ผม กับ วิทยุ
อ่าน: 1927วันนั้นแม่พาไปวัดใกล้บ้านเพื่อให้หลวงพ่อรักษาอาการเจ็บป่วยของผม หลวงพ่อไม่อยู่มีแต่พระชื่อไวยต้อนรับแทน ผมได้เห็นวิทยุครั้งแรกในชีวิต เป็นยี่ห้อ Philips ใช้ถ่านไฟฉายขนาดใหญ่ถึง 72 ก้อน เนื่องจากวงจรยังคงใช้หลอดสุญญากาศ ซึ่งต้องอาศัยแรงดันไฟฟ้าสูง ใกล้ๆ 100 โวลต์ ลังถ่านใหญ่กว่าตัวเครื่องรับวิทยุเสียอีก ลังถ่านจะแขวนไว้ใต้เครื่องรับซึ่งอยู่ในตู้บนหิ้งติดเสา มีประตูเปิดปิดได้ ดูเหมือนจะใส่กุญแจด้วย เป็นวิทยุ AM ธรรมดานี่แหละ ตอนนั้นผมยังไม่เข้าโรงเรียนเลย แต่ก็ยิงคำถามพระท่านเป็นชุดเช่น มันดังได้อย่างไร เสียงมันมาจากไหน และ มีอะไรอยู่ข้างในนั้น เป็นต้น พระท่านอุ้มผมเข้าไปดูไกล้ๆ เห็นหลอดไฟ “ตาแมว“สีเขียว วูบวาบตามเสียง ตื่นเต้นมาก มหัศจรรย์เหลือเกิน กลับบ้านไปผมก็ปีนป่ายฝาบ้าน ใช้เชือกชงโค (ทำจากเปลือกต้นชงโค) ต่อกันและขึงเป็นสายอากาศ เลียนแบบที่เห็นในวัด ต่อลงมายังตัวเครื่อง ตัวเครื่องรับวิทยุคือกล่องกระดาษเท่าที่พอหาได้ เจาะรู ทำปุ่มต่างๆไปตามเรื่อง ส่วนข้างในก็เป็นเศษเหล็ก แผ่นสังกะสี ฯลฯ เท่าที่มี ใส่เข้าไปให้มันดูมีเครื่องเครา จินตนาการไปเรื่อยเปื่อย และผมก็นอนอยู่กับมัน บางทีก็นึกๆว่าไม่แน่นะว่าวันหนึ่ง ฉัน (กู)อาจฟลุ้คทำวิทยุที่มันพูดได้จริงๆขึ้นเองได้ ตอนนั้นเพื่อนๆเด็กๆด้วยกันเขาใช้ดินเหนียวปั้นวัวปั้นควาย เพราะเป็นของจริงที่เห็นอยู่มากมายทั่วไปในทุ่งนา แต่ผมปั้นเครื่องรับวิทยุ และบางทีก็ปั้นเป็นเครื่องยนต์ เครื่องสีข้าวเป็นต้น ที่หนักไปกว่านั้น บางครั้งก็ชวนเพื่อนเด็กๆ มาฟังวิทยุที่โรงนวดข้าว โดยให้พวกเขานั่งฟังด้านนอก ตัวผมปีนไปยืนบนขอบช่องหน้าต่าง ซึ่งสูงจากพื้นไม่ถึง 1 เมตร แล้วก็เรื่มพูดใส่แผ่นสังกะสี 2-3 แผ่นที่วางไว้บนขอบหน้าต่างด้านบน ทำให้เกิดเสียงสั่นๆ พร่าๆ ไปตามการสั่นของแผ่นสังกะสีและกระป๋อง ..
” สวัสดีครับท่านผู้ฟัง .. ที่นี่สถานีวิทยุ ..”
แล้วก็ตามด้วยเพลงโฆษณายาว ตามยุคสมัย ..
” โอ้ละเห่ โอ้ละหึก ดึกแล้วแก้วตาจงนอน
ลูกเอ๋ยอย่ามัวอ้อน เดี๋ยวจะป้อน นมตาเด็ก
หม่ำเสียนะคนดี นี่แหละคือนมชั้นเอก
เหมาะแก่เด็กเล็ก ตราเด็กสวมเสื้อแดง เครื่องหมายแห่งนมชั้นนำ
มีไขมัน และโปรตีน ดื่มอาจิณเพื่อความแข็งแรง …”
หรือไม่ก็ …
” ต้นตระกูลผมแต่ปางบรรพ์ ครั้นย่ำสายันห์ดวงตะวันเลี่ยงหลบ
จะเดินทางเยื้องย่างไปไหน จำเป็นต้องใช้ -จุดไต้จุดคบ
ปัจจุบันเห็นจะไม่ดี ขืนจุดไต้ซี ถ้ามีใครพบ
อาจจะอายขายหน้าอักโข เขาคงฮาต้องโห่ว่าผมโง่บัดซบ
ยุคนี้มันต้องทันสมัย เพื่อนผมทั่วไปใช้ถ่านไฟตรากบ
ทั้งวิทยุและกระบอกไฟฉาย คุณภาพมากมายสะดวกสบายครันครบ
ถ่านก็มีหลายอย่างวางกอง ..เขากลับรับรองว่าต้องแพ้ตรากบ
เหตุและผลเขาน่าฟังครับ ขอให้ลองสดับนะท่านที่เคารพ”
ตามด้วยบทบรรยาย ที่ต้องพูดเร็วเหมือนโฆษณาเครื่องดื่มชูกำลัง ต่อว่า :-
” ถ่านไฟฉายตรากบ ไม่ใช่ของนอก ที่ส่งมาขยอกเงินไทย
และไม่ใช่ของทำภายใน ที่โกยกำไรส่งออกนอก
ถ่านไฟฉายตรากบ ช่วยทำให้สินค้าของไทยดีขึ้น
ดังนั้น นอกจากผมจะชอบตีกบ เล่นไพ่กบ และร้องเพลงพม่าแทงกบแล้ว ผมยังชอบถ่านไฟฉายตรากบอีกด้วย อ๊บ ๆ ..”
ดูๆไปผมเริ่มบ้าวิทยุเสียแล้ว คิดอยู่แต่ว่ามันดังได้อย่างไร อะไรอยู่ข้างใน สงสัยจริงๆ จนวันหนึ่งเมื่อเสร็จงานแต่งงานของพี่ชายคนโต และมีการยืมวิทยุจากวัดมาเปิดในงานด้วย ผมได้แอบเปิดฝาหลังเครื่องดูก็เห็นหลอดแก้วคล้ายหลอดไฟ 3-4 หลอด และตัวอะไรรุงรังต่อกันให้ยุ่งไปหมด เกิดความท้อแท้ขึ้นมา รำพึงกับตัวเองว่า ชาตินี้เห็นทีฉัน(กู)คงไม่มีทางจะรู้เรื่องและทำวิทยุให้ดังจริงๆได้เสียแล้ว เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดคอยติดตามตอน 2 ครับ.
« « Prev : รายงานสดจากห้องอบรม สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
Next : ความสุขที่หามาง่ายๆเมื่อเช้านี้ .. ที่หลังบ้าน » »
1 ความคิดเห็น
บ้านผมเคยมีเหมือนอาจารย์ โห สายอากาศยาวหัวบ้านท้ายบ้านเลย เวลาฝนตกก็เสียวฟ้าผ่า กะบะใส่ถ่านใหญ่โตจริงๆ
อิอิ คนร่วมสมัย ตรากบ