เสียดาย เสียใจ แต่ไม่เสียศูนย์
โอกาสในการเรียนรู้ในชีวิตมีมากมาย
แต่โอกาสที่จะได้จะได้ใช้วิชาจากเลียนรู้ ผ่านกระบวนการเรียนรู้ ไปสู่การสร้างองค์ความรู้ในตัวเองนั้น “ไม่ใช่เรื่องง่าย”
วันที่ 13 - 14 กค. 52 ได้มีโอกาสรับเชิญไปเป็นวิทยากรในกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านกระบวนการสุนทรียสนทนา ของ ศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ โดยหัวหน้าทีมคือ หมอจอมป่วน น้องอิ่ม
แต่ด้วยภารกิจงานประจำ ท่าน จึงมีคำสั่งการว่า “ทราบ และเขียนต่อว่า “ติดเรื่องการประเมินบุคลากร” โดยไม่มีคำถามให้เราได้ตอบ จึงเป็นสิ่งที่ค้างคาใจอีกประการหนึ่ง ที่อยากรู้ แต่ไม่อยาถาม (เพราะคิดว่า “ไม่รู้สักเรื่อง” จะได้ไหม
ติดโทษ
แบ่งปันแรงดลใจเพื่อชีวิต
อย่าเอาคุณค่าของเราไปให้เค้าตีราคา
กับความรู้สึกที่ดีดี ที่เคยมี
กับวันเวลาที่สูญเสียไปในครั้งก่อน
กับวันนี้ ซึ่งตัวเธอเอง
กลับกลายเป็นคนไม่มีค่า เป็นคนที่เขาไม่แคร์
ไม่สนใจ ไม่สนใจเหรอ ….
มันอาจน้อยไป เขาอาจจะรู้สึกขยะแขยงเธอด้วยซ้ำ
รู้สึกเหมือนขี้หมา ที่ เค้าคงเอาเท้าเขี่ย ๆ ให้ ออกไป
…………………………………………..
ใช่ซิ มันไม่มีใครอยากเจอการจากกันอย่างนี้
แต่ก็ใช่ อีกนั่นแหละว่า เราคงไปเปลี่ยนใจใครไม่ได้
ไปร้องเรียก ให้เขาช่วยแคร์ความรู้สึกเราไม่ได้
มีแต่เราที่ต้องพยายามทำความเข้าใจ
ถึงแม้อาจจะใช้เวลาเนิ่นนาน และ
อาจจะเจ็บปวด แต่วันหนึ่งเราจะต้องเข้าใจ
เราไม่ได้เกิดมาเพื่อรักเขา
ก่อนหน้าจะเจอเขาเราก็เจอสิ่งต่าง ๆ มากมาย
คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อความรัก
แต่เราเกิดมาเพื่อที่จะเรียนรู้ความรัก
ค่าของเรา บางครั้ง บางที ก็โดนความรัก
บิดเบือน ……………………………..
เขาเกลียด เรา ความรัก ก็ บิดเบือน
แปลความหมาย ว่า เราไม่มีค่า อย่างนั้น
อย่างนี้ จากสิ่งที่เราโดนเขากระทำ
เรายังมีลมหายใจ เรายังมีครอบครัว
คนที่รักเรา และ คนที่เรารัก
ยังมีน้องหมา
ลองอย่างนี้ซิ เราลองให้น้องหมา
ข้างถนน กินลูกชิ้นซักไม้
ลองมองสายตาของน้องหมาตัวนั้น อาจจะเห็น
แววตาของเขา เขาคงเห็นเราเป็นเทวดาผู้มาโปรด
จะเห็นแววตา แห่งความห่วงใย ว่า
เราเป็นแก้วตาดวงใจของเขา
เพราะ คนเขาไม่รัก เขาก็ไม่รัก
คนเขาไม่อยากคุย ก็คือไม่อยากคุย
คนเขาเกลียด ก็คือเกลียด จริงไหม
เขาไม่ได้ทำอะไรเราซักหน่อย
แค่เขาเกลียดเรา มันก็เป็นเรื่องธรรมดา
บนโลกนี้ ซึ่งมีทั้งชอบ และ ไม่ชอบ
แต่เราดันไปตีความฟูมฟาย ไปเอง
เขายังทำใจไม่ได้ …………….
ไม่ว่ามันจะเป็นการจากกันแบบร้ายหรือดี
เราก็ต้องทำใจได้
เพราะค่าของเราไม่ได้อยู่ที่ใครตีความนะ
…………………………………………..
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครคนใดคนหนึ่งนะ
คิดได้แล้ว ก็เลิกร้องไห้ เช็ดน้ำตา
เลิกคิดเรื่องเก่า ลุกขึ้น
ปัดกางเกง หาซื้อลูกชิ้นซักหลาย ๆ ไม้
ให้น้องหมาข้างถนน แถวนี้ดีกว่า
ขอบคุณเรื่องเล่าจากเมล
ปิดกั้นทางอารมณ์
การปิดกั้นทางอารมณ์
ที่กระทบกระเทือนในใจ
เปิด…..
ปล่อย….
ขว้าง……
วาง……
มันออกไป
อย่าให้ในใจรู้สึกกระเจิง
…..
ลงมาที่ฉันก็ได้ ถ้าเธอพอใจ
ทำให้สมกับความนัย
ที่เธออยากบอกมันออกไป
บอก บอก บอก มันออกไป
พ่นออกมาเป็นคำด่าก็ได้ไม่ว่ากระไร
เพราะอย่างไร “เธอ” ก็เป็นผู้ที่ถูกต้อง
……
ฉันยกใจให้เธอแค่ใน”งาน”
พอฉันกลับบ้าน
ฉันก็เป็นคนที่สุขใจ โดยไม่มีเธอในใจ
ขอบคุณท่าน ท่าน ท่าน ทั้งหลาย
ถ้าโลกนี้ไม่มีลูกน้อง ท่านก็คงอยู่และทำงานได้
แต่คงไม่สบายเท่าการมีลูกน้องช่วยทำ
“ท่านทั้งหลาย จงเจริญ”
เคยเห็นบ้างไหมท้องฟ้าที่สดใส
ออกจากพื้นที่คับแคบในใจ มองฟ้าใสให้ใจยินดี
ว่าด้วยเรื่อง “การฟัง”
ว่าด้วยการรับฟัง
“…สำคัญที่สุดที่จะต้องหัดทำใจให้กว้างและหนักแน่น รู้จักรับฟังความคิดเห็น แม้กระทั่งคำวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อื่นอย่างฉลาด เพราะการรู้จักรับฟังอย่างฉลาดนั้น แท้จริงคือการระดมสติปัญญาและประสบการณ์อันหลากหลายมาอำนาจการปฏิบัติบริหารงานให้ประสบความสำเร็จที่สมบูรณ์นั่นเอง…”
พระราชดำรัส ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช/
——————————
วันนี้ได้เรียนรู้ “ว่าด้วยการฟัง” จากพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ประกอบได้มีโอกาสสนทนากับเพื่อร่วมงาน มีหัวข้อหนึ่งที่น่าสนใจ คือเรื่องการฟัง เพื่อนเล่าให้ฟังว่า วันนี้วิทยากรมาบรรยายและมีข้อคำถามว่า
“คนเรามีปากกี่ปาก” และ
“คนเรามีหูกี่หู”
สรุปได้ว่าสิ่งที่ธรรมชาติให้มาคือการให้ฟังมากกว่าพูด ดังนั้น เราก็ควรคิดและปฏิบัติได้ตามที่ธรรมชาติให้มา
……..
“คิดได้” และ “ได้คิด” ค่ะ
ขอให้มีความสุขในวันหยุดนะคะ
22 พฤษภาคม 2552
หากเราโกรธใครซักคน เราควรทำอย่างไร
ตามจริต : ความสุขอยู่ตรงไหน
ช่วงนี้ฉันมีคำถามที่ต้องตอบตัวเองเสมอถึง “เป้าหมายชีวิต” ของตัวเอง
การดำเนินมากว่าครึ่งหนึ่งของชีวิต ทำให้ฉันต้องทบทวนในแต่ละวันเสมอว่าฉันต้องการอะไร
ในขณะที่ปัจจุบันฉันเป็นข้าราชการบำนาญ การตัดสินใจครั้งนี้อยู่บนพื้นฐานความเห็นแก่ตัวเกือบทั้งสิ้น ฉันคิดว่าถ้าฉันเป็นข้าราชการบำนาญ เมื่อถึงยามแก่เฒ่า อย่างน้อยฉันก็มีหลวงเลี้ยงดูแลค่ารักษาพยาบาล และมีเงินเดือนอีกเล็กน้อยเป็นค่าครองชีพ ซึ่งจะพอหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการใช้จ่าย
……
ในขณะที่การทำงานในปัจจุบัน ฉันทุ่มเททำงานอย่างมุ่งมั่น และมีความสุขใจฐานะพนักงานที่ได้เงินเดือนเพิ่มมากขึ้น (แต่ยังไม่ทราบว่าจะเพิ่มเท่าไร) แต่ฉันก็พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบัน
……
เวลาผ่านไป
ในขณะที่เรามีสิ่งที่มากระทบ กระแทกใจ
สิ่งที่กวนในใจตลอดเวลา คือคำถามว่า
“ฉันทำอะไรอยู่”
”ความสุขฉันอยู่ตรงไหน”
“ทำไมฉันต้อง(ทน)อยู่”
……..
เมื่อมีเวลาทวนความคิดตัวเอง
ทำให้ฉันคิดว่า “ฉันเห็นแก่ตัว”หรือไม่
เห็นแก่ตัวกับงานที่ฉันทำ เห็นแก่ตัวกับภาษีราษฎรที่เป็นค่าเงินเดือนจ้างฉันทุกวัน แต่ฉันยังคิดว่า “ทำไมฉันต้องทน ต้องทำ” (ในขณะที่ฉันก็ได้ใช้เงินภาษีฯ อยู่)
……..
ฉันถึงต้องอยู่ตรงนี้ ทำหน้าที่ในฐานะคนกินเงินเดือนจากภาษีราษฎร
ทำหน้าที่ในหน้าที่หลัก และหน้าที่ในการตอบแทนสังคม(เท่าที่ทำได้)
และเมื่อสมควรแก่เวลา ฉันก็ควรจะไป ไปหาความสุข ตามที่ฉันตั้งเป้าหมายไว้
ไปหาสิ่งที่เหมาะแก่ตัวเอง ไปตอบแทนสังคมส่วนรวม ที่เราได้มีส่วนร่วมกันอยู่บนโลกแห่งนี้ และ “ตามหาความสุข” ที่ฉันคิดว่าจะทำให้สุข
…….
ถ้าหาพบแล้ว “ฉันจะมาเล่าให้ฟัง”
ฉันบอกกับตัวเอง
ตามจริต บทเรียนจากการทำงาน
….ถ้าไม่ล้ม ก็ไม่รู้ว่า อาการเจ็บ รู้สึกอย่างไร
เช่นใดก็เช่นนั้น การทำงาน ถ้าไม่ผิดพลาด ก็ไม่จะรู้ว่างานนั้นทำให้ได้เรียนรู้อะไร
การยอมรับในความผิดพลาดในครั้งนี้
ทำให้ได้เรียนรู้ใจตัวเอง
…….
เรียนรู้ที่จะยอมรับและหยุดการพิพากษาผู้อื่น
เรียนรู้ว่า “น้ำตา” ไม่ได้แก้ปัญหาใจ
เรียนรู้ว่า “มิตรภาพ” บนความห่วงใยยังมีอยู่ใกล้ ๆ เสมอ
เรียนรู้ว่า “การหน่วง” ให้เวลาผ่านสักนิด เราจะมีสติ และมองเห็นทางแก้ของปัญหานั้น
……
ขอบคุณ “คุณสติ” ที่กรุณามาเยี่ยมและทำให้เกิด “คุณปัญญา” ตามมาเสมอ
……
ขอบคุณกัลยาณมิตรที่ทำให้ได้ “คิดถึง” ก็สุขใจ
สอนตัวเองผ่านบันทึกน้อง
ถึงน้องที่(น่า)รัก
พี่เจอการ feedback เต็ม ๆ จากน้องที่อยู่ใกล้เคียง สิ่งที่เขา feedback กับตัวเรานั้น ทำให้เราต้อง “หยุดนิ่ง “ และเริ่มสำรวจตัวเองว่า “เรา” ได้ทำในสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกได้ขนาดนั้นเลยหรือ สิ่งที่เราทำกับเขาทุกวันนี้มันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด ทำให้เขารู้สึกไม่ดี ฯลฯ ทั้ง ๆ ที่เราทำไปนั้น บนพื้นฐานที่เราคิดว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูก หรือเป็นสิ่งที่เราในฐานะความเป็นพี่พึงสอนน้อง แต่เขากลับมองว่าพฤติกรรมของเราออกค่อนข้างจะก้าวร้าว บั่นทอน ทำให้รู้สึกไม่ดี ฯลฯ
……
จากเหตุดังกล่าว ทำให้พี่กลับมาทบทวนตัวเอง ว่าในสิ่งที่เราทำนั้น ถึงแม้จะถูกในความรู้สึกเรา แต่อาจจะไม่ถูกกับความรู้สึกเขา จึงทำให้เกิดข้อคิดและตั้งใจในทุกวันว่า “วันนี้เราได้ทำอะไรให้เขารู้สึกเดือดร้อนใจหรือไม่” “วันนี้เราทำให้ใครรู้สึกแย่ ๆ หรือไม่” “วันนี้เราพูดจาไม่ดีกับใครหรือไม่” คิดในแต่ละวัน และคิดในแต่ละช่วงครึ่งวัน และคิดในแต่ละชั่วโมงในการดำเนินชีวิตเรา คิดให้เล็กลงจนกระทั่งให้รู้สึกว่าในขณะที่เราพูด หรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เรามีพฤติกรรมเช่นไร แบบนี้ จะทำให้เรามีสติ และรู้ทันตัวเองอยู่สเมอ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำนั้นอยู่บนพื้นฐานที่ไม่ทำให้ตัวเองไม่รู้สึกอึดอัด หรือเป็นการบังคับใจตัวเอง ให้มันเป็นเพียงแต่ว่าให้เรารู้เท่าทันตนเองในทุกขณะ
………
เป็นเช่นนี้ และไม่รู้วามันจะเกิดความสม่ำเสมอหรือเปล่า แค่คิดและเริ่มทำ ก็เกิดสุขแล้วล่ะ
………
ทำไมต้องคิดถึง(ก็)ไม่รู้
บันทึกความทรงจำดี ๆ ไว้เตือนตนเอง
จาก comment บันทึกน้องคนไม่มีราก ที่บันทึกนี้