คนละความหมาย
อ่าน: 13993พูดเรื่องเดียวกัน แต่ละคนอาจเข้าใจแตกต่างกัน เคยเขียนเรื่อง The Ladder of Inferrence ไว้
เช่น ปล่อยวาง ปลง วางเฉย
บางคนก็ตีความว่า ไม่ต้องดิ้นรนอะไร อยู่เฉยๆ อะไรจะเกิดก็เกิด แต่บางคนเห็นว่ามีอะไรควรทำก็ทำ มีอะไรต้องทำก็ทำ แต่ทำแบบใจสบายๆ ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องทุกข์
หรือเรียนรู้ทำไมต้องทุกข์ เรียนสบายๆ ชิวๆ
บางคนก็ไปตีความว่าเวลาเรียนก็ไม่ต้องสนใจอะไรมาก เล่นสนุกๆไปวันๆก็มี แต่บางคนเขาตั้งใจเรียน แต่เรียนด้วยใจรัด เรียนเป็น มีความสุข สนุกสนานกับการเรียน
เช่นเดียวกับการทำงานและการใช้ชีวิต ไม่ใช่ทำงาน ทำเล่นๆ ทำกันจริงๆจังๆ แต่ทำด้วยความสุข ใจรักงาน รักเพื่อนร่วมงาน ฯลฯ
การใช้ชีวิตก็เหมือนกัน มีชีวิตอยู่ ทำไมต้องเครียด ต้องทุกข์ด้วย แต่ไม่ใช่เอาแต่เล่นเกม ปลูกผักในจอ (ไม่ได้ว่าใครนะ……อิอิ) หมกมุ่นอบายมุข ฟุ้งเฟ้อ
ลองดูอีกสักคำนึง……จิตอาสา
ถ้างานในหน้าที่ของเราทำได้ดีแล้ว ทั้งงานในหน้าที่ ภาระต่อสังคม ภาระต่อครอบครัว ยังมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใช้เวลาว่างไปช่วยเหลือคนอื่น ช่วยเหลือสังคมเท่าที่จะทำได้ (โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน) เรียกว่ามีจิตอาสา
แต่ถ้างานในหน้าที่ยังทำไม่ได้ดี ภาระต่อครอบครัวยังทำได้ไม่สมบูรณ์ แต่ยังชอบไปช่วยชาวบ้าน ช่วยสังคม ทั้งๆที่ตัวเองก็ยังจะไม่รอด ยังงี้เรียกจิตอาสาไหม?
เวลาทำงาน หงุดหงิดมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน แต่หน้าระรื่นไปช่วยสังคม ??????
ทำงานบริการประชาชน แต่หน้าหงิกหน้างอ แต่เลิกงานหน้าระรื่นไป..จิตอาสา ??????
ไม่ดูแลที่บ้าน มีปัญหากับครอบครัว แล้วจะไปช่วยคนอื่น ??????
หมู่นี้เป็นไรก็ไม่รู้ ตั้งใจเขียนเรื่องนึง แต่จบอีกเรื่องนึง เกี่ยวกันมั๊ยเนี่ย ?
« « Prev : ทดลองเขียนผ่าน Office 2010
Next : Expo 2010 Shanghai China (1) » »
8 ความคิดเห็น
55555 ถ้างั้น หมอก็คงต้องให้อภัยน้าแป๊ดนะคะ ที่ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรชาวบ้านเขาสักกะอย่าง จนไม่มีใครรักแระ เพราะการงานก็ไม่ค่อยได้เรื่อง ครอบครัว ก็ยังมีหลายเรื่องให้ต้องแก้ ดังนั้น จึงยังไม่พร้อมที่จะไปจิตอาสากะใครเขา
ให้อภัยผู้น้อยด้วยเด้อ
แหม คนเราแตกต่างกัน ก็อาจจะตีความแตกต่างกันได้นะครับ
การเคารพในความแตกต่างนั้น เป็นการเคารพกันอย่างสูงแล้ว ขืนทุกคนจะต้องคิดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน แล้วจะมีหลายคนไปทำไม ไม่ต้องคุยกับใครเลยดีกว่า เพราะมันเหมือนกันไปหมด
มีคนถามเหมือนกันครับ ว่าทำไมไม่ไปคุยกับคนโน้นคนนี้ (ก็ยังดีที่ถาม) คือว่าถ้ามีเรื่องที่ผมต่อยอดได้หรือว่าจะถาม ก็เขียนนะครับ แต่ถ้าให้เขียนแต่ไม้ยมก พยักหน้าหงึกๆ หรือไม่มีประเด็นที่รู้สึกว่าน่าจะเขียน ก็ไม่เขียนหรอกครับ — ถ้าไม่เห็นด้วย ผมบอกไปแล้ว
^%@*&)*)(+_!)+!_!#$*!)_$!+_?????????????
………..นี่ก็ต้องความกันไป ทำความเข้าใจกันไป
เราไม่ทำบุญเพราะคิดว่ายังไม่พอ เท่าไหร่จึงจะพอ????
เราไม่ช่วยคนอื่นเพราะเรายังไม่พร้อม ทำไมไม่ทำให้ตัวเองพร้อม ขนาดไหนถือว่าพร้อม ???????
…….
วิชา การทำงานบนฐานความไม่พร้อมนี่แหละที่น่าจะวิเคราะห์กัน
จะรอให้พร้อม ให้ดี ให้ครบถ้วน แล้วถึงจะทำ จะจิตอาสา
ไม่พร้อมแล้วมาอาสา ทำไม บ้ารึเปล่า ??????
>> คิดต่างมุม มองต่างแง่ ก็พอจะแก้ตัวว่า
ทำเรื่องต่างๆในจุดที่พอเพียง พอดี ของแต่ละคน
คงไม่มีมาตรฐานวัด
ไม่พร้อม ก็ทำอะไรๆจุดอื่นที่พร้อมได้
(ถ้าความพร้อมมีความหลากหลาย)
โหล้ยโท้ยก็พอทำอะไรได้ก็ทำไปเถอะ
ถ้าทำแล้วมีความสุข ไม่เบียดเบียนตัวเอง
แหม นานๆมาป่วนที อากาศอุ่นดีจังเลย
ขอบอก และ อิอิ
ก็ครูบาอาจารย์ว่า รู้แค่ไหนสอนแค่นั้น ไม่อย่างนั้น ตายก็ไม่ได้สอน (อันหลังนี่ต่อเอง)
ดังนั้น จิตอาสา ถ้ามาจากใจก็ทำไปเถอะ การงานถ้าไม่ทำจากใจ ก็ลาออกไปเถอะ (อันหลังนี่พูดเองเช่นกัน…5555555)
มองต่างมุมอีกแล้วนะคะ สังคมนี้เป็นทูเวยส์ การที่คนนั้นออกมาจากตรงนั้นมาทำที่อื่นที่อยากทำ ป้าหวานมองว่าในขณะที่เขาได้ให้ เขาได้รับด้วย และ เขาเลือกเช่นนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์เท่าที่เขาจะทำได้ ซึ่งอาจเพื่อตัวเอง และเพื่อผู้อื่นด้วย รับจิตอาสานั้นและมอบจิตอาสากลับ ใจที่ว้าวุ่นสับสนจากปัญหาหนึ่งนั้นอาจกำลังรอความช่วยเหลืออยู่เช่นกัน ความสุขที่ได้ร่วมกับสังคมจะชดเชยส่วนที่ขาดหายไปจากที่ทำงานหรือ ครอบครัว เติมพลังให้เขากลับไปทำความดีกับครอบครัวและที่ทำงานได้ เขามารับเช่นกันค่ะ
เคยรู้สึกเอ๊ะ…กับตัวเองค่ะ
เพราะเที่ยวรับอาสาทำโน่นทำนี่ เพียงเพราะคิดว่า “ควรทำ” สนุกมากมาย ไม่ต้องหลับต้องนอน ลงเวรจากงานประจำ (สมัยที่เคยเป็นพยาบาล) ไปทำงานอาสาสมัครต่อ แล้วก็กลับมาขึ้นอีกเวร…เวียนวนไปเรื่อย หมดแรงหมดลาน ไปไม่ไหวก็ค่อยนอน ฟื้นตัวก็ไปต่อ…บ้านช่องพ่อแม่พี่น้องไม่ต้องไปให้เห็นหน้า…
วันหนึ่งขึ้นเวรแล้วญาติคนไข้มาถามโน่นถามนี่ คนแรกก็พอได้ หลาย ๆ คนเข้าก็หงุดหงิด จะถามอะไรกันนักกันหนานี่…ไม่รู้จะมาถามเราทำไมคนเดียว หน้าเลยตึง ตอบน้อยลง ๆ ๆ
กลับมาคิดดู เราเหนื่อยจากการอดนอน เราจึงมีความอดทนต่ำ ทั้ง ๆ ที่ความจริงควรต้องพักผ่อนให้พอเพื่อจะได้มีแรงทำงานในหน้าที่หลักของเรา ซึ่งก็คือการให้คำแนะนำและตอบข้อสงสัย(ที่ตอบได้) กับญาติคนไข้ที่เราดูแล…นี่ล่ะ งานในหน้าที่บกพร่องเพราะงานอื่น…
จึงได้เวลาทบทวนตัวเองว่าจะไม่รับปากส่ง ๆ ตามใจตามอารมณ์(อยากทำ) นอกจากพร้อมจริง ๆ ค่ะ
การเข้าถึงปรมัตถธรรมมาก-น้อย การติดในสมมติมาก-น้อย มีผลมากต่อความคิดและการกระทำ และที่ต้องระวังที่สุดก็คือ การไม่ด่วนพิพากษา ตัดสินการกระทำของบุคคลจากฐานคิดและภูมิธรรมของเรา เพราะมันอาจอยู่ในลักษณะคนละคลื่น คนละความถี่ ที่ยังสื่ออะไรกันไม่ได้เลยก็เป็นได้