หนึ่งวัน กับ ท่านไร้กรอบ
อ่าน: 89984เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทางมหาวิทยาลัยได้รับเกียรติจาก ท่านไร้กรอบ มาบรรยาย ในหัวข้อ Learning Organization ให้กลับกลุ่ม (ว่าที่) ผู้บริหารระดับกลาง ของมหาวิทยาลัย
ดิฉันเอง ไม่ได้เป็น (ว่าที่) ผู้บริหาร กับเขาหรอกค่ะ แต่อาศัยว่าเส้นใหญ่ (อยู่ส่วนกลาง นั่นหมายความว่า เป็นหน่วยงานจัดเอง) และพอจะคุ้นเคยกับท่านไร้กรอบ (อยู่บ้าง) ไม่เชื่อดูได้จากรายการที่ทางช่อง 9 เชิญท่านไปออกรายการ ท่านไร้กรอบ อุตส่าห์เลือกรูปคู่กับน้าแป๊ด เป็น 1 ใน slide ประกอบรายการแนะนำตัวท่าน อิอิ
สงสัยรูปนี้ ท่านคงจะหล่อ แต่เผอิญดันติดรูปน้าแป๊ดไปด้วย อิอิ
น้อง ๆ ที่ทำงานน้าแป๊ดแซวใหญ่ ว่า “ระวังเถ้อ คนเขาจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นภรรยาท่าน”
ก๊ากส์
ดูสิคิดไปได้
ดิฉันขออาสาหัวหน้าฯ ในการไปรับท่านไร้กรอบ จากที่พักในช่วงเช้า และรับไปทานอาหารเช้า (ติ่มซำและบะกุ๊ดเต๋ เจ้าอร่อย) พร้อมทั้งนำส่งยังห้องบรรยาย
1 วัน ที่อยู่ด้วยกัน ดิฉัน ได้อะไรจากท่านมากมาย
เริ่มจาก
- ตอนเช้า
ระหว่างที่ไปนั่งทานติ่มซำ ท่านไร้กรอบ สังเกตุเห็น แม่ลูก และ น้า คู่หนึ่ง เดินเข้ามาในร้านที่เรานั่งทานอยู่ก่อน ตัวแม่ และ น้า บ่น กะงอด กะแงด กับลูกสาว อายุน่าจะอ่อนกว่าเจ้าตัวเล็กของดิฉัน สัก ปี หรือ สองปี
เด็ก ก็คือเด็กวันยังค่ำ ยิ่งถูกบ่น ยิ่งถูกห้าม ก็เหมือนจะหยิบโน่น ทำนี่ ไม่ได้ดั่งใจไปหมด ดูเหมือนทำอะไรไม่ถูกใจ แม่ และ น้าไปหมด
ท่านไร้กรอบ เปรยถึงการเลี้ยงลูก ว่า เราควรจะทำให้เขารู้สึกมั่นใจในตัวเอง ปล่อยให้เขาเป็นอิสระในทางความคิดบ้าง พร้อมกับหันมาถามดิฉันว่า “เป็นแม่แบบนี้ด้วยรึเปล่า”
(จริง ๆ version การพูดคุย ถึงพริกถึงขิงกว่านี้ แต่มิสามารถบรรยายมาเป็นตัวอักษรได้ อิอิ)
- ระหว่างนั่งรถตู้เพื่อมาส่งท่านที่ห้องประชุม
ดิฉันอยากจะขอเบอร์โทรศัพท์ท่านไว้ เผื่อมีเรื่องติดต่อฉุกเฉิน แต่ด้วยความเกรงใจ ก็ไม่กล้าขอ ไม่รู้ว่า ท่านมีญาณวิเศษ หรือประการใด เหมือนท่านรู้ใจดิฉัน
ท่านเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “ผมยังไม่มีเบอร์คุณแป๊ดเลย” “ไหนลองโทรเข้าเบอร์ผมสิ ผมจะได้ memory ไว้” ระหว่างนั้น ท่านก็ได้ถ่ายรูปดิฉันไว้เป็นหลักฐานพร้อมเบอร์โทรศัพท์ เพื่อเป็นการยืนยันตัวตน
จริง ๆ ดิฉัน ไม่ได้ปลื้มนะคะ ที่ได้เบอร์ของ ท่านไร้กรอบ เพราะท่าน ก็คือ มนุษย์คนหนึ่ง ที่ดิฉันรู้จัก แต่ดิฉันนับถือในความเป็นผู้ใหญ่ของท่าน ที่ให้เกียรติกับผู้อ่อนวัยกว่าเสมอ
- ในห้องบรรยาย ดิฉัน ก็ได้อะไรจากท่านมากมาย
อาทิ เช่น
เปิดจิต เพียงแค่รับรู้ แต่ไม่พิพากษาตัดสิน
ทำให้มามองย้อนดูตัวเองว่า ทุกวันนี้ หลายครั้งที่ดิฉัน มักจะใช้ความเป็นตัวกู ของกู ในการพิพากษาคนอื่น หรือแม้แต่กระทั่ง บางครั้งเผลอไปพิพากษา สามี และลูก โดยมักจะคิดไปเองว่า การกระทำของคนที่เรารู้สึกไม่พอใจ เป็นสิ่งที่ผิด โดยเราลืมมองย้อนไปว่า เรา ไม่ใช่เขา ดังนั้น เราไม่ควรเอาตัวเรา ไปพิพากษาคนอื่่น เขาอาจจะมีเหตุผลในการที่เขากระทำเช่นนั้นก็ได้
เปิดใจ เพียงแค่รับรู้ โดยไร้เงื่อนไข
ทำให้มามองย้อนดูตัวเองว่า ทุกวันนี้ ดิฉันรักลูก รักสามี หรือแม้แต่รักเพื่อน โดยปราศจากเงื่อนไขแล้วหรือยัง ดิฉันรักเขา เพราะเขาเป็นลูก เป็นสามี หรือเป็นเพื่อนหรือเปล่า หรือ รักเพราะต้องรัก
เกิดวันหนึ่งวันใด เขาคนนั้นของดิฉัน อาจจะกลายเป็นสามีคนอื่น แทนที่จะเป็นสามีดิฉัน
หรือแม้แต่เพื่อนที่ดิฉันเคยรัก เกิดวันหนึ่งวันใด เขาทำให้ดิฉันผิดหวังขึ้นมา ความรักที่ดิฉันเคยมี มันจะหายไปหรือไม่ สำหรับเพื่อนนั้น ความเป็นเพื่อนยังเหมือนเดิม ส่วนสามีนั้น อันนี้ เป็นเรื่องของอนาคต ตอบไม่ได้นะคะ
เปิดมุมมอง ด้วยความกล้า ปราศจากความกลัว…ที่จะทำ หลังจากคิดถี่ถ้วนแล้ว…
อันนี้ คิดว่าตัวเองพอมีข้อนี้อยู่บ้างนะคะ เพราะไม่เคยเสียใจในสิ่งที่เราตัดสินใจทำลงไป เพราะคิดว่าสิ่งนั้นดีที่สุด ณ การตัดสินใจ ตอนนั้น แต่จะมองย้อนกลับไปถึงเหตุ ถึงผล ของการกระทำนั้น แล้วนำมาเป็นบทเรียน เพื่อไม่ให้ผิดซ้ำ อยู่เสมอ
ไม่มีใครทำสิ่งใด ๆ ผิด ในองค์กร(คนไม่เคยผิด ก็เพราะไม่ทำ)
ข้อนี้ ปฎิบัติเป็นประจำค่ะ เพราะอาจจะโชคดีตรงที่ มักจะเจอกับเจ้านาย หรือผู้บริหาร ที่เข้าใจ และรับฟังลูกน้อง แม้เพียงหากเราเกิดข้อผิดพลาด เราก็พร้อมที่จะรับผิดกับท่าน ซึ่งท่านก็จะยอมรับฟังเหตุผลของเรา และให้กำลังใจกับเราอยู่เสมอ ๆ
และสิ่งหนึ่งที่ได้คือ ทำให้รู้ว่า
ไม่ว่าจะทฤษฎี หมวก 6 ใบ, ผู้นำ 4 แบบ, นพลักษณ์ หรือแม้แต่ คำสอนในพระไตรปิฏก ไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งที่ตายตัว หรือสูตรสำเร็จ ทุกอย่างสามารถที่จะผสมผสานกันได้ และสิ่งที่ทำสำเร็จของคน ๆ หนึ่ง จะนำไปใช้กับคนอื่นแล้วสำเร็จด้วยนั้น ย่อมไม่เสมอไป
เราเท่านั้น ที่จะรู้ว่า สิ่งไหน เหมาะกับเรา
แต่ที่แน่ ๆ วันนั้น ท่านไม่ได้พูด หรือ แม้แต่เปิด slide ตามที่เตรียมมาเลย
ฮาๆๆๆ