบ “พอเพียง”

1 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 27 กรกฏาคม 2012 เวลา 4:31 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3820

 ระยะนี้นั่งทำฐานข้อมูลเศรษฐกิจครอบครัวของพี่น้องที่ต้องรับผิดชอบฟื้นฟูชีวิตการเป็นอยู่

ตรวจสอบตัวเลขความถูกต้องเพื่อเป็นค่าตั้งต้นที่ตามพันธะสัญญาจะต้องให้พี่น้อง…”ดีขึ้นกว่าเก่า”

ใช้ทีมงานมือใหม่เก็บกำสำรวจข้อมูล เขาก็คงทำเต็มที่ของเขา แต่พอมาตรวจกลับพบว่าผิดตรงนั้นขาดตรงนี้ ตรวจร้อยชุดต้องแก้หกสิบชุด เลยตัดสินใจ”รื้อ”ข้อมูลทั้งหมดมาทำใหม่ เรียกแบบสอบถามมานั่งอ่านทีละชุด อันไหนสงสัยออกไปถามใหม่ด้วยตัวเอง

การที่ได้นั่งศึกษาพื้นเพแต่ละครอบครัว ถือเป็นการได้เรียนรู้ หนึ่งครอบครัวเหมือนกับดูละครเรื่องหนึ่ง ต้องดูว่าสมาชิกครอบครัวมีกี่คน อายุ เพศ อาชีพหลัก อาชีพเสริม ปฏิทินการเคลื่อนไหวในรอบปีทำอะไรบ้าง มีที่ดินกี่แปลง แต่ละแปลงปลูกอะไรเดือนไหน ได้ผลผลิตเท่าไร เอาไปกินหรือขายที่ไหนจำนวนมากน้อยเพียงใดได้เงินมากน้อยเท่าไหร่ เลี้ยงสัตว์อะไรบ้าง ช้าง ม้า วัว ควาย หมู เห็ด เป็ดไก่มีกี่ตัว กินเท่าไร ขายเท่าไร ออกไปรับจ้างไหม เดือนไหนไปเก็บของป่า เดือนไหนไปจับปลา เอามากินมาขายได้กี่มากกี่น้อย สภาพบ้านเรือนเป็นอย่างไร ทรัพย์สิน เครื่องใช้ไฟฟ้า รถถีบ รถเครื่อง มีกี่คัน เงินฝากมีไหม หนี้สินมีเท่าใด ทำนาได้ข้าวพอกินไหม ขาดข้าวกี่เดือน รายจ่ายมีอะไรบ้าง ค่าอาหาร ค่ากะปิ น้ำปลา ยาสูบ ยารักษา ไฟฟ้า ค่าภาษี(พันธะรัฐ) ค่าใส่ซองงานวัดงานบุญงานแต่ง(พันธะสังคม) แล้วก็เอามาดูกลับไปกลับมาว่าตัวเลขสมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร 

อันที่จริง ใจผมอยากเก็บข้อมูลด้านความสุขของครอบครัว มาเป็นเครื่องชี้วัดมากกว่าตัวเลขรายรับรายจ่าย แต่เมื่อโจทย์เป็นอย่างนี้ก็คงต้องลุยตามไปก่อน แล้วค่อยๆเสริมทีหลัง

ผ่านไปหนึ่งหมู่บ้านร้อยเก้าสิบครอบครัว (จากทั้งหมดห้าหมู่บ้านห้าร้อยครอบครัว) ผมก็พบครอบครัวหนึ่งที่ถือเป็นตัวแบบ ของการไม่พึ่งพาเทคโนโลยี

สามพ่อแม่ลูก พ่ออายุ ๕๒ ปี แม่ ๔๗ ปี และลูกสาวจี๋วัย ๑๖ ปี อาศัยเลี้ยงชีพด้วยการทำไร่ทำนาหาเครื่องป่าของนามาเป็นอาหาร ที่บ้านไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่มีแม้กระทั่งรถถีบ ไม่มีโทรศัพท์มือถือ (เป็นหนึ่งในไม่เกินห้าครอบครัวของบ้านนาทรายคำที่ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือ)

เมื่อเข้าหน้าฝนถึงฤดูเพาะปลูก ครอบครัวนี้ทำนาดำ ๑ไร่กว่าๆ ปลูกข้าวไร่อีก ๒ไร่ ได้ข้าวปีละ ๓.๕ตัน เก็บไว้กิน ๒.๓ตัน ที่เหลืออีก ๑.๒ตัน ขายได้เงิน ๓ล้านกีบ(๑หมื่น๒พันบาท) นอกจากนั้นก็ปลูกข้าวโพดอีก ๒ไร่เก็บผลผลิตไว้เกือเป็ดเกือไก่

การใช้ประโยชน์จากป่า ได้เข้าไปตัดไม้ไผ่มาใช้สอย ไปหาสัตว์ป่าเก็บผักป่ามาเป็นอาหารเดือนละ ๒-๓ครั้ง ไปหาสมุนไพรมาต้มกิน และไปเก็บดอกแขมกับเปลือกก่อมาขายได้เงินปีละ ๑ล้านกีบ(๔พันบาท)

ครอบครัวนี้เลี้ยงควาย ๓ตัว วัว ๕ตัวเอาเป็นออมสินไว้ขายยามฉุกเฉิน เลี้ยงเป็ด ๒๐ตัว ไก่ ๖๐ตัวเอาไว้กินและขาย ปีหนึ่งได้เงิน ๘แสนกีบ(๓๒๐๐บาท) และเลี้ยงหมู ๒ตัวขายได้เงิน ๑ล้าน๒แสนกีบ(๕พันบาท) มีบ่อปลาเล็กๆซื้อลูกปลามาปล่อยไว้หาปลวกมาให้กินปีหนึ่งวิดปลาได้ ๒๐ กก.กินครึ่งขายครึ่งได้เงินอีก ๒แสนกีบ(๘ร้อยบาท) ไปจับปลาจากในห้วยในหนองอาทิตย์ละครั้งเอากินไม่ได้ขาย

ว่างจากงานไร่นา และการหาอยู่หากิน พ่อบ้านออกไปรับจ้างงานในไร่นาของเพื่อนบ้าน ปีหนึ่งได้เงินราว ๔แสนกีบ(๑๖๐๐บาท) ส่วนแม่กับลูกสาวทอผ้าขายมีรายได้ ๒ล้านกีบต่อปี(๘พันบาท)

รวมๆรายได้เป็นตัวเงินของครอบครัวนี้ ตกราว ๓หมื่นสามพันบาท

เมื่อไล่เลียงถึงรายจ่ายของครอบครัวนี้ สามารถสรุปรวมได้ว่าในรอบหนึ่งปี ครอบครัวนี้ใช้จ่ายเงินไปในการต่างๆ ดังนี้  ค่าลงทุนการเพาะปลูกสามแสนเจ็ดสิบพันกีบ(๑๔๘๐บาท) ค่าลงทุนการเลี้ยงสัตว์สามแสนสอง(๑๒๘๐บาท) ค่าซื้อเนื้อ ซื้อผัก กะปิ น้ำปลา ไข่ น้ำมันจืนอาหาร ผงนัว น้ำตาล เกลือ น้ำนม น้ำหวาน บะหมี่ไวไว รวมทั้งค่าเฝอที่ซื้อกินนอกบ้านรวมทั้งหมดหนึ่งล้านเก้าแสนกีบ(๗๘๐๐บาท) ค่าเหล้าเบียร์สามแสนกีบ(๑๒๐๐บาท) ค่าทำบุญเพาะทานสองแสนกีบ(๘๐๐) ค่าใส่ซองงานแต่งงานงานสู่ขวัญแอน้อยงานขึ้นบ้านใหม่หนึ่งแสนกีบ(๔๐๐บาท) ค่าภาษีอากรสองแสน(๘๐๐) ค่าซื้อเสื้อผ้า ยาปัวพะยาด ไฟฟ้า เครื่องแต่งตัว สบู่ แชมพู ค่าโดยสารรถ รวมปีละหนึ่งล้านสองแสนกีบ(๔๘๐๐บาท)  รวมเงินออกจากบ้านทั้งหมดทั้งมวลประมาณสี่ล้านหกแสนกีบ(๑๗๗๐๐บาท)

ดุ่นเดี่ยงรายรับสูงกว่ารายจ่าย ปีละสามล้านหกแสนกีบ

นี่เป็นตัวอย่างเป็นหน้าตาของครอบครัวชนบทบ้านเราเมื่อสามสี่สิบปีก่อนที่ยังหลงเหลือให้เห็นที่นี่

ทบทวนเรื่องราวของครอบครัวนี้ แล้วรู้สึกเบาสบายอิ่มสุขอย่างไรก็ไม่รู้

แต่เมื่อหันกลับมามองตัวเองกับงานที่กองพะเนิน กับหน้าต่างจอคอมฯที่เปิดงานค้างไว้สี่ห้าเรื่อง แม้ว่าเขาจะเอาอัฐมาให้เดือนหนึ่งมากกว่าที่ครอบครัวนี้หาได้สามปีก็ตาม แต่ก็ยังอดมิได้ที่จะอิจฉา…ครอบครัวตัวแบบของผมครอบครัวนี้

 


ชาวต่างชาติในห้องเรียน ป. ๔ โรงเรียนประถมสมบูรณ์บ้านหาน

1 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 14 กรกฏาคม 2012 เวลา 12:50 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2485

 

13 กอละกด(กรกฎาคม) เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งใน สปป ลาว

เป็นวันคล้ายวันเกิดของท่านผู้นำ สุภาณุวงศ์ …มีกิจกรรมอ่านบทความสดุดีท่านที่สโมสรเมืองหงสา งานนี้เป็นงานรัฐพิธีที่รัฐกร และสมาชิกพรรคต้องไปร่วม

เป็นวันอนุรักษ์สัตว์น้ำสัตว์ป่าแห่งชาติ สปป ลาว เมืองหงสาจัดพิธีปล่อยพันธุ์ปลาลงวังปลาสงวนตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าเพราะบรรดาท่านต้องมาร่วมกิจกรรมที่สโมสรตอนแปดโมงครึ่ง

แต่ลุงเปลี่ยนกลับลืมวันสำคัญนี้ไป ดันไปนัดหมายตระเตรียมพิธีเปิดการฝึกอบรมนวดแผนลาวโบราณ

ทีมงานพร้อม วิทยกรจากแผนกสาธารณะสุขแขวงฯพร้อม ผู้เข้าอบรมพร้อม รับสมัครซาวหน้าคนมีคนมาขอเรียนสี่สิบคน  ขัดแต่คณะประธานที่จะมาเป็นสักขีพยานเปิดงาน

แต่อย่างไรก็ตาม ท่านเจ้าเมืองได้มอบหมายให้ รองเจ้าเมืองมาเป็นประธาน มีท่านหัวหน้าห้องการวัฒนธรรมมาพูดเรื่องฮีตคองประเพณีที่ดีงามของลาว กับการประกอบอาชีพหมอนวดแผนโบราณว่าต้องมีข้อควรระมัดระวังประการใดบ้าง และมีหัวหน้าห้องการชาวหนุ่มเมืองมานั่งเป็นสักขีพยาน

ถือว่าการเปิดฝึกอบรมผ่านไปได้เรียบร้อย

สถานที่ฝึกอบรมไปขออาศัยโรงเรียนประถมสมบูรณ์บ้านหาน ซึ่งน้องน้อยนักเรียนปิดเทอมพอดี สองวันก่อนผู้สมัครเรียนทุกคนมาออกแรงงานทำความสะอาดจัดสถานที่กัน คนที่คุณก็รู้ว่าใคร ควักกระเป๋าเลี้ยงตำบักหุ่งกับน้ำหวาน จ่ายไปหนึ่งแสนกีบ ชิวชิว

ว่าด้วยเรื่อง คนต่างชาติในห้องประถมปีที่สี่ ก็ด้วยสายตาไม่อยู่สุขสอดส่ายไปทั่ว บรรยากาศกระดานดำ หน้าต่าง ประตู พื้น ฝา ชวนให้หวนนึกถึงโรงเรียนหนองหล่มวิทยาที่ตัวเองเคยนั่งเรียน แล้วก็ไปเห็นรายชื่อของนักเรียน จึงเป็นที่มาของเรื่องที่อยากเล่า

ตามที่แสดงในรูปด้านบน ถอดความรายชื่อนักเรียนห้องประถมสี่ดังนี้

หัวหน้าห้อง ชื่อ ท้าว คำแทน รองฯคนที่หนึ่ง ท้าว ไดน่า รองฯคนที่สอง นาง ปูเปรี้ยว

จัดแบ่งนักเรียนเป็น ๕ หน่วยๆละ ๖-๗ คน

หน่วยที่ ๑ มี ๑นางสมปอง ๒วันเพ็ง ๓ปุยฝ้าย ๔ท้าวต็อก ๕ทะนูสิน ๖จีอาร์

หน่วยที่ ๒ มี ๑นางปูเปรี้ยว ๒เบนยา ๓ตาแวว ๔ท้าวจิ้ง ๕เบบี้ ๖สุ้ม

หน่วยที่ ๓ มี ๑นางเพ็งพนา ๒ป็อบ ๓บีม ๔เบบี้มายด์ ๕ท้าวบุนเลิด ๖เทน่า ๗คำแทน

หน่วยที่ ๔ มี ๑นางยุพิน ๒ไก่น้อย ๓ตุเลีย ๔ท้าวคำน้อย ๕กาโม่ ๖ชิลา ๗ไดน่า

หน่วยที่ ๕ มี ๑นางลีซัน ๒ตุลา ๓ท้าวสายลม ๔สมชาย ๕แรมโบ่ ๖หมี ๗คำใส

ดูตามรายชื่อข้างบน เห็นมีชื่อเป็นภาษาต่างชาติ ๑๒ ชื่อเป็นอย่างน้อย ในวงเล็บว่า คงจะเป็นชื่อเล่นครับเพราะเป็นโรงเรียนในหมู่บ้าน ตามปกติในหงสารายชื่อนักเรียนชั้นประถมมักจะไม่เคร่งครัด พอขึ้นชั้นมัธยมจึงใช้ชื่อจริงตามที่ระบุไว้ในทะเบียนบ้าน

บันทึกนี้อยากแสดงว่า สื่อโทรทัศน์นี่ไร้พรมแดนไม่อาจปิดกั้นได้

การเรียกชื่อลูกๆให้น่ารัก ย่อมทำให้เด็กเป็นที่รักใคร่ ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาหรือประเด็นที่น่าวิตกแต่อย่างใด

หากแต่ถ้าหากรับเอาวัฒนธรรมอื่นมาทั้งหมดแล้วจะเอาอะไรมาเป็นตัวตน

อันที่จริงเมืองหงสาก็มีมาตรการในการรักษาฮีตคองความเป็นลาวที่เข้มแข็ง ท่านหัวหน้าห้องการวัฒนธรรม ได้พูดไว้เมื่อชาวเกี่ยวกับภาษาพูดให้แต่ละบ้านรักษาสำเนียงท้องถิ่นของตนเองไว้ ไม่ต้องพูดสำเนียงเมืองหลวง ร้านอาหารทุกแห่งได้รับการตักเตือนหากพนักงานพูดภาษาต่างประเทศกับแขก ห้ามร้องเพลงต่างชาติออกเครื่องกระจายเสียง วงดนตรีใดเล่นเพลงต่างชาติถูกปรับ ยามมีประชุมสำคัญให้สตรีในเมืองนุ่งผ้าถุง ให้สาวๆผมแดงย้อมผมสีดำกลับคืนเป็นต้น

เมืองไทยน่าจะเอาอย่างนี้บ้าง….นะ นะ


พาข้าว (ชาวเมืองหงสา)

3 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 11 กรกฏาคม 2012 เวลา 12:24 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3272

ในมื้อเปิดตลาดชุมชนบ้านนาจานคำ ลุงเปลี่ยนอยากสร้างความคึกคักครื้นเครงด้วยการจัดประกวดพาข้าว (สำรับอาหาร) ในหมู่บรรดาแม่บ้าน มอบหมายให้ผู้ช่วยไปปรึกษากับสหพันธ์แม่ยิงเมืองเชิญท่านมาเป็นเจ้าภาพร่วม ได้กฎระเบียบเกณฑ์ในการให้คะแนนมาหลายข้อ อาทิ สุขอนามัย ความสะอาด ครบห้าหมู่สารอาหาร การใช้วัตถุดิบภายในท้องถิ่น เป็นต้น ระดมได้พาข้าวมาประกวด ๑๒ สำรับ มีความหลากหลายเมนูอาหารชวนชิมอย่างตื่นตา ลองมาไล่เลียงเรียกน้ำย่อยกันดูเด้อพี่น้อง

พาที่ ๑ ของนางสิง สะหะพันแม่ยิงหน่วยสาม บ้านนาจานคำ

อาหาร มี ส้มเห็ดนางรม(แหนมเห็ด) แกงยอดพ้าวใส่ไก่(แกงยอดมะพร้าว) หมกแลน(ห่อหมกตัวแลน) จืนจินาย(ทอดจิ้งโกร่ง) แจ่วน้ำปูกับหน่อไม้ไร่ต้ม และหมากนัด(สับปะรด)

 พาที่ ๒ ของนางตุ้ย สะหะพันแม่ยิงบ้านนาส้าน

อาหารมี แจ่วน้ำปูหน่อไม้ต้ม หมกอั่วนกขัว(นกไก่ฟ้ายัดเครื่องสมุนไพรปิ้ง) ปาค่อปิ้ง(ปลาช่อนย่าง) หมกหน่อไม้ใส่ย่านาง หมกไคน้ำ(สาหร่ายแม่น้ำ) ยำมะเขือขื่น และไข่พะโล้

 พาที่ ๓ ของนางลุน สะหะพันแม่ยิงหน่วยเก้า บ้านนาจานคำ

อาหารมี แกงหน่อไม้ เอาะหลามเนื้อวัว ปิ้งเนื้อวัว เอิบปลา(ปลายัดเครื่องสมุนไพรปิ้ง) แจ่วเอี่ยน(น้ำพริกปลาไหล) คั่วจินาย(คั่วจิ้งโกร่ง) แจ่วน้ำปูหน่อไม้ต้ม และมีผลไม้รวม

 พาที่ ๔ ของนางทอง สะหะพันแม่ยิงหน่วยแปด บ้านนาจานคำ

อาหารมี แจ่วหมากเผ็ดผักสดแตงร้านหน่อไม้ต้ม แกงหน่อไม้ เอาะหลามเนื้อ

 พาที่ ๕ ของนางคอย สะหะพันแม่ยิงหน่วยสาม บ้านนาจานคำ

อาหารมี แจ่วน้ำปูผักกับเป็นหน่อไม้ต้มและแตงร้านแกะสลัก จืนจินาย(จิ้งโกร่งทอด) ซุบผัก(ยำผักลวกใส่งา)  หมกไค เอาะหอยขม(แกงหอยขม) และผลไม้รวม

 

พาที่ ๖ อ้าวโพยหาย ขอข้ามไปก่อน

 พาที่ ๗ ของนางบัวพัน สะหะพันแม่ยิงบ้านนาจานคำ

อาหารมี แจ่วสองอย่างคือแจ่วจุ้งดิบ(น้ำพริกกุ้ง)กับแจ่วน้ำปูกินกับหน่อไม้ต้ม ปิ้งปลา คั่วจินาย เอาะปลา เอาะหน่อไม้ และสับปะรด

 พาที่ ๘ ของนางตุ๊ สะหะพันแม่ยิงหน่วยสี่ บ้านนาจานคำ

อาหารมี แจ่วแมงดา คั่วจินาย หมกไค ซุบผัก เอาะเคื่องส้อน(น้ำพริกปลาหน้อย ลูกอ๊อด สารพัดแมลงในน้ำ) เอาะหลาม และผลไม้รวม

 พาที่ ๙ ของสะหะพันแม่ยิง บ้านเวียงแก้ว เป็นพาข้าวชาวลื้อ

อาหารมี แจ่วน้ำผัก แจ่วข่าไก่(คั่วแห้งไก่สับพริกแห้งข่าป่น) แจ่วน้ำปูกินกับหน่อไม้ต้ม หมกไค แอบใบตูน(ดอกฟักเขียวป่าและฟักทองป่าปรุงเครื่องแกงห่อด้วยใบทูนอ่อนย่างไฟ…ห๊อมหอม…เสียดายไม่ได้เป็นกรรมการ) แล้วก็มีแกงน้ำเย้อ(แกงผักรวม) แถมด้วยเปี่ยงหมากโถ่เน่า(ถั่วเน่าแค็บปิ้ง)

 พาที่ ๑๐ ของนางหนูไล สะหะพันแม่ยิงบ้านนาจานคำ

อาหารมี แจ่วน้ำปูกินกับหน่อไม้ต้มและผักนึ่ง ปลาทอด เอาะปลาแดกใส่ไข่เป็นลูกๆเหมือนไข่หวาน ทีเด็ดคือเอาะบอนใส่หนังควาย และมีผลไม้รวม

 พาที่ ๑๑ ของสะหะพันแม่ยิงบ้านนาหนองคำ เป็นพาข้าวชาวกึมมุ

อาหารมี แจ่วปลาแดกกินกับผักสดและหน่อไม้ต้ม หมูปิ้ง ซุบผัก(ยำผักลวก) เอาะบอน หนังพอง(หนังควายทอด) และกล้วย

 พาที่ ๑๒ ของสะหะพันแม่ยิงบ้านนาไม้ยม เป็นอีกหนึ่งพาข้าวชาวกึมมุ

อาหารมี แจ่วหมากเผ็ดกินกับหน่อไม้ต้มและผักลวก ต้มปลา แกงหน่อไม้ และกล้วย  

 กำหนดให้แต่งพาข้าวมาประกวดสองพา พาแรกเน้นความสวยงาม ส่วนพาที่สองเอาไว้ให้กรรมการชิม กรรมการชิมเสร็จแล้วเชิญแขกทั่วไปมาชิมอาหาร แล้วก็มีการประกาศผลปรากฏว่า พาที่มีเอาะหอยขมชนะที่หนึ่งได้รับรางวัลไปสามแสนกีบ ที่สองได้รางวัลสองแสนกีบได้แก่พาที่มีเอาะเครื่องส้อน และพาที่มีเอาะบอนใส่หนังเค็มได้ลำดับที่สามได้รับรางวัลแสนห้าหมื่นกีบ ส่วนที่เหลือได้รับรางวัลชมเชยรายละหนึ่งแสนกีบ

เสร็จแล้วเชิญแขกเจ้านายร่วมกินข้าวกลางวันในพาข้าวสวยงามที่เข้าประกวด จัดวางซองเปล่าไว้ในพาข้าวให้แขกใส่ซองตามกำลังทรัพย์(แผนหลอกเอาตังค์ผู้ใหญ่คืนให้แม่บ้านนี่ลุงถนัด…นี่ยังไม่นับที่แจกตะกร้าเชิญแขกไปจ่ายตลาดท่านใดซื้อของไม่เต็มเชิญอยู่เลาะตลาดต่อ) เอาซองมารวมๆกันหารยาวคืนให้เจ้าของพาข้าวได้อีกพาละไม่น้อย คงจะคุ้มค่าที่ออกเงินซื้อของมาทำอาหารร่วมประกวด

รู้สึกว่ากรรมการจะชอบของพื้นบ้าน เพราะทั้งหอยขม และเคื่องส้อนได้รางวัล ในขณะที่ประเภทสัตว์ป่า กับอาหารดิบจะถูกหักคะแนน

เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่หงสา

หวังว่าคงไม่มีผู้ใดท้องร้องหลังอ่านจบเด้อครับ



Main: 0.091585159301758 sec
Sidebar: 0.023218870162964 sec