ไปม.มหิดลรับเจ้าบุญเหลือกลับสู่อ้อมกอดของเจ้าดำ
ตื่นเต้นยังกลับได้รางวัลอะไรก็ไม่รู้ ไปถึงโรงพยาบาล แจ้งว่ามาจ่ายค่าใช้จ่ายเพิ่ม
แถมบอกว่ามีลูกเรียนป.โทอยู่ที่นี่ ขอใช้สิทธิ์ เพื่อลดค่าใช้จ่าย 10 %
แต่ตลกมากๆ ที่เจ้าของสุนัข เป็นชื่อจริงของครูต้อย
และแถมยังแนะนำให้เจ้าหน้าที่ซิกแซกเปลี่ยนชื่อเจ้าของเป็นลูกสาว
เพื่อใช้สิทธิ์ ค่ารักษา
นึกย้อนไปแล้วละลายใจ
คู่ชีวิตของครูต้อยบอกว่ามันจะลดไปซักกี่ตังกัน
ถือว่าทำบุญให้สุนัขไร้ญาติไป สรุปว่าไม่ขอลด
และหยอดกระปุกรับบริจาคสำหรับสุนัขป่วย อีกเล็กน้อยตามกำลัง
คุณหมอผู้หญิงหน้าตาสวย น่ารักมาก เดินเข้ามา
ทักทายกันและตรวจสอบว่าเป็นเจ้าของบุญเหลือแล้ว
หมอก็พูดขึ้นว่า บุญเหลือยังผ่าตัดไม่ได้ ต้องรอให้โตอีกหน่อย
อีกอย่างเกล็ดเลือดต่ำ หมอให้ยาบำรุง และยารักษาอาการอักเสบ
คิดว่าไม่นานจะดีขึ้น และกระดูกที่แตกบริเวณขาหลังจะสามารถสมานได้เอง
ระหว่างอยู่ที่นี่หมอได้เข้าเฝือกให้และเพิ่งถอดออก และก็เรียกไม่ถูกว่าหมอเรียกวิธีรักษาแบบนี้อย่างไร
ไม่ทันจำ เพราะใจอยากจะพูดกับหมอที่คุยทางโทรศัพท์ซึ่งเป็นหมอผู้หญิง
จึงบอกหมอว่าอยากเจอหมอที่พูดโทรศัพท์กับครูต้อย หมอบอกว่า หมอเองค่ะ
ฉันถึงกับอึ้ง เพราะวันนั้นกับวันนี้ไม่เหมือนกันเลย พูดจาคนละแบบกับทางโทรศัพท์
แต่ก็ได้บอกหมอไปตรงๆว่าหมอพูดไม่ดีเลยนะคะ ในวันนั้น ทำให้เสียความรู้สึกจริงๆ
เจ้าของสุนัขนะไม่เหมือนกันทุกคนหรอก อีกอย่างฉันก็ไม่ใช่เจ้าของ
แต่เวทนามัน แล้วนี่จะทำอย่างไรดี
หมอบอกว่าเอากลับไปไว้ที่บ้านก่อนนะคะ
แล้วอีก 7 วันให้พามาให้หมอดู
อีกอย่างจะได้ไม่ต้องเสียค่าที่พักสุนัข วันละ 180 บาท
บางทีมันอาจจะหายโดยไม่ต้องผ่าตัด เพราะยังอ่อนมาก ทุกอย่างอาจดีขึ้น
หมอบอกว่าไม่น่าเป็นห่วงแล้ว เพราะบุณเหลือขับถ่ายได้ดี
ฉันยังขอความเห็นจากหมออีกว่า
หากมันไม่ดีขึ้นแล้วเอามาผ่าตัดมันจะหายดีเป็นปกติสักกี่เปอร์เซ็น
หมอบอกว่า ประมาณ 80 เปอร์เซ็น ถึงเกือบ100เปอร์เซ็น
ตกลงฉันเอามันกลับมาบ้าน แวะซื้อกรงให้มันอยู่ ที่บ้านมีผ้าลูกไม้ใช้ทำม่านเหลืออยู่
ไม่ต้องไปซื้อมุ้งมาครอบกันยุง
ก็เอามาคลุมกรงเพื่อไม่ให้ยุงกัด
เวลาผ่านไป ไม่เกิน 2 ชั่วโมง
เจ้าดำแม่ของลูกสุนัขก็มาแหงนหน้ามองลูกของมันไม่ส่งเสียงร้อง แต่แสดงอาการขอลูกคืน
ฉันเห็นแล้วตื้นตันใจที่แม่ลูกจะได้พบกัน นึกว่ามันจะลืมลูกของมันแล้ว
มันคงได้ยินเจ้าบุญเหลือร้องนั่นเอง
ฉันตัดสินใจร่วมกับพ่อบ้านว่าให้ลูกได้เจอแม่มันก่อน
เพื่อให้ความรักมันเป็นแรงขับให้บุญเหลือหายป่วย หายเจ็บ
ปรากฏว่าเมื่อเจ้าดำได้ลูกคืนมันกลับนำเจ้าบุญเหลือเข้าป่าไปเลย
ไม่ออกมาให้เห็น ฉันนั่งน้ำตาไหล และคอยมันออกมา ประมาณ 1 ชั่วโมง
เห็นท่าว่ามันไม่คืนลูกให้แน่จึงกลับเข้าบ้าน ด้วยหัวใจที่เจ็บปวด สงสารทั้งแม่และลูก
แต่สงสารเจ้าบุญเหลือมากกว่าเพราะมันจะต้องเจ็บปวดขณะเดินทางเข้าไปในป่าที่รกและไม่เรียบ
นึกหวั่นใจว่าว่ามันจะเจ็บหนัก แล้วคืนนั้นทั้งคืน ฉันก็นอนไม่หลับ
ได้ยินเสียงเจ้าบุญเหลือร้องเป็นระยะด้วยความเจ็บปวด
อาจถูกพี่ๆทับขา หรืออาจหิวนม และเจ้าดำคงไม่ให้ดูดนม มันจากแม่มันไป 6 วันเต็ม
คืนนั้นฉันนอนไม่หลับ จนถึงตี 4 ก็ออกไปดูมันใหม่ ปรากฏว่าเจ้าดำเอาบุญเหลือมาส่งให้
เจ้าบุญเหลือเองก็ดีใจวิ่งมุดๆลากขามาหา ฉันป้อนยาแก้อักเสบ และย่าบำรุง
เอานมกับอาหารเม็ดให้มันกิน แล้วเอามันไปนอนในกรง
โดยเอากรงไปไว้ตรงเพิงร้าง ทางเข้าออกของเจ้าดำ เพื่อมันจะได้เห็นลูกมัน
แล้วก็ไปโรงเรียน แปลกที่ฉันไม่ง่วงเลย ไม่เพลีย และยังไปวิ่งออกกำลังกายตอนเย็นทุกวัน
ฉันต้องตื่นนอนแต่ตี 4 และนอนประมาณ ตี 2 เป็นอย่างนี้มา
ตั้งแต่รับบุญเหลือกลับมาจากโรงพยาบาลเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว จนถึงวันนี้
บุญเหลือเริ่มจำได้ว่ามันจะต้องนอนในกรง และตี 4 จะต้องปล่อยให่มันอยู่กับแม่จนถึงสว่าง
ให้กินข้าว กินยา และให้เล่นกับพี่ๆประมาณ 30 นาที จึงจับเข้ากรง
และปล่อยออกมาวิ่งเล่นพูดคุยกับพี่ๆและแม่อีกครั้งในตอนเย็น และกลับเข้ากรงเป็นอย่างนี้ เพื่อมันจะได้พักผ่อนขา
ไม่ต้องวิ่งตามแม่ของมันตะลอนๆไป รอให้ขาหายดีแล้ว ฉันก็จะปล่อยให้มันเป็นอิสระเต็มร้อยเปอร์เซ็น
เสาร์อาทิตย์นี้ ฉันต้องพาบุเหลือไปพบหมออีกครั้งเมื่อตรวจเช็คร่างกาย
แต่พ่อบ้านต้องไปประชุมอบรมที่นครปฐม
จึงต้องเลื่อนวันไปในวันราชการหลังเลิกงานแล้วซึ่งยังไม่ได้กำหนดวัน
แต่ฉันแจ้งให้หมอทราบแล้วว่าอาจพามาล่าช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย
อาการของบุญเหลือที่ฉันสังเกตพบคือ ขาข้างขวาบริเวณต้นขาเหมือกล้ามเนื้อมันห้อยมาแบบถ่วงๆ
สามารถเดินได้คล่องขึ้นแต่ยังต้องใช้ขาหน้าทั้งสองขายกลำตัวเกือบตลอดเวลาที่มันต้องเดิน
เย็นวันหนึ่งฝนตกลงมาหนัก ลูกๆอีกสองตัวของเจ้าดำ สามารถวิ่งหลบฝนทัน
แต่เจ้าบุญเหลือวิ่งไม่ทัน แม่ของมันจึงคาบบริเวณหลังคอ พาหลบฝน เป็นภาพที่น่ารักมาก
อีกวันหนึ่งฉันกลับจากโรงเรียนไม่พบบุญเหลือ
คงมีใครเปิดกรงฉันจึงส่งเสียงร้องเรียกบุญเหลือๆๆๆ ปรากฏบุญเหลือมากันสองตัว
เป็นลูกตัวที่แข็งแรงของเจ้าดำทั้งสองตัวกระดิกหางเข้ามา ตัวหนึ่งสีดำมีสี่ตา
อีกตัวก็สีดำ แต่มีขนให้คางเหมือนแม่มัน สุนัขพันทางนี่หน้าตาตลกดี
ชวนมองต่างจากพันธุ์แท้ๆที่ออกมาบล๊อกเดียวกัน
เมื่อห็นบุญเหลือ จึงเจ้าลูกสุนัขสองตัวนี้ว่า น้องเจ้าไปไหน
ประมาณ 5 นาทีฉันก็เห็นบุญเหลือมานั่งแหงนหน้ามองฉัน อยู่ด้านข้าง
และสังเกตเห็นเจ้าดำแม่ของมันยื่นอยู่ใกล้ๆ ฉันบอกเจ้าดำว่าต้องให้บุญเหลือกินยาตรงเวลานะ
ลูกของแกจะได้หายเร็วๆ อีกอย่างอย่าพาลูกเข้าไปในป่า เดี๋ยวเจ้ามังกรจะจับกิน
ฉันเดินไปอุ้มบุญเหลือมาป้อนยาใกล้ๆกรง และสังเกตเห็นบริเวณคอของมันมีรอยน้ำลายเป็นรูปปาก
แสดงว่าเจ้าดำช่วยคาบพาบุญเหลือมาให้ฉันป้อนยาให้ อัศจรรย์จริงๆ
สุนัขสามารถรับรู้ภาษาคนได้จริงๆ แต่เสียดายที่คนไม่อาจเข้าใจภาษาของมัน เสียงร้องของมัน ก็เดาๆกันไป
ฉันรับรู้ว่าจิตคนสามารถถ่ายทอดความรู้สึกไปยังสุนัขได้ และฉันมักจะสื่อสารกับสุนัขด้วยสายตา และส่งจิตพูดกับมัน
« « Prev : วันหยุดที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
4 ความคิดเห็น
เห็นด้วยว่าหมารับรู้และเข้าใจเราได้จริงๆค่ะ บางครั้งยังเคยนึกว่าใครบอกว่าคนฉลาด เรายังไม่รู้จักภาษาของสัตว์ตั้งหลายชนิด แต่สัตว์เหล่านั้นเข้าใจเราได้เสมอ
บางทีภาษาต่างๆที่คนให้ความสำคัญมากมายนั้น คงลืมว่าในอดีตก่อนที่มนุษย์จะพูดได้ตามสำเนียงปัจจุบัน เราใช้ภาษาใจเป็นหลักนะคะ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ และดีใจที่บุญเหลือแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมค่ะ …ขอบุญรักษาผู้ใจบุญนะคะ
เขาอ่านเราออก จำ และรู้ว่านานจะทำอะไร
เราซิไม่ค่อยเข้าใจเขาหากไม่สนใจจริงๆนะ
แต่สันชาติญาณบอกเราเยอะจริงๆ
อยากดูรูปเขาครับ
เรียนท่านbangsai ครูต้อยยังเอารูปบุญเหลือขึ้นโชว์ในลานนี้ไม่เป็นค่ะ
แต่ดูได้จากบันทึกของkrutoiting ที่G2Kนะคะ
http://gotoknow.org/blog/krutoiting/272391
http://gotoknow.org/blog/krutoiting/275995
บุณเหลือตัวสีน้ำตาลที่นอนตัวเดียวน้ำลายยืดนะค่ะ
อีกอย่างที่เป็นปัญหาของครูต้อยคือการพิมพ์คำผิดมากมาย
แต่เมื่ออ่านทบทวนแล้วอยากแก้ไข
ก็ยังไปหาทางเข้าไปแก้ไม่ถูกค่ะ
ขออภัยจริงๆ จะพยายามคลำหาทางดูนะคะ
ขอบคุณค่ะ
เบิร์ดตอบเกี่ยวกับการนำรูปขึ้นลานฯอยู่ที่นี่ค่ะพี่ครูต้อย
http://lanpanya.com/seasonschange/archives/231#comment-673