รำลึกเรื่องราวคราวเดินทางไปส่งแม่
อ่าน: 978 บันทึกนี้ตั้งใจจะรวบรวมสิ่งทีได้ขีดเขียน บันทึกเรื่องราวเมื่อคราวเดินทางไปอยู่กับแม่ จนกระทั่งได้ส่งแม่คืนกลับสู่ธรรมชาติเดิม
แม้ไม่สมบูรณ์เพราะเขียนในสถานการณ์ที่มีความวุ่นวายหลายๆด้าน แต่เมื่อย้อนอ่านก็รู้สึกว่ามีประโยชน์ในหลายแง่มุม อย่างเช่นที่พี่ชายแท้ๆ Mr. Augustman ได้เขียนบอกไว้ในบันทึกหนึ่งว่า ..
………………………………………………….
” … สวัสดี น้อง Handy
ที่ผ่านมาช่วงอยู่กับแม่จนกระทั่ง….แม่จากพวกเราไป
พี่เปิดไปอ่านบันทึกในช่วงแรกแค่แวบ ๆ เนื่องด้วยเวลาไม่อำนวย
กลับมาบ้านที่ศรีราชามีเวลามากขึ้นจึงได้ย้อนอ่านตั้งแต่บันทึกแรก ๆ
เก็บภาพที่สำคัญเซฟเก็บไว้ รวมทั้งอ่านความเห็นของท่านอื่น ๆ ด้วย
ยอมรับว่าซาบซึ้ง ประทับใจจนน้ำตาซึมทีเดียว ลูกสาว(หลานแอน)
บอกว่าอ่านทีไร…อดน้ำตาไหลไม่ได้
อยากบอกได้เพียงว่าแม่ของพวกเราท่านไป”อย่างสงบงาม” อย่างที่ว่านั่นแหละ
มีโอกาสคงได้พบกันในงานทำบุญครบ ๑๐๐ วัน คิดว่าคงในราวกลางหรือปลายเดือนสิงหาคม ๒๕๕๑
สุดท้ายขอขอบคุณทุก ๆ ท่านที่เข้ามาอ่านและร่วมอาลัยในการจากไปของคุณแม่ ครับผม ”
……………………………………………………
เพื่อให้ตามดูได้โดยสะดวกตามลำดับของเหตุการณ์ จึงขอนำทุกบันทึกที่เกี่ยวข้องมาเรียงไว้เป็นชุดดังนี้ ..
สวัสดีครับ
เมื่อผมกับ ดร.เม้ง คุยกันใหม่ๆ
อ่าน: 1210ดร.เม้ง เขาเรียกผม “พี่บ่าว” และผมก็เรียกเขา “น้องบ่าว” จนชินแล้ว เรารู้สึกใกล้ชิดกันมากทั้งๆที่จนบัดนี้ ยังไม่เคยเจอตัวเป็นๆกันเลย นัดกินข้าวต้มก็หลายครั้ง แต่แห้วทุกที และที่อยากบันทึกไว้ตรงนี้อีกเรื่องคือ เมื่อคุณแม่ผมเสีย และผมแจ้งข่าวขึ้น Blog ที่ Gotoknow โทรศัพท์แสดงความเสียใจสายแรกที่ผมได้รับเป็นโทรทางไกลจากเยอรมันครับ ก็จากน้องบ่าวสุดที่รัก ดร.เม้งคนเดียวกันนี่แหละ
วันนี้ย้อนรอยไปอ่านบันทึกเก่าๆ ได้พบกับข้อเขียน ความคิด ความเห็นที่เราแลกเปลี่ยนกันในระยะแรกๆ จึงอยากนำมาตัดต่อและบันทึกไว้ให้เห็นง่ายๆที่ตรงนี้ครับ จะมีคุณค่าอย่างไร หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการมองของแต่ละคน สำหรับผม มันมีค่ามากครับ .. ตอนนั้น ดร.เม้ง ยังเรียกผม “คุณ Handy” อยู่เลย
เชิญติดตามครับ …
จากบันทึกของผมเรื่อง “ เพิ่มความเร็วอย่างเหลือเชื่อ ในการคูณเลขสองหลักด้วย 11” ดร.เม้งมาเริ่มคุยด้วยการบอกว่า ..
…
กราบสวัสดี คุณแฮนดี้ครับ
ผมก็คนหนึ่งที่ชอบคณิตศาสตร์ครับ และรู้สึกดีครับ ที่มีการหยิบยกตัวอย่างทางคณิตศาสตร์ ซึ่งนำมาใช้ในประจำวันได้ ซึ่งจริงๆ แล้วคณิตศาสตร์หรือภาษามันก็เป็นเรื่องเดียวกันทั้งสิ้น ล้วนมาจากสาขาปรัชญาทั้งสิ้น แต่พอเราเรียนลงลึกแล้วแยกสาขาลงไปจนเห็นความแตกต่างระหว่างสาขาที่แยกลงไปเลยกลับกลายไปว่ามีหลายๆ อย่างจนต้องชอบหรือไม่ชอบวิชาต่างๆตามมา จริงๆแล้วหากเรารู้ว่าในโลกนี้มีความรู้มากมาย แล้วที่เรียนมานำไปประยุกต์ใช้อย่างไร เรียนเรื่องนี้นำไปใช้ในส่วนใด แต่ละเรื่องเกี่ยวกับรอบตัวอย่างไร ก็จะเห็นความสำคัญขึ้นมาทำให้ตอนเรียนน่าสนใจ น่าติดตามและศึกษาก่อนที่อาจารย์สอนเพราะสนใจเป็นพิเศษ ดังนั้นหากเรามีคนแนะนำ โดยนำเข้าสู่บทเรียนโดยการสอนหรือหยิบยกอะไรบางอย่างให้เด็กเห็น เด็กๆ ก็จะจำเป็นภาพ เป็นการประยุกต์ การจำสิ่งรอบข้างทำให้เชื่อมโยงกับความคิดในบทเรียน นั่นคือเรื่องเดียวกัน
อย่างคณิตศาสตร์ แต่ละเรื่องแต่ละบทก็เกี่ยวกับสิ่งรอบตัวเราทั้งสิ้น อยู่ที่ว่าเราจะเชื่อมต่อมันเข้ากันได้อย่าง เพราะตอนนี้มันแปลงมาอยู่ในรูปสัญลักษณ์และสมการแล้ว ซึ่งหากเราอ่านสมการและสัญลักษณ์นั้นได้เข้าใจ ก็ไม่ต่างไรกับการอ่านบทความทางภาษาศาสตร์หรือสังคมศาสตร์นั่นเอง และในทางกลับกันบทความทางภาษาศาสตร์หรือทางสัมคมศาสตร์ก็แปลงให้อยู่ในรูปคณิตศาสตร์ได้เช่นกันครับ
ผมอยากให้เด็กไทยอยากเรียนคณิตศาสตร์และก็ชอบภาษาและสังคมด้วย เพราะมันคือเรื่องเดียวกัน
ขอบคุณครับผม
สมพร
จากนั้นผมก็ไปตอบแกว่า …
…
แล้ว ดร.เม้งก็มาต่ออีกครั้งว่า …
สวัสดีครับ
ผมก็เป็นนักคณิตศาสตร์ผสมกับคอมพิวเตอร์ รวมๆกัน เหมือนจะเป็นคณิตศาสตร์ประยุกต์ และทำวิจัยเกี่ยวกับการเกษตร ต้นไม้อะไรพวกนี้ครับ มันจะเป็นการงงของคนที่ถามคำถามอยู่เสมอว่า คณิตศาสตร์กับเกษตรมันเกี่ยวกันได้อย่างไร ไว้ผมจะค่อยเขียนไว้นะครับ ให้ลองหาความสัมพันธ์กันเล่นๆ ดูครับ ในบล็อก มิสเตอร์ช่วย นาย สมพร ช่วยอารีย์ ครับ ซึ่งจริงๆ แล้วคณิตศาสตร์เอาไปใช้ได้ทุกๆสาขาเลยครับ
ขอบคุณครับ
สมพร
เรื่องต่างๆก็คืบหน้าไปจนเราได้คุยกันทั้งทาง Blog ทางโทรศัพท์ และทาง Skype ในบางครั้ง และจนกระทั่งวันหนึ่งขณะผมกำลังขับรถอยู่แถววงศ์สว่าง น้องบ่าวคนนี้ก็โทรทางไกลจากเยอรมันมาขออนุญาตใช้ชื่อ Blog “ลานปัญญา” ของผม ไปเปิด Web ที่ชื่อ lanpanya.com และผมได้ตอบ OK ไปด้วยความยินดียิ่ง .. ก็ ลานปัญญา ของพวกเรานี่แหละครับ
ขอบคุณน้องบ่าว ดร.เม้ง มากครับ
…. อิ อิ อิ
การบันทึกข้อมูลการทำงานเชิงช่างลงสมุดบันทึก
อ่าน: 995ผมมีบุคคลที่ชื่นชอบและชื่นชมอยู่ในดวงใจมากมาย ทั้งไทยและเทศ หนึ่งในจำนวนนั้นคือคุณ Glen Williamson ซึ่งแอบชื่นชมและใช้ประโยชน์จากวิทยาทานของท่านมานับสิบปี ท่านเป็นผู้ใหญ่ใจดี ที่มีจิตสาธารณะอันสูงยิ่งในความรู้สึกของผม ประสบการณ์ที่กว้างขวาง ลุ่มลึก และมากมายในด้านวิศวกรรมไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ ได้รับการแปรรูปให้เป็นของง่ายๆ สะดวกต่อการเรียนรู้ของมือใหม่ผ่าน Website ของท่าน ส่วนมีอะไรน่าสนใจบ้างคงต้องลองเข้าไปดูเองครับ
สำหรับบันทึกนี้ตั้งใจจะถ่ายทอดคำชี้แนะของท่านผู้นี้ในเรื่อง การบันทึกข้อมูลเชิงช่างลงสมุดบันทึก ขอนำต้นฉบับมาลงโดยไม่แปลนะครับ เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลา
Keep a Contemporaneous Engineering Notebook.
That means, Write EVERYTHING Down, even include a dentist appointment; that’s what helps make it a believable Legal Document.
So keep the notebook up to date and have it Witnessed often by those whom you trust, and understand your work.
This can mean the difference between Owning the Patent Rights to your Work, or NOT! Also, it can jog the old memory and reduce the number of times you do the same tests. “…gee, have I already done that…”
Of course, It Don’t Hurt when Final Reports are Due!
So Anticipate the Patent Application process: use a Legally and Scientifically Accepted Format.
Here’s How :
(1) Use a Bound (stitched binding) notebook. DO NOT use a loose leaf or Spiral bound notebook!
(2) Entries Should be in Permanent Ink–Not Pencil.
(3) The Title, Project Number, and Book Number should be accurately recorded when starting a New Page.
(4) All data is to be recorded directly into the notebook. The inclusion of all elaborate details is preferable. Notes and calculations should be done in the notebook, NOT on loose paper. In the case of an error, draw a single line through the incorrect data. Do Not Erase or use correction fluid. All corrections should be initialed and dated.
(5) After entering your data, sign and date all entries. Witness or witnesses should sign and date each entry. The witness must observe the work that is done, and have sufficient knowledge to understand what they read. Names of all who were present during any demonstration should also be recorded.
(6) Use Both sides of a Page.
Never leave any White Space: “X” out or Crosshatch all unused space, and don’t forget to initial & date same.
(7) All contents of the notebook should be kept strictly Confidential. It should be kept in a Protected place to safeguard against Loss.
ผมถือปฏิบัติตามนี้อยู่บ้างครับ และคิดว่าจะต้องทำให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นอีก ที่ผ่านมามันไม่ค่อยจริงจังสักเท่าไหร่ ใครไม่เคยทำก็อยากให้ลองทำครับ มีประโยชน์มาก
ก่อนจบอดไม่ได้ ขอแถมอีกหน่อย เพื่อป็นการเชิดชูคนดีในดวงใจคนนี้ของผม
ชื่อ : Glen A. Williamson
Website : http://williamson-labs.com/
ประสบการณ์-ผลงาน ความคิดอ่านมากมาย คลิกดูได้จาก Menu ในหน้า Homepage ครับ เช่น …
- ผลงานวิจัยและประดิษฐ์คิดค้น
- ภาพ Animation อธิบายหลักการทางไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์
- ประวัติการทำงาน
- คำนิยม คำชื่นชมจากผู้คน
- … ฯลฯ
เข้าไปดูเถอะครับ รับรองไม่ผิดหวัง
ตอบคำถามศิษย์เก่า เรื่อง “เกิดมาทำไม”
อ่าน: 1157ก่อนไปวัดพระบาทห้วยต้ม ได้ไปให้ความรู้เรื่องสื่อ ในการอบรมเมื่อ 17-19 มิย. ที่ผ่านมา ที่รร.วิศวกรรมรถไฟ งานนี้แถมเรื่อง Blog ให้ไปด้วยจนหลายคนเข้าไปอยู่ใน G2K เรียบร้อยแล้ว หนึ่งในผู้เข้าอบรมเป็นศิษย์เก่าที่เคยสอนมาก่อน ได้นำเสนอตรงไปตรงมาในบันทึกหนึ่งของเขาว่า ….
” ทุกวันนี้ เรามีความรู้สึกว่าความวุ่นวายจะเกิดจากสิ่งที่อยู่รอบตัวเราเองซะเกือบทุกอย่าง ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา ทานอาหารเช้า เดินทางไปทำงาน ถึงที่ทำงานพบเพื่อร่วมงาน ผบ. คิดวิเคราะห์งาน ทานอาหารกลางวัน ประชุมภาคบ่าย ทำงานต่อเสร้จกลับบ้าน รถติด ถึงบ้านแม่บ้านบ่นเรื่องที่พบในแต่ละวันให้ฟัง เข้านอน,,,,,,,,,,,,,,แล้วหลับไป ใครจะบอกได้ไหมว่าอะไรคือชีวิตกันแน่ “
ผมอ่านแล้วเห็นว่า ชัด ตรงดีมากครับ เข้าใจ เห็นใจ แต่เนื่องจากมีเวลาน้อย จึงไปตอบสั้นๆไว้ ดังนี้
สวัสดีครับ
- ตามมาเยี่ยม
- เข้าใจความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาแบบตรงๆ ง่ายๆ
- เชื่อว่าพูดแทนใครอีกหลายๆคน
- คำตอบต่อคำถามที่ว่า อะไรคือชีวิตกันแน่ หรือ เกิดมาทำไม น่าจะมีหลากหลาย ก็ต้องเลือกเอาที่เห็นว่าใช่
- สำหรับผม เชื่อว่า นี่ คือคำตอบครับ
E-Valve ยี่ห้อ Handy คลอดแล้วเมื่อเช้านี้ .. 7 ชุด ปฐมฤกษ์
อ่าน: 2244ว่าจะเขียนโม้เรื่อง ULEM ภาคพิศดาร แต่อดไม่ได้ที่จะเอาเรื่องที่เพิ่งผ่านมาหยกๆเมื่อเช้านี้ มาเป็นออร์เดิร์ฟก่อน
เช้านี้ตื่นมาคิดทบทวนภารกิจและเวลาที่มีอยู่แสนจำกัดแล้วทำให้ตาสว่าง ข้อสรุปก็คือช้าไม่ได้แล้ว เครื่องที่จะประกอบเตรียมไปติดตั้งที่วัดพระบาทห้วยต้มนั้น แม้จะทดสอบจนชัวร์ป้าบแล้ว แต่มันยังกระจัดกระจาย ไม่ได้รวมตัวเป็นเครื่องแต่อย่างใด แถมพรุ่งนี้ ต่อเนื่องไป คือ 17-18 -19 ยังต้องไปเป็นวิทยากรฉายเดี่ยว คนเดียวทั้ง 3 วัน ที่ รร. วิศวกรรมรถไฟ เช้าจดเย็น และจะต้องขึ้นรถทัวร์มุ่งหน้าสู่วัดพระบาทห้วยต้มในคืนวันที่ 19 นี้ด้วย
ครั้นตรึกนึกถึงรายละเอียดว่าต้องทำอะไรบ้างในขั้นตอนปลีกย่อย ก็พบว่ามีหลายอย่างต้องรีบทำ ทั้งที่ต้องตัด เจาะ ผ่า ติดกาว บัดกรี ขันสรูยึด และการทดสอบ .. คิดแล้วอยากเป็นลม เพราะจะวานใครทำก็ไม่ได้ มันล้วนแล้วแต่ ทาสิทนอลลิจ ทั้งนั้น บอกนั้นไม่ยากแต่ทำตามให้ได้ตามที่บอกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย .. หลายคนที่เป็นช่างคงทราบดี
หนึ่งในงานสำคัญก็คือก็คือการประกอบและทดสอบเจ้า E-Valve หรือวาล์วน้ำควบคุมด้วยไฟฟ้า ที่ออกแบบ วิ่งหา จ้างทำและจัดทำชิ้นส่วนต่างๆไว้พร้อมแล้วแต่ยังไม่ได้ประกอบและทดสอบขั้นสุดท้าย ความจริงลองทำไว้ 1 ชุด เมื่อ 2 วันก่อน แต่เมื่อไม่ได้ทดสอบการใช้งานจริงๆ ก็ต้องถือว่ายังไม่คลอด วันนี้ตื่นมาเลยรีบคว้าวัสดุและเครื่องมือพะรุงพะรังไปตั้งโต๊ะหลังบ้าน ตั้งใจว่าจะทำให้ได้สัก 6 ชุด รวมของเดิมอีก 1 เป็น 7 ชุดปฐมฤกษ์ วิเคราะห์งานแล้วไม่ธรรมดาครับ นับเป็นขั้นตอนย่อยๆได้ดังนี้
- ตัดสายไฟ AC ขนาด 2X0.5 SQmm. ยาวประมาณ 35 ซม.
- ปอกสายที่ปลายทั้งสองข้างยาวประมาณ 5 มม. รวม 6 เส้น(คู่) ต้องปอกสายทั้งหมด 24 ครั้ง
- ตัดท่อหดขนาด 5 มม. ยาวประมาณ 1.5 ซม. 12 ชิ้น
- ใช้คีมถ่างส่วนปลายด้านหนึ่งของท่อหดทั้ง 12 ชิ้นให้ยืดออก เพื้อสวมได้จนสุดขั้วต่อของ Solenoid
- สวมท่อหดเข้ากับสายไฟทั้ง 12 เส้น
- นำปลายสายแต่ละเส้นมาบิดลวดทองแดงรวมเป็นเกลียว ทุกเส้น รวม 24 จุด
- สอดปลายสายไฟเข้ารูที่ขั้วทั้ง 12 จุด และพับกลับให้เกี่ยวติด มั่นคงก่อนการบัดกรี
- บัดกรีสายไฟเข้ากับขั้วสายทั้ง 12 จุด
- เลื่อนท่อหดรูดมาสวมขั้วโลหะจนมิดชิดทั้ง 12 จุด
- ใช้ไฟแช๊กแก๊ส ลนบริเวณท่อหดแต่ละจุดจนท่อหดรัดสายและขั้วไฟฟ้าเรียบร้อย ไม่ให้มือสามารถสัมผัสขั้วไฟฟ้าได้
- นำน้อตตัวเมีย(Nut) จำนวน 12 ตัวมาตอกฝังในร่องที่ปีกยึดตัว E-Valve ตัวละ 2 จุด
- ติดตั้งลูกยางรองสายไฟฟ้าเข้ากับกล่องโลหะทั้ง 6 ใบ
- ผูกสายไฟเป็นปมแล้วสอดออกมาจากภายในกล่อง ผ่านรูของลูกยางรองสายทั้ง 6 กล่อง
- นำน้อตตัวผู้ (Screw) 12 ตัวมาสวมแหวน (Washer) และขันยึดตัว E-Valve ติดกับกล่อง ทั้ง 6 ชุด รวม 12 จุด
- ปิดฝาครอบกล่องด้านบน และขันสกรูยึด กล่องละ 4 จุด รวม 24 จุด
- ใช้ไขควงไฟฟ้าชนิดไร้สาย ขันย้ำให้แน่นหนาพอเหมาะทั้ง 24 จุด
- นำชุดวาวล์ทองเหลือง 6 ตัวมาถอดน้อตและแหวนสปริง และนำก้านเปิดปิดวาล์วออก
- นำวาล์วทั้ง 6 ชุดไปเลื่อยผ่าหัวแกนเปิด-ปิดวาล์วด้วยเลื่อยตัดเหล็ก ปรับแต่งขนาดเพื่อให้ใช้ไขควงปลายแบนหมุนปรับความแรงของน้ำได้ (ถ้าใช้ก้านโยกแบบเดิม จะปรับง่ายเกินไป อาจมีใครมาปรับเล่นจนระบบทำงานผิดไปจากที่ได้ตั้งไว้ได้)
- ใส่แหวนล็อค และน้อตตัวเมียคืนกลับที่เดิม เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นคง แข็งแรงให้กับแกนที่ผ่าไปแล้ว ป้องกันไม่ให้แกนหักแยกออกมาเมื่อออกแรงบิดมากๆด้วยไขควง
- นำขั้วต่อน้ำขาออก(ท่อเล็ก) มาพันด้วยเทปพันท่อประปาและขันยึด ประกอบเข้ากับวาวล์ทองเหลือง หมุนไปจนแน่นหนาไม่ให้รั่วซึม และมีทิศทางอยู่ตรงกันข้ามกับขั้วเปิด-ปิดวาล์ว
- ใช้ไขควงปลายแบนหมุนปรับรอยผ่าให้ชี้ในแนวตั้งเพื่อให้เป็นตำแหน่งที่เปิดวาล์วเต็มที่ (เมื่อติดตั้งใช้งานจะได้มีน้ำออกไปทันทีแล้วค่อยปรับลดปริมาณตามความเหมาะสม)
- เสียบต่อท่อทองเหลืองของวาล์ว เข้าท่อ PVC ด้านน้ำออก (Water Outlet) ของตัว E-Valve หมุนลงไปเกือบสุด เหลือระยะประมาณ 1 ซม.
- หยอดกาวร้อนเข้าที่รอยต่อครั้งที่ 1 และหมุนต่อจนเกือบสุด
- หยอดกาวร้อนเข้าที่รอยต่อครั้งที่ 2 และหมุนต่อจนสุดระยะ ให้ปลายท่อน้ำออกชี้ไปทางตรงกันข้ามกับท่อน้ำเข้าของ E-Valve
- หยอดกาวiร้อนรอบๆรอยต่อของท่อทองเหลืองและ PVC อีกครั้ง
- นำไปวางทิ้งให้แห้ง
- เตรียมสายปลั๊กไฟและสายยางต่อน้ำเพื่อการทดสอบการเปิด-ปิดน้ำด้วยไฟฟ้า และตรวจสอบการรั่ว-ซึม
- นำ E-Valve ทั้ง 6+1 กล่อง มาทดสอบการทำงานด้วยการปล่อยน้ำเข้า ลองป้อนไฟฟ้า 220 Volts เข้าขั้วสาย ดูการเปิด-ปิดน้ำ
- ทดลองใช้นิ้วมือกดปิดท่อน้ำออก เพื่อดูการรั่วซึม (งานนี้ เดินเข้า-ออก ห้องน้ำเพื่อไปเปิด-ปิดวาล์วน้ำ 4 เที่ยว ต่อการทดสอบ 1 ชุด รวม 7 ชุดก็ 28 เที่ยว .. กำลังจะเซ็งก็ปรับวิธีคิดใหม่ ว่าเป็นการออกกำลังกายที่ดี)
- นำข้อต่อ PVC สำหรับลดขนาดท่อน้ำเข้าให้เสียบต่อสายยางได้ มาหมุนยึดเข้ากับท่อน้ำเข้า ของทั้ง 7 ชุด
E-Valve ยี่ห้อ HANDY รุ่น EV-01AC จำนวน 7 ชุดก็ได้ถือกำเนิด และผ่านการทดสอบเรียบร้อยแล้ว เมื่อเวลาประมาณ 11 นาฬิกาวันนี้ ด้วยประการฉะนี้
จากข้อมูลที่ท่าน Logos นำเสนอไว้ E-Valve ที่เขาขายกันอยู่ เป็นแบบปิด-เปิดน้ำด้วยไฟฟ้าธรรมดา ราคาอยู่ที่ 1100 กว่าบาท แต่ E-Valve ยี่ห้อ HANDY รุ่น EV-01AC นี้ หากวางจำหน่าย ราคาน่าจะไม่เกิน 600 บาทสำหรับรุ่นธรรมดา (ไม่มีวาล์วทองเหลืองภายนอกสำหรับ ULEM) และ ไม่เกิน 900 บาท สำหรับชุดสมบูรณ์แบบ (มีวาล์วทองเหลืองและขั้วต่อท่อน้ำเล็กชนิดมีตัวล็อคสายไม่ไห้หลุด เพื่อส่งน้ำเข้าชุด ULEM )
คงไม่ถือเป็นการโฆษณานะครับ นึกเสียว่าเผยแพร่งานวิชาการ แบบแนะนำหนังสือ ตำราก็ได้ เพราะกว่าจะได้มา มันสิ้นเปลืองเงินทอง เวลา และสมอง ตลอดจนสุขภาพไปไม่น้อย .. และแทนที่จะรีบทำขาย กลับมาย่ำอยู่กับการหาคำตอบว่าทำอย่างไร จะได้รุ่นถูกที่สุด ให้ถึงมือชาวรากหญ้าให้ได้ .. อย่างนี้อีกกี่สิบชาติก็ไม่มีทางรวย .. แต่เท่าที่รู้ ความสุขหาไม่ยากเลยครับ โดยไม่ต้องรวยอย่างที่ใครบางคนเขาเคยหลอกพวกเรา
คราวนี้ก็เชิญชมภาพถ่ายครับ .. ผมอยากเรียกว่า “ผลงานหัตถกรรม เมื่อเช้านี้” จังเลย เพราะงานมือทั้งนั้น และมือของเราเองทั้ง 30 ขั้นตอนย่อยเลยล่ะครับ
อิ อิ อิ
เรื่องปลีกย่อยของการพัฒนาระบบจ่ายกำลัง และการควบคุม ULEM มันกว่านี้อีกหลายเท่า โปรดคอยติดตาม .. อิ อิ อิ
ความสุขที่หามาง่ายๆเมื่อเช้านี้ .. ที่หลังบ้าน
อ่าน: 1919เห็นคนบ่นแต่เรื่องความทุกข์เลยขอเขียนเรื่องความสุขอีกสักครั้ง ของเดิมใครอยากอ่านเชิญคลิก ที่นี่ และ ที่นี่ ครับ
เมื่อเช้าตื่นมามองกล้วยน้ำว้า 2 หวีที่เพื่อนซี้ อ.ชัยรัตน์ กันตะวงษ์ ซื้อบังคับฝากมาเมื่อวาน
ดูท่าทางจะกินไม่ทันเสียแล้วเพราะสุกจัดทั้งสองหวี ปกติก็จะเอาไปเผื่อคนโน้นคนนี้ แต่คนชอบกินมีอยู่ไม่มากนัก คราวนี้เลยคิดวิธีใหม่ได้ จึงใช้เชือกฟางผูกห้อยต่อกันลงมาทั้งสองหวี แต่แทนที่จะแขวนไว้ในบ้านผมกลับเอาไปผูกห้อยไว้หลังบ้านแทน ในใจก็คิดว่าถ้าจะมีนกสักตัวสองตัวบินมาช่วยกินก็จะดีใจมาก
และแล้ว ผ่านไปไม่ถึง 10 นาที แขกของผมก็มาเยือนครับ นกกระจาบ 1 ตัวบินมาเจาะกินกล้วยจริงๆด้วย เขาช่างรู้จักเลือกด้วยครับ ไปเจาะเอาลูกที่สุกงอมที่สุด สงสัยเคยเรียนรู้มาว่าเจาะง่ายกว้าไอ้ที่ยังเหลืองๆอยู่ พอเขาจากไปผมไม่รอช้ารีบคว้ากล้องไปเก็บหลักฐานทันที นี่ครับ ร่องรอยแห่งความสุขทั้งของนก และของคน
ผ่านไปแล้วหนึ่งความสุข หาง่ายจังเลย แต่แค่นั้นยังไม่พอครับ เหลือบไปดูพุ่มมะกอกหลังบ้าน ต้นที่เคยเขียนถึง นั่นแหละครับ มองไปก็เห็นยอดอ่อนงามๆเยอะมาก
ครั้นจะเก็บมากินเองก็คงได้สักยอดสองยอดเท่านั้น และจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยเด็ดมาล้างแล้วเอาไปให้ร้านข้าวแกงหน้าบ้าน พอเดินผ่านไปอีกทีเห็นเขาเอาไปให้ลูกค้าของเขากินต่ออีก ยังจำความสุขวันนั้นได้ดี วันนี้เลยทำอีกครับ เด็ดยอดงามๆ มาล้างน้ำให้สะอาดแล้วก็เอาไปฝากที่ร้านข้าวแกงอีกเช่นเคย
รอยยิ้มของคนรับทำให้เราเป็นสุขได้ไม่เบาเหมือนกัน .. นี่ก็สุขเสียง่ายๆอีกแล้วครับ .. ไม่ยากเลยจริงๆ
อิ อิ อิ
ผม กับ วิทยุ
อ่าน: 1927วันนั้นแม่พาไปวัดใกล้บ้านเพื่อให้หลวงพ่อรักษาอาการเจ็บป่วยของผม หลวงพ่อไม่อยู่มีแต่พระชื่อไวยต้อนรับแทน ผมได้เห็นวิทยุครั้งแรกในชีวิต เป็นยี่ห้อ Philips ใช้ถ่านไฟฉายขนาดใหญ่ถึง 72 ก้อน เนื่องจากวงจรยังคงใช้หลอดสุญญากาศ ซึ่งต้องอาศัยแรงดันไฟฟ้าสูง ใกล้ๆ 100 โวลต์ ลังถ่านใหญ่กว่าตัวเครื่องรับวิทยุเสียอีก ลังถ่านจะแขวนไว้ใต้เครื่องรับซึ่งอยู่ในตู้บนหิ้งติดเสา มีประตูเปิดปิดได้ ดูเหมือนจะใส่กุญแจด้วย เป็นวิทยุ AM ธรรมดานี่แหละ ตอนนั้นผมยังไม่เข้าโรงเรียนเลย แต่ก็ยิงคำถามพระท่านเป็นชุดเช่น มันดังได้อย่างไร เสียงมันมาจากไหน และ มีอะไรอยู่ข้างในนั้น เป็นต้น พระท่านอุ้มผมเข้าไปดูไกล้ๆ เห็นหลอดไฟ “ตาแมว“สีเขียว วูบวาบตามเสียง ตื่นเต้นมาก มหัศจรรย์เหลือเกิน กลับบ้านไปผมก็ปีนป่ายฝาบ้าน ใช้เชือกชงโค (ทำจากเปลือกต้นชงโค) ต่อกันและขึงเป็นสายอากาศ เลียนแบบที่เห็นในวัด ต่อลงมายังตัวเครื่อง ตัวเครื่องรับวิทยุคือกล่องกระดาษเท่าที่พอหาได้ เจาะรู ทำปุ่มต่างๆไปตามเรื่อง ส่วนข้างในก็เป็นเศษเหล็ก แผ่นสังกะสี ฯลฯ เท่าที่มี ใส่เข้าไปให้มันดูมีเครื่องเครา จินตนาการไปเรื่อยเปื่อย และผมก็นอนอยู่กับมัน บางทีก็นึกๆว่าไม่แน่นะว่าวันหนึ่ง ฉัน (กู)อาจฟลุ้คทำวิทยุที่มันพูดได้จริงๆขึ้นเองได้ ตอนนั้นเพื่อนๆเด็กๆด้วยกันเขาใช้ดินเหนียวปั้นวัวปั้นควาย เพราะเป็นของจริงที่เห็นอยู่มากมายทั่วไปในทุ่งนา แต่ผมปั้นเครื่องรับวิทยุ และบางทีก็ปั้นเป็นเครื่องยนต์ เครื่องสีข้าวเป็นต้น ที่หนักไปกว่านั้น บางครั้งก็ชวนเพื่อนเด็กๆ มาฟังวิทยุที่โรงนวดข้าว โดยให้พวกเขานั่งฟังด้านนอก ตัวผมปีนไปยืนบนขอบช่องหน้าต่าง ซึ่งสูงจากพื้นไม่ถึง 1 เมตร แล้วก็เรื่มพูดใส่แผ่นสังกะสี 2-3 แผ่นที่วางไว้บนขอบหน้าต่างด้านบน ทำให้เกิดเสียงสั่นๆ พร่าๆ ไปตามการสั่นของแผ่นสังกะสีและกระป๋อง ..
” สวัสดีครับท่านผู้ฟัง .. ที่นี่สถานีวิทยุ ..”
แล้วก็ตามด้วยเพลงโฆษณายาว ตามยุคสมัย ..
” โอ้ละเห่ โอ้ละหึก ดึกแล้วแก้วตาจงนอน
ลูกเอ๋ยอย่ามัวอ้อน เดี๋ยวจะป้อน นมตาเด็ก
หม่ำเสียนะคนดี นี่แหละคือนมชั้นเอก
เหมาะแก่เด็กเล็ก ตราเด็กสวมเสื้อแดง เครื่องหมายแห่งนมชั้นนำ
มีไขมัน และโปรตีน ดื่มอาจิณเพื่อความแข็งแรง …”
หรือไม่ก็ …
” ต้นตระกูลผมแต่ปางบรรพ์ ครั้นย่ำสายันห์ดวงตะวันเลี่ยงหลบ
จะเดินทางเยื้องย่างไปไหน จำเป็นต้องใช้ -จุดไต้จุดคบ
ปัจจุบันเห็นจะไม่ดี ขืนจุดไต้ซี ถ้ามีใครพบ
อาจจะอายขายหน้าอักโข เขาคงฮาต้องโห่ว่าผมโง่บัดซบ
ยุคนี้มันต้องทันสมัย เพื่อนผมทั่วไปใช้ถ่านไฟตรากบ
ทั้งวิทยุและกระบอกไฟฉาย คุณภาพมากมายสะดวกสบายครันครบ
ถ่านก็มีหลายอย่างวางกอง ..เขากลับรับรองว่าต้องแพ้ตรากบ
เหตุและผลเขาน่าฟังครับ ขอให้ลองสดับนะท่านที่เคารพ”
ตามด้วยบทบรรยาย ที่ต้องพูดเร็วเหมือนโฆษณาเครื่องดื่มชูกำลัง ต่อว่า :-
” ถ่านไฟฉายตรากบ ไม่ใช่ของนอก ที่ส่งมาขยอกเงินไทย
และไม่ใช่ของทำภายใน ที่โกยกำไรส่งออกนอก
ถ่านไฟฉายตรากบ ช่วยทำให้สินค้าของไทยดีขึ้น
ดังนั้น นอกจากผมจะชอบตีกบ เล่นไพ่กบ และร้องเพลงพม่าแทงกบแล้ว ผมยังชอบถ่านไฟฉายตรากบอีกด้วย อ๊บ ๆ ..”
ดูๆไปผมเริ่มบ้าวิทยุเสียแล้ว คิดอยู่แต่ว่ามันดังได้อย่างไร อะไรอยู่ข้างใน สงสัยจริงๆ จนวันหนึ่งเมื่อเสร็จงานแต่งงานของพี่ชายคนโต และมีการยืมวิทยุจากวัดมาเปิดในงานด้วย ผมได้แอบเปิดฝาหลังเครื่องดูก็เห็นหลอดแก้วคล้ายหลอดไฟ 3-4 หลอด และตัวอะไรรุงรังต่อกันให้ยุ่งไปหมด เกิดความท้อแท้ขึ้นมา รำพึงกับตัวเองว่า ชาตินี้เห็นทีฉัน(กู)คงไม่มีทางจะรู้เรื่องและทำวิทยุให้ดังจริงๆได้เสียแล้ว เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดคอยติดตามตอน 2 ครับ.
รายงานสดจากห้องอบรม สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
อ่าน: 1070 วันนี้และวันอาทิตย์ที่ 24 พค.51 ผมได้รับเชิญจากสถาบัณบัณฑิตพัฒนศิลป์ให้ไปให้ความรู้แก่นักศึกษา 2 กลุ่ม กลุ่มละ 140-150 คน 3 ชั่วโมงแรกในวันนี้ ว่าด้วยเรื่องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อบริหารจัดการงานในหน้าที่ครู สอนเรื่องเดียวกัน เช้าหนึ่งกลุ่ม บ่ายอีก 1 กลุ่ม นักศึกษาดังกล่าวเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 และ 5 ในสาขาศิลปศาสตร์ และจะออกไปเป็นครู
นับเป็นโชคดีของนักศึกษาที่ผมสามารถเชิญ อ.บุญเลิศ อรุณพิบูลย์ จาก สวทช.มาช่วยได้ แม้ผมจะพูดเรื่องดังกล่าวได้ แต่ผมเชื่อว่าความรู้จากนักปฏิบัติที่ชำนาญน่าจะมีประโยชน์กว่าการที่ผมว่าเอง เรียกว่าผมเปิดฟลอร์ให้ อ.บุญเลิศ ว่าไปเป็นหลัก แล้วผมค่อยปิดท้ายอีกสัก 20-30 นาที เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนในคราวหน้าเรื่องการใช้-พัฒนาสื่อ ICT เพื่อการเรียนการสอน ที่ผมจะต้องฉายเดี่ยวทั้ง 3 ชั่วโมง
สภาพห้องเป็นห้องเรียนสองห้องเปิดทะลุถึงกัน พื้นกระเบื้องยาง ผนังและเพดานเป็นคอนกรีต เรียกว่าแข็งรอบด้าน ทุกทิศทาง ไม่มีม่านหน้าต่าง ทำให้การควบคุมแสงทำได้ไม่ค่อยดี โชคดีที่ Projector ยังใหม่ แสงจากหลอดฉายยังเข้ม เอาชนะแสงรบกวนจากภายนอกได้ดี แต่เรื่องเสียงยังมีปัญหา ที่จริงคนทั่วไปคงคิดว่าก็ OK ดีอยู่ สำหรับคนมากเรื่องอย่างผม ต้องรีบเคลียร์กับนักศึกษาว่า ห้องนี้แม้ใครจะพูดเรื่องดี น่าสนใจเพียงใด แต่ฟังไปไม่นานจะรำคาญและเบื่อ เพราะเสียงที่แข็งและสะท้อนไปมาจะก่อความรำคาญสะสมโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับชี้แนะว่า วิธีแก้อย่างง่ายๆ คือแทนที่จะติดลำโพง 2 ตู้สูงๆก้มหน้าลงมา ให้เปลี่ยนเป็นติดลำโพงตู้ยาวชนิด Sound Column สัก 6 จุด กระจายเป็นสองแถว เปิดเสียงให้เบาลงได้และชัดเจนทั่วถึงแถมมีเสียงสะท้อนน้อยลงด้วย .. แอบให้ความรู้เสียก่อนเลยตั้งแต่วินาทีแรก
จากนั้นผมแนะนำตัวคร่าวๆเพื่อให้นักศึกษาได้รู้ว่าเป็นใคร มาจากไหน ทำอะไรมาบ้าง ทำอะไรอยู่ และจะติดต่อแลกเปลี่ยนความรู้กันได้อย่างไร โดยไม่ลืมย้ำเรื่อง “ความสุข” จากการให้ในหน้าที่ของความเป็นครูว่า มันไม่มีเวลากำหนด ว่าจะจบสิ้นเมื่อไหร่ เคลียร์เรื่องแนวทางที่เราจะจัดการกับเวลาที่มีให้รวมราว 6 ชั่วโมง เช่นเรื่องการแบ่งกลุ่มกิจกรรม การเตรียมอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมครั้งต่อไป ฯลฯ
จากนั้น ประมาณ 9.30 น.ผมก็ส่งลูกต่อให้อ.บุญเลิศ ว่าต่อเนื่องมาจนวินาทีนี้ นักศึกษาสนใจมาก โดยเฉพาะ การเข้าไปใช้ประโยชน์ใน Google ให้กว้างขวางขึ้น เช่น ที่ http://docs.google.com เป็นต้น ประเภทใช้บริการฟรี Online เพื่อทำงานในหน้าที่ครู โดยไม่ต้องมี Software เช่น กลุ่ม Microsoft Office เป็นต้น
ขณะที่รายงานจาก Notebook ต่อ Dtac GPRS อยู่นี้ ผมก็ใช้เจ้า Acer Aspire 2920Z บันทึกเสียงบรรยาย อ.บุญเลิศไปด้วย โดยใช้ Software ชื่อ Audio Recorder ไมโครโฟนก็อาศัย Built-in Microphone ที่ตัว Notebook นั่นเอง เพื่อความสะดวก ความจริงถ้าจะให้ดีก็ใช้ Condenser Mic. ต่อสายออกไปภายนอกเครื่องก็จะได้เสียงที่ชัดเจนขึ้น
แล้วจะค่อยรายงานต่อครับ .. อิ อิ อิ
แค่สลับสายเส้นดียว หมูโดนเคี้ยวมาแล้วมากมาย
อ่าน: 995ผมย้อนไปอ่าน บันทึกเก่า เรื่องหนึ่งของตัวเอง พบว่าเคยสัญญาว่าจะเขียนเรื่องตามที่จั่วหัวไว้ในบันทึกนี้ .. ผ่านไปหลายวันเต็มที ก็จะขอทำดีด้วยการเลิกเบี้ยวครับ
เพื่อประหยัดเวลาทั้งของคนอ่าน และ คนเขียน ขอไล่ไปเป็นท่อนๆ โดยไม่เรียบเรียงให้สละสลวยสวยสดแต่ประการใด เรียกว่า เอาเนื้อๆ ก็แล้วกันนะครับ
- อันว่าลำโพงนั้นมี 2 ขั้วให้ต่อ และเขามีขั้ว + และ - ด้วยนะ
- ลองต่อถ่านไฟฉาย 1 ก้อน เข้าลำโพงดู อย่าต่อนาน ต่อๆ ตัดๆ แล้วสังเกตดูอาการ จะเห็นกรวยกระดาษลำโพงขยับขึ้น ลง พร้อมมีเสียง แกรกๆ ให้ได้ยินด้วย ( ใช้ถ่านไฟฉายตรวจสอบลำโพง จึงทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องหาอะไรให้ยุ่งยาก )
- สลับขั้วบวกลบของถ่านแล้วลองดูใหม่ คราวนี้จะเห็นการขยับตัวของกรวย ตรงกันข้ามกับครั้งแรก การผลักออก และดึงเข้า จะเปลี่ยนไปตามขั้ว +/- ของไฟฟ้าที่ต่อเข้าขั้วของลำโพง
- ทิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้า เป็นตัวกำหนดขั้ว เหนือ - ใต้ ของแม่เหล็ก จึงทำให้ แม่เหล็กไฟฟ้า อันเกิดจากขดลวด Voice Coil ของลำโพง ดูด - ผลักกับแรงของ แม่เหล็กถาวร ที่อยู่ในตัวลำโพงและมีขั้ว เหนือ - ใต้คงที่
- ถ้าต่อลำโพงตัว 1 ตัวกับเครื่องเสียง ต่อขั้ว + /- อย่างไรก็ได้ ไม่มีปัญหาเรื่องคุณภาพเสียง เพราะยังไงๆ ก็มีการสั่น หรือการเคลื่อนตัวเข้าออกของกรวยกระดาษ ( Diaphram ) เพียงชุดเดียว ตัวเดียวเท่านั้น ไม่มีใครมาคอยแข่งขัน หักล้าง หรือเปรียบเทียบ
- ต่อลำโพง 2 ตัวขึ้นไป ไม่ว่ากับระบบเสียง Mono หรือ Stereo พึงระวังให้มาก
- ถ้าลำโพง 1 คู่ อยู่ใกล้กัน ปกติต้องต่อให้ขั้ว + /- ถูกต้องเหมือนกัน กรวยลำโพงจะได้สปริงตัว เข้า-ออก พร้อมกัน ไปในทิศทางเดียวกัน เสียง หรือคลื่นอากาศที่ได้ออกมาบริเวณหน้าลำโพงนั้นจึงหนักแน่น ชัดเจน เป็นกลุ่มเป็นก้อน ไม่หักล้างกันเอง
- ถ้าลำโพงแต่ละตัวที่ต่อไว้ไปอยู่คนละที่ คนละห้อง โดยคลื่นอากาศไม่กระทบ รบกวนกัน จะต่อขั้ว +/- เหมือน หรือต่างกันอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องแคร์
- ฝึกดีๆ ฟังมากๆ แค่เดินผ่านหน้าลำโพงคู่หนึ่งที่เขาเปิดให้เสียงดังอยู่ ก็จะบอกได้ทันทีว่า เขาต่อสายถูกหรือผิด โดยไม่ต้องไปดูให้เห็นด้วยตา
- อันนี้ผมกล้าท้าพิสูจน์ว่าผมทำได้ .. และมีอีกหลายๆคนก็คงทำได้เช่นกัน
- วิธีแก้ ทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องไปดูว่าตัวใหนต่อ +/- ผิดถูกอย่างไร แค่สลับขั้วสายเสียใหม่ให้กับลำโพงตัวเดียว ก็แก้ใช้ได้แล้ว
- ความลับคือ การต่อ +/- ถูกต้องทั้งคู่ หรือ การต่อ +/- ผิดเหมือนกันทั้งคู่ ให้ผลเท่ากัน
- แถวตลาดเครื่องเสียงดังข้างถนนหลายแห่งใน กทม. หมูโดนเคี้ยวมาแล้วมากต่อมาก จ่ายเงินเพิ่มเป็นพัน หรือหลายพัน เพื่อซื้อชุดเครื่องเสียงที่คนขายบอกว่า ผลิตจากอเมริกา ซึ่งให้เสียงดี หนักแน่นกว่า เครื่องอีกชุดที่ ทำจากญี่ปุ่น อย่างเห็นได้ชัด ก็เขาเปรียบเทียบให้เห็น ให้ฟังกันสดๆนี่ครับ
- แท้จริงผมบอกได้โดยไม่ต้องไปดู แค่ฟังก็รู้ว่าเขาแอบต่อลำโพงแบบสลับสาย +/- ไว้เครื่องหนึ่ง … ทั้งๆที่เครื่องทั้งคู่ ต่างก็ Made in China ด้วยกันนั่นเอง
- ขออภัยหากมาบอกช้าไป และบางท่าน โดน ไปเรียบร้อยแล้ว
- อย่าคิดมากเลยครับเพราะในสังคมนี้ คนไม่รู้เป็นเหยื่อของคนรู้(มาก) เป็นปกติอยู่แล้ว ทั้งระดับที่หลอกกันข้างถนน และระดับหลอกลวงคนทั้งชาติครับ.