ยามเช้าที่อุดมไชย
อ่าน: 13084เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นตอนตี ๕ ครึ่ง ผมรีบตื่นขึ้นมาเตรียมตัวออกไปทักทายดวงอาทิตย์ ดวงที่ผมรู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดีเป็นเวลาถึง ๔๕ ปี ในเมืองไทย เมื่อคราวจะได้พบกันยามอยู่ต่างถิ่น ต่างแดนเช่นนี้ ทำให้ผมตื่นเต้นดีใจและเกิดความมั่นใจยิ่งขึ้นว่าอย่างน้อยที่สุดก็มีผู้ที่เรารู้จักคุ้นเคยแวะเวียนมาทักทายแต่เช้าตรู่แล้วอยู่กับผมทั้งวัน ก่อนที่จะผลัดเปลี่ยนให้เจ้าหญิงแห่งรัตติกาลพาหมู่เดือนดารามากระพริบแสงเป็นเพื่อนยามค่ำคืน
ผมเดินมาที่หน้าต่างกลางห้องชะโงกดูบรรยากาศของเมืองอุดมไชยยามเช้า มองไปทางวัดบนยอดเขาที่ผมเห็นแสงไฟในตอนกลางคืน แต่ก็ไม่เห็นอะไรเพราะยังเช้ามืดอยู่เลย จึงเดินไปล้างหน้าล้างตาแต่งตัวเสร็จแล้วก็เตรียมกล้องวีดีโอ กล้องดิจิตอลใส่กระเป๋าคาดเอวใบใหญ่ จากนั้นก็ควงคุณนายเดินลงมาสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ลานจอดรถของโรงแรม ผมขยับแขนขายืดเส้นยืดสายกระตุ้นกล้ามเนื้อให้ตื่นตัว เพราะดูรายการเช้านี้แล้วต้องเดินกันเยอะทีเดียว
ก่อนแสงแรกจะโผล่จากเหลี่ยมเขา ผมจูงมือคุณนายเดินดุ่มๆ ข้ามถนนบริเวณสี่แยกหน้าโรงแรมมุ่งตรงไปยังเป้าหมายคือวัดบนยอดเขาทันที เพราะอยากเก็บภาพแสงสีทองที่ขอบฟ้าสาดส่องกระทบกับเจดีย์อย่างนุ่มนวล อ่อนน้อม ผมเดินไปถึงตีนเขามองหาบันไดทางขึ้นก็ไม่เจอ เดินวนเวียนอยู่หลายรอบจนมาสะดุดเอากับป้ายบอกทางที่ชี้ขึ้นไปบนยอดเขาว่า “ลาวโทรคม” ผมชี้ให้คุณนายดูป้ายที่อยู่ตรงหน้า เธอพยายามสะกดอยู่พักหนึ่งก่อนจะหัวเราะจนน้ำตาเล็ดแล้วหันมาฉีกยิ้มกว้างกับผม พร้อมกับพูดปนยิ้มว่า เมื่อคืนเจ้านายไหว้เสาโทรศัพท์ลาวตั้งหลายเที่ยวคงหลับฝันดีน่าดูเลยสิ ฮ่าๆ ผมแหงนหน้าขึ้นไปยอดเขาเห็นเสาโทรศัพท์ตั้งตระหง่านแสงแดดส่องกระทบจานส่งสัญญาณสะท้อนเข้าตาผมแว๊บๆ ทำให้สมองของผมวิ่งย้อนไปถึงเหตุการณ์ครั้งเมื่อผมยังเป็นเด็กได้ไปอยู่กับคุณพ่อที่ชุดคุ้มครองหมู่บ้านแห่งหนึ่งและเกิดตำนานความเชื่อเจ้าพ่อภูสูงขึ้น
เรื่องเริ่มต้นจากการที่คุณพ่อพาลูกน้องขึ้นดอยไปเยี่ยมพี่น้องชาวเขา ชักชวนให้เลิกรุกป่าและย้ายลงมาอยู่ตีนดอยเพื่อรักษาป่าต้นน้ำและง่ายต่อการให้ความช่วยเหลือด้านความเป็นอยู่ และสาธารณสุข ในการเดินทางได้เตรียมข้าวของ หยูกยา อาหารกระป๋องไปฝากพี่น้องบนดอยด้วย ช่วงหนึ่งของการเดินทางได้แวะพักแรมกางเต็นท์อยู่ริมห้วย ประกอบอาหารกินกันง่ายๆ ส่วนผมนั้นปลากระป๋องตราปูตลับวงรี แบนๆ ขนาดเท่าฝ่ามือนั้นเอร็ดอร่อยจนลืมเหนื่อยเลยหละครับ หลังกินข้าวเสร็จผมก็ถือโอกาสเดินไปเล่นริมห้วยใช้มืองมล้วงตามซอกหิน จับปู จับปลา ซ้อมมือเล่น จากนั้นก็นำตลับปลากระป๋องมาล้างเอากระดาษห่อด้านข้างออกแล้วใช้ตักน้ำ ตักทรายเล่นอย่างเพลิดเพลิน
หลังจากเล่นเสร็จแล้วครั้นจะโยนทิ้งก็เสียดาย เลยคิดจะเก็บไว้เล่นตอนขากลับด้วย จึงปีนต้นไม้เอากระป๋องไปซุกไว้บนคบไม้ แต่บังเอิญตอนขากลับคุณพ่อได้เปลี่ยนเส้นทาง ผมเลยอดเล่นได้แต่นึกเสียดายอยู่ในใจ
จากนั้นมาอีก ๒ - ๓ สัปดาห์ ผมก็เห็นปรากฏการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นในหมู่บ้านอย่างหนึ่ง คือ ในตอนเช้าก่อนที่ชาวบ้านจะออกไปทำมาหากิน เขาจะหันหน้าขึ้นไปบนภูสูงแล้วยกมือขึ้นพนมไหว้ท่วมหัว ก่อนจะลูบเสยผม เหมือนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย มีโชค มีชัยในการทำมาหากิน ผมเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ไหวจึงไปถามคุณพ่อ ท่านเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่ลงจากดอยมาคราวนั้นชาวบ้านเขาเห็นแสงประหลาดสว่างวาบมาจากยอดดอย ทุกเช้าตอนพระอาทิตย์ขึ้น เขาเชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่บนยอดดอยคอยคุ้มครองเขาอยู่ ซึ่งจะเท็จจริงอย่างไรพ่อไม่รู้แต่พ่อก็ใช้เป็นอุบายให้ชาวบ้านเกรงกลัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่กล้าขึ้นไปตัดไม้ทำลายป่า ผมถามต่อว่า แสงมาจากตรงไหนหรือครับ คุณพ่อก็ชี้ให้ดูแล้วบอกว่า อยู่ตรงใกล้ๆ กับจุดที่เราตั้งค่ายพักแรมตอนขึ้นดอยไปหมู่บ้านม้งในคราวก่อน แสงจะส่องมาจากคบไม้ใหญ่ริมลำห้วย ชาวบ้านเขาลือว่า เป็นผีฟ้าบ้าง ผีขุนน้ำบ้าง ต่างๆ นาๆ แต่สรุปได้ว่าเป็นเจ้าพ่อภูสูง
ผมได้ฟังคุณพ่อเล่าแล้วก็งุนงงกับเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ใจหนึ่งก็กลัวเจ้าพ่อจะโกรธเอาที่คราวก่อนผมปีนขึ้นไปเล่นบนต้นไม้ที่สิงสถิตของเจ้าพ่อ คุณพ่อคงเห็นหน้าตาของผมไม่สบายเลยถามว่า มีอะไรหรือ ผมดึงแขนคุณพ่อเข้าไปในบังเกอร์ และสารภาพความผิดกับท่านทันทีว่า คราวก่อนผมขึ้นไปเล่นบนคบไม้แล้วเอาตลับปลากระป๋องไปซุกไว้บนนั้นเจ้าพ่อจะโกรธผมหรือเปล่าครับ คุณพ่อสอบถามผมยกใหญ่ หลังจากได้คำตอบที่พอใจแล้ว ท่านก็ยิ้มออกมาแล้วกำชับไม่ให้ผมเล่าให้ใครฟังมิเช่นนั้นเจ้าพ่อจะโกรธเอา ขอให้เก็บเป็นความลับรู้กันเพียง ๒ คน
เวลาผ่านไปหลายปี ผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นบังเอิญนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกจึงสอบถามคุณพ่อดูว่า เจ้าพ่อภูสูงยังส่องแสงมาที่หมู่บ้านอีกหรือเปล่า คุณพ่อหัวเราะแล้วบอกผมว่า เจ้าพ่อส่องแสงอยู่ไม่นานพอย่างเข้าฤดูหนาวก็หยุด ผมจึงซักไซ้ไล่เลียงถึงสาเหตุอยู่นานจนคุณพ่อหลุดปากออกมาว่า เจ้าพ่อเป็นสนิมจึงหยุดส่องแสง ท่านเล่าต่อว่า หลังจากผมสารภาพเรื่องปลากระป๋องแล้วท่านได้ขึ้นดอยไปดูจึงรู้ว่า แสงเจ้าพ่อเกิดจากแสงอาทิตย์ส่องกระทบตลับปลากระป๋องแล้วสะท้อนลงมาในหมู่บ้าน พอฤดูฝนผ่านไปกระป๋องก็ขึ้นสนิมจึงสะท้อนแสงไม่ได้
ผมเหลือบมองไปบนยอดเขาดูแสงสะท้อนจากจานส่งสัญญาณของลาวโทรคมอีกครั้งก่อนจะยกมือไหว้แล้วหัวเราะอย่างสะใจที่หอบหิ้วไก่จากเมืองไทยมาปล่อยถึงเมืองอุดมไชยฝูงใหญ่ จากนั้นก็จูงมือคุณนายข้ามถนนเดินไปตลาดทันที
บันทึกนี้โพสต์เมื่อ วันที่ วันพฤหัสบดี, 9 กรกฏาคม 2009 เวลา 9:58 (เช้า) และจัดไว้ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่. ติดตามอ่านการแสดงความเห็นได้ที่ฟีดนี้ RSS 2.0. คุณสามารถจะ ฝากความคิดเห็นไว้, หรือ แทร็กย้อนหลัง จากเว็บไซต์ของคุณได้.
#2:: themiti 9 กรกฏาคม 2009 เวลา 10:24 (เช้า)