แต่งตัวไปแอ่วลาว
อ่าน: 27343
เช้านี้ผมกระปรี้กระเปร่าจนเกินความเป็นหนุ่มวัยทอง เสร็จภารกิจส่วนตั๊วส่วนตัวแล้วก็เริ่มแต่งองค์ทรงเครื่อง ผมเลือกเสื้อยืดสีน้ำเงินของคาเมลมาสวมทับปกปิดร่างกายท่อนบน ส่วนท่อนล่างยังคงมอบความไว้วางใจให้กับคาเมลเช่นกัน(camel active /Woodstock)
เป็นกางเกงขายาวสีน้ำเงินเข้มอมเทาผลิตจากผ้าเนื้อแน่นแต่เบาสวมใส่สบาย ผมคาดกั้นร่างกายในส่วนที่เคยเป็นเอวมาก่อนด้วยเข็มขัดหนังเส้นโต มีโลหะรูปหัวควายป่าไบซันหน้าตาถมึงทึงเป็นหัวเข็มขัด เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจหากมีใครสักคนพยายามมองหาส่วนเว้าของร่างกายผมอยู่ ส่วนเสื้อคลุมกันแดดผมเลือกเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเทาดำแทนเชิ้ตคาเมลสีกากียอดนิยม ด้วยเหตุผลหลายประการคือ สีกากีมันเป็นสีอ่อนอาจเกิดการเปรอะเปื้อนได้ง่าย ประการต่อมาคือเนื้อผ้ามันหนาเกินไปถ้าเกิดฝนตกขึ้นมา มันจะแห้งช้าทำให้เป็นภาระมากเกินไป จึงต้องนำมันไปแขวนไว้ตามเดิม ประการสุดท้าย เชิ้ตแขนยาวตัวนี้หลังจากผมจ่ายเงินค่าตัวมันมาแล้ว ก็ให้มันทำหน้าที่เฝ้าตู้เสื้อผ้ามาเป็นเวลา 4 ปีเต็มๆ เลยต้องพามันไปเที่ยวต่างประเทศเป็นการปลอบใจครับ
อวัยวะเบื้องล่างผมเลือกใช้บริการของบาจาเพาเวอร์คู่ใหม่ ความจริงผมก็ไม่เคยมีรองเท้าผ้าใบบาจามาก่อนครับ มีแต่รองเท้าหนัง all trail ของ land rower ที่เคยพาไปท่องทั่วไทยมานับไม่ถ้วน แต่ ณ วันนี้กล้ามเนื้อขาของผมไม่แข็งแรงพอที่จะพาเจ้า land rower ท่องแดนลาวได้ ด้วยเหตุที่มันมีน้ำหนักตัวค่อนข้างมาก เลยไปถอยรองเท้าบาจาสีเทาดำใหม่มาหนึ่งคู่ แต่กว่าที่จะได้มันมาก็ต้องทดสอบเปรียบเทียบกับยี่ห้ออื่นอีกนับสิบคู่ ต้องขอขอบคุณพนักงานขายคนสวยที่มาช่วยผมเลือกด้วยความเต็มใจ และคะยั้นคะยอให้ผมทดสอบโดยการใส่เดินไปรอบๆ ร้านทีละคู่ ๆ จนผมได้รองเท้าคู่นี้มา ถูกใจมากเลยครับ มันนุ่มกระชับ เบาสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ผมหยิบหมวก “เช กูวาร่า” สีดำ ที่มีดาวโลหะสีแดงโชว์หราตรงหน้าหมวกขึ้นมาพิจารณาดู 2-3 เที่ยว รู้สึกว่ามันดูแรงไปนิดหนึ่งเลยเปิดกรุเข็มกลัดที่สะสมไว้แล้วเลือกเอาเข็มกลัดวงกลมขนาด 4 ซม. มีสัญลักษณ์ stop war มากลัดติดที่ด้านหลังของหมวก เพื่อให้มันช่วยลดความแรงลงไปบ้าง ก่อนที่จะจับมันยัดลงเป้เหมือนเดิม เพราะเกรงว่าผู้ร่วมทางจะไม่สบายใจเมื่อเห็นดาวสีแดงบนหมวก
เวลา 8.30 น. ผมจัดการโยนสัมภาระ ลงรถ แล้วพาคุณนายขับเลาะเลียบฝั่งโขงลงใต้มุ่งสู่ อ.เชียงของ ทันที อ้อ! คุณนายในที่นี้ก็คือภรรยาที่น่ารักของผมเองครับ เธอมีชื่อเล่นว่า “นาย” คนแถวบ้านมักเรียกว่า “น้องนาย”บ้าง “อี่นายคนงาม”บ้าง แต่ผมชอบรียกว่า “คุณนาย”มากกว่า บางโอกาสผมก็กระเซ้าเอาว่า “อีคุณนาย” ซึ่งเธอก็ไม่เคยโกรธ กลับยิ้มรับอย่างหน้าชื่นตาบานซะอีก
ถึงเชียงของผม ขับรถไปฝากที่บ้านเจ้านพ หรือนพรัตน์ ละมุล บรรณาธิการหนังสือแม่โขงโพสต์ เจ้าของสำนักพิมพ์ง่ายงามที่พิมพ์หนังสือ “ผู้เฒ่าเล่าขาน ตำนานเมืองเชียงแสน” ของผมนั่นเองครับ ทักทายเจ้านพพอได้ใจความก็รีบมาที่ท่าเรือ จัดการกรอกใบผ่านแดนแนบพาสปอร์ตยื่นให้เจ้าหน้าที่ประทับตรา เสร็จแล้วก็แบกเป้เดินมาลงเรือที่ริมฝั่งโขง ผมเลือกที่จะนั่งหันหน้าเข้าหาฝั่งไทย ผมสูดหายใจลึกๆ แล้วพนมมือยกขึ้นไหว้จรดหน้าผากล่ำลาเมืองไทยที่รักไปสักพักหนึ่ง ก่อนที่เรือจะพาผมแล่นฝ่าคลื่นแม่น้ำโขงขยับห่างออกจากแผ่นดินไทยไปทุกที ๆ
บันทึกนี้โพสต์เมื่อ วันที่ วันจันทร์, 17 พฤศจิกายน 2008 เวลา 9:05 (เช้า) และจัดไว้ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่. ติดตามอ่านการแสดงความเห็นได้ที่ฟีดนี้ RSS 2.0. คุณสามารถจะ ฝากความคิดเห็นไว้, หรือ แทร็กย้อนหลัง จากเว็บไซต์ของคุณได้.
#2:: น้ำฟ้าและปรายดาว 17 พฤศจิกายน 2008 เวลา 6:03 (เย็น)
ขำกว่านั้นคือลงรูปเยอะแยะ แต่ทำไมไม่มีรูปตัวเองประจำบล็อกล่ะคะ ^ ^
เครื่องแต่งกายเท่มั่กๆค่ะ บรรยายแต่ของตัวเองแล้วของพี่นายล่ะคะไม่เห็นพูดถึงเลย อิอิอิ