เกือบไปแล้ว
1234
1234 โดยส่วนตัวเป็นคนมีปัญหาทางการได้ยิน มีความไวกับเสียงและคลื่นเสียงต่าง ๆ มากกว่าปกติ จึงไม่ชอบคุยโทรศัพท์ ทุกครั้งหลังจากคุยโทรศัพท์ โดยเฉพาะมือถือเกินกว่า 30 นาที จะมีอาการหูอื้อ ต่อด้วยอาการปวดหูและปวดศีรษะตามมา กว่าจะหายกลับเป็นปกติก็ต้องข้ามวันแล้ว
1234 เพื่อรักษาสมดุลและความปกติสุขของชีวิต จึงมักจะหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์นาน ๆ หรือไม่ค่อยใช้มือถือในที่สุด จนเพื่อนฝูงและญาติ ๆ ต่างรู้นิสัยการไม่ค่อยรับโทรศัพท์ (แล้วมีโทรศัพท์ไว้ทำไมฟะ) ความจริงแล้วมักจะไม่ได้ยินเสียง เพราะไม่ได้พกโทรศัพท์ไว้กับตัว และหากจะโทรกลับก็มีสายที่ไม่ได้รับมากมายเกินกว่าจะโทรกลับได้ จึงเป็นข้อตกลงกับทุก ๆ คนรอบตัวว่าหากว่างและได้ยินเสียง ก็จะรับสายโทรศัพท์ นอกเหนือจากนี้ขออนุญาตไม่โทรกลับ นอกจากนัดหมายอะไรไว้ก่อน หรือเห็นเป็นเบอร์ของคนที่ได้ Memory ไว้และโชว์ชื่อแล้ว
สรุปแบบย่นย่อใจความก็คือ อยากโทรกลับก็โทร ไม่อยากโทรก็ไม่โทร อยากรับก็รับ ไม่อยากรับก็ไม่รับ (ตามใจฉัน) เป็นเช่นนี้เรื่อยมา…
1234
1234 วันดีคืนดี…กำลังนั่งสบายอกสบายใจชมนกชมไม้บนดาดฟ้า ก็มีเสียงเรียกสาย (หลานตัวเล็กเอามือถือมาวางไว้ให้หลังยืมไปเล่นเกม) ดูเบอร์ที่โชว์ก็ไม่คุ้น ไม่มีชื่อขึ้น สงสัยพวกขายประกันฟิตเนสอะไรทำนองนี้ เอ้า..วันนี้ลองรับดูหน่อยสิ
คนรับ หวัดดีค่ะ
คนโทร หวัดดีค่ะ อี้หรือคะ หนูเพื่อนเอ (ชื่อสมมุติ) นะคะ
คนรับ อ้อ…เพื่อนเอ (หลานสาว) มีอะไรเหรอคะ
คนโทร เอ เค้าให้หนูบอกอี้ว่า ช่วยเอาเป้สีดำไปคืนเค้าด้วย
เค้าต้องใช้อ่ะค่ะ
คนรับ อ้าว… เป้สีดำใบไหนนะ ใบที่เขาเพิ่งส่งมาให้อี้เมื่อ
เดือนที่แล้วหรือ
คนโทร ใช่มั้งคะ หนูไม่รู้ค่ะ เค้าบอกแค่นี้
คนรับ ส่งกลับไปให้ที่อังกฤษเลยหรือ… คิดในใจถ้าต้องใช้
ซื้อใบใหม่คงจะคุ้มค่าส่งมากกว่าหรือเปล่า
คนโทร ….?..?..?…
1234 เรื่องก็คือหลานสาวซึ่งไปเรียนต่อปริญญาโทที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ส่งเป้สีดำใบเท่มาให้น้าสาว (ฝากเพื่อนที่กลับมาเยี่ยมเมืองไทยมาให้) เป็นเป้ที่ซื้อจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ที่ไปดูงาน มีชั้นด้านหลังสำหรับใส่โน้ตบุ้คส์ ชั้นล่างใส่รองเท้ากีฬาและชั้นในก็มีหลายชั้นแยกใส่ของได้ เป็นที่โปรดปรานและเห่อของน้าสาวมาก อยู่ดี ๆ จะให้ส่งกลับไป เลยชักงง ๆ
คนรับ เพื่อนน้องเอ ที่ไปเรียนที่ลอนดอน ใช่ไหมคะ อี้ชื่อ…นะคะ
คนโทร แหะ ๆ ๆ สงสัยโทรผิดแล้วค่ะ เอเพื่อนหนูเขาอยู่
บางซื่อนี่เองค่ะ ไม่ได้อยู่อังกฤษอ่ะ ขอโทษค่ะ
คนรับ อ้าว…ไม่เป็นไรค่ะ หวัดดีค่ะ
1234 เฮ้อ…อยากทำนิสัยดี รับโทรศัพท์ที่ไม่ได้ memory ไว้ … เลยเจอเรื่องฮา(ไม่ออก)
เรื่องนี้ให้ข้อคิดว่าจะทำอะไรที่ไม่ค่อยเคยทำ ต้องละเอียด รอบคอบ อย่าด่วนสรุป…ไม่งั้นอาจเดือดร้อนยุ่งยากโดยใช่เหตุ
1234
เกือบไปแล้วไหมล่ะ หากไม่เอ๊ะใจ คงได้ส่งเป้ใบโปรดกลับไปถึงอังกฤษให้หลานสาวงงเป็นไก่ตาแตกแน่ ๆ เลย
« « Prev : Antidote-อาการสำลักข้อมูล
9 ความคิดเห็น
ฮาเกือบไม่ออก…
เหมือนครั้งหนึ่งสมัยที่พี่ทำงานกับ USAID ที่ท่าพระขอนแก่น มีการประชุมวิชาการที่นครพนม พี่นั่งรถไปกับ ดร.แววจักร พนักงานขับรถ เป็นรถจีป Land Rover สมัยก่อน เราไปพักกันที่โรงแรมแห่งหนึ่งดูเหมือนชื่อศรีเทพ เมื่อถึงเวลาประชุมก็ไปที่ประชุมซึ่งเป็นสำนักงานหน่วยงานราชการ ท่าน ดร.แววจักร บอกคนขับรถว่า นายกลับไปก่อนนะ การประชุมคงนาน พนักงานขับรถก็บอกครับ แล้วขับรถไป เราประชุมเสร็จก็โทรบอกพนักงานขับรถให้ไปรับด้วย พนักงานขับรถบอกว่าให้ไปรับที่ไหน อ้าวก็ที่ห้องประชุมที่ไปส่งเมื่อเช้าไง พนักงานขับรถเสียงงง งง มาก แล้วบอกว่า ผมขับรถกลับมาถึงขอนแก่นแล้ว…อ้าวกลับไปทำไมขอนแก่น ก็นายบอกว่ากลับไปก่อน…… ฮาไม่ออกเลยงานนี้…
เบิร์ดก็ไม่ชอบคุยโทร.เหมือนกันค่ะ เป็นเพราะนิสัยไม่ชอบพูด จึงไม่ขวนขวายรับถ้าไม่ว่าง กำลังเขียนงาน มีเคส ติดประชุม ฯลฯ หรือไม่อยู่ในรัศมีที่ได้ยินเสียง (เปิดเสียงไว้แค่ดังปี๊บเดียวแล้วหยุด เพราะรำคาญ อิอิอิ) แถมเบอร์แปลกก็ไม่รับ จะยกเว้นสำหรับคนในครอบครัวและคนกันเองเท่านั้นที่จะโทร.กลับหรือถามไถ่ทางเอ็ม
เป็นที่รู้กันว่าไม่พกมือถือติดตัว ยกเว้นแต่ออกจากกลุ่มงาน แม้แต่วันเสาร์-อาทิตย์ก็วางไว้บนโต๊ะชั้นล่างของบ้าน (บางทีก็อยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานที่รพ.) เนื่องจากเป็นช่วงของการพัก นอนเล่น ดูต้นไม้ ทำความสะอาดบ้าน พาแม่ไปซื้อของ ทำอาหารกินในครอบครัว ฯลฯ ดังนั้นมักจะไม่ดูโทร.ว่ามีคนโทร.เข้ามาหรือเปล่า ถ้าจะหาเบิร์ดฝาก SMS จะถึงตัวและรู้เรื่องกว่า
เมื่อไม่ชอบคุย จึงไม่ค่อยเจอแบบแปลก ๆ คริคริคริ บางทีการไม่รับโทร.ก็มีข้อดีเหมือนกันเนาะคะ
ชอบประโยชน์นี้จังค่ะ อยากโทรกลับ ก็โทร ไม่อยากโทรก็ไม่โทร อยากรับก็รับ ไม่อยากรับก็ไม่รับ (ตามใจฉัน) แต่สงสารคนอยากคุยกะพี่บ้างซิค่ะ
ตรงข้ามเด็กวัยรุ่นนะ เห็นเมื่อไหร่ก็ หูติดเครื่องตลอดเวลา เอามาถ่ายรูปกัน เอาเครื่องมาอวดกัน จนเคยบันทึกไว้ว่าเราเคยเกิดเรื่องเกี่ียวกับมือถือ
คือ สิบปีมาแล้ว เพื่อนลูกสาวโทรมาหาคนข้างกายว่า คุณยายไม่สบาย ครอบครัวไม่มีเงินขอยืมเงินไปรักษาคุณยายหน่อย เนื่องจากเป็นเพื่อนลูกสาวสนิทกัน แต่เขาพักในเมือง เราอยู่ชานเมือง ก็โอนให้ไป หนึ่งหมื่นบาท หายไปนานก็ลองโทรตามว่าคุณยายเป็นไงบ้าง คุรแม่เขาก็งง งง ว่ามีเรื่องอะไรกับคุณยายหรือ เราก็งง งง เลยเล่าให้ฟัง แม่เขาตกใจใหญ่ว่าลูกสาวสร้างเรื่องขึ้นมาแล้ว หลังจากนั้นอีกวันก็ทราบเรื่องว่า ลูกสาวเขาสร้างเรื่องเพื่อเอาเงินไปซื้อมือถือที่เธอเหล่ไว้แล้ว แล้วไม่บอกแม่ (ไม่มีพ่อ) แม่เขาบอกว่าจะใช้คืนให้ จนผ่านมาสิบปีแล้ว อิอิ
โลกวัยรุ่นมันแรงจริงๆกับมือถือ
แต่โลกผู้เฒ่า…หุหุ เอาไปไกลๆหน่อยได้ไหม…
พี่บางทรายคะ
ประสบการณ์ที่พี่เล่านี้…น่าคิดนะคะ การสื่อสารสำคัญมาก ยิ่งถูกจำกัดด้วยเวลา สถานที่ และคุณภาพของผู้ส่งและรับสารแล้ว…กลายเป็นเรื่องโอละพ่อกันมานักต่อนัก…ฮาบ้าง ฮาไม่ออกบ้าง…
เด็กรุ่นไหน ๆ มักจะมีอาการ “อินเทรนด์” ร่วมยุคสมัย เพราะไม่เช่นนั้นจะรู้สึกว่าไม่เป็นที่ยอมรับของเพื่อน ๆ ในกลุ่ม รุ่นสว.แล้ว มักจะมีเหตุผลที่เหมาะสมมากกว่าในการจะใช้สื่อเทคโนโลยีนะคะ
ส่วนตัวน้องเป็นพวกโลว์เทค… แม้มีเครื่องมือใหม่ ๆ ก็ใช้แค่จำเป็น เรียกว่ามีคุณสมบัติทำได้สิบบาท แต่ใช้ option ที่มีเพียงหนึ่งบาท ดังนั้นซื้อมือถือเครื่องละ 2-3 พัน ก็น่าจะพอแล้ว
อ้อ…ตกลงว่าพี่ได้รับเงินคืนหรือยังคะ กว่าสิบปีแล้ว
คุณเบิร์ดคะ
55555…อ่านแล้วยิ้มเลย…เจอประเภทคล้าย ๆ กันแล้ว
จะว่าไปนิสัยเสีย ๆ ชอบตามใจตัวเองเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์ที่ว่านี้ ก็ส่งผลทั้งข้อดีข้อเสียมาแล้ว
ข้อดีก็คือ สุขภาพดีขึ้น มีเวลาทำสิ่งที่อยากทำ ควรทำได้มากขึ้น เป็นเจ้านายและเป็นเจ้าของเวลาตัวเอง เคยเห็นครอบครัวหนึ่งตอนไปทานข้าวที่ร้านอาหาร มีคุณยาย คุณพ่อ คุณแม่ และลูกชาย ลูกสาว ในกลุ่มที่ว่านี้ ทั้ง 4 คนคือ พ่อ แม่ ลูกชาย ลูกสาว ต่างผลัดกันคุยมือถือ มีคุณยายคนเดียวที่นั่งทานอาหารอย่างเดียวดาย เพราะไม่มีคนคุยด้วยเลย … คิด ๆ ดู มันออกจะมากเกินไป เพราะเครื่องมือทุกชนิดควรใช้เมื่อจำเป็นต้องใช้ และเพื่อเหตุผลที่ควรใช้ ไม่ใช่ใช้เพราะเป็น “ทาส” ในสิ่งนั้น…จริงไหมคะ
ข้อเสีย ก็คือ เพื่อนหลายคนเลิกคบกันไป เพราะเหตุเราไม่ค่อยได้คุยโทรศัพท์ด้วย ห่างหายกันตามสายลมและแสงแดด….55555…. แต่จะว่าไป ก็เป็นข้อดีด้วยค่ะ เพราะได้กรองเพื่อนที่เป็นเพื่อนอย่างแทัจริงให้เราด้วยนะ
ขอบคุณที่แบ่งปันประสบการณ์ค่ะ
หวัดดีค่ะน้องหนูอ้อ
ตอนนี้สงสารตัวเองมากว่าค่ะ เพราะไม่มีคนอยากคุยดัวยแล้ว…555555…..นิสัยตามใจตัวเองนักนี่ล่ะ
ไม่เป็นไรค่ะ คุยในเว็บก็ได้เน๊าะ…
ทานอาหารเที่ยงให้อร่อยนะคะ
เขียนจดหมายค่ะ
ทุกวันนี้ก็ชอบเขียนอยู่
แม้ว่าจะคุย ก็ยังเขียนค่ะ
เพราะมันเป็นสัมพันธภาพที่มีหลักฐาน(มั่นคง)ค่ะ
อิอิอิ
เอ….ให้ความเห็นตามเรื่องที่เขียนหรือเปล่าเนี่ย
พี่ที่รัก
55555….คนละเรื่อง…. เดียวกันเลยค่ะ… ^_^
ไม่อยากบอกเลยว่า ชอบเขียนจดหมายเหมือนกัน และยังชอบเขียนอยู่ แต่เขียนให้เฉพาะเืพื่อนที่สนิทกันจริง ๆ
ตอนเด็ก ๆ เรียนรร.วัดฝรั่ง มีสจะสอนเสมอว่า การเขียนจดหมาย เขียนการ์ดขอบคุณ เป็นมรรยาที่ควรทำอย่างยิ่ง ก็เลยติดนิสัยจนโต แต่หลัง ๆ เริ่มแก่วัดแก่วา จำคำสอนมีสไม่ได้แล้ว คิดได้ก็ทำเสียทีหนึ่งค่ะ
… เรื่องเดียวกันมั๋ยคะเนี่ย…