ลานอิสระ

5 กันยายน 2010

นิทานคนตัดไม้ ให้ข้อคิดอะไร

Filed under: ไม่ได้จัดหมวดหมู่ — nuaor @ 2:29 (เย็น)

นานมาแล้วยังมีคนตัดไม้คนหนึ่ง เป็นคนที่ขยันขันแข็ง ใช้ขวานสับต้นไม้เพื่อให้โค่นลงมา เขาขยันมาก วันแรกเขาตัดได้ถึง ๒๐ ต้นต่อวัน แต่ยิ่งตัด นานวันเข้าจำนวนซุงที่เขาตัดได้กลับลงลดเรื่อยๆ จนเหลือ ๑๐ ต้นต่อวัน ทั้งๆที่เขาไม่ได้อู้เลย

 วันหนึ่งมีคนเดินผ่านมาเห็นชายตัดไม้กำลังใช้ขวานสับต้นไม้อยู่อย่างแข็งขัน

จากการสังเกตอยู่ราวชั่วโมงหนึ่ง
ชายคนที่เดินผ่านมาจึงเอ่ยปากกับชายตัดไม้ว่า

“ทำไมท่านไม่หยุดพักก่อน และ ลับคมขวานเสียให้คมกริบ จะได้ตัดไม้ได้เร็วขึ้น”
คนตัดไม้บอกว่า ” ไม่ได้หรอก ถ้าเราหยุด ก็จะทำให้ตัดไม้ได้น้อยลงสิ”
ชายคนที่เดินผ่านทางพูดว่า “ลองหยุดพักสักนิด และมองหาข้อผิดพลาดจากการทำงาน และจะได้ปรับปรุงการทำงานที่ดีขึ้น”
คนตัดไม้ไม่เชื่อ ยังตงตัดไม้ด้วยขวานที่ทื่อย่างมากต่อไป
 จนในที่สุดจำนวนซุงที่เขาตัดได้น้อยลงๆ
จนนายจ้างไล่เขาออก เขาตกงาน และไม่มีงานทำ
เข้ากลับบ้านพร้อมขวานที่ทื่อๆเล่มหนึ่ง

นิทานเรื่องนี้สอนอะไรเรา

๑.การทำงานนอกจากจะรักงาน หรือ มีฉันทะ ,มีความเพียร(วิริยะ) ความตั้งใจเอาใจจดจ่ออยู่กับงาน(จิตตะ) ยังไม่พอ ต้องใช้ สติปัญญาทบทวน ใคร่ครวญหาสาเหตุข้อบกพร่องของงานเพื่อทำให้ดียิ่งขึ้น
๒.การทำงานโดยไม่หยุดพัก ทำให้เราพลาดโอกาสในการมองเห็นความสุขของเนื้องาน การมุ่งแต่เป้าหมายไม่สนใจระหว่างทางก็ทำให้เราไม่ซาบซึ้งกับความสุขที่ได้ทำงาน

ต้องใช้วิธีของเณรน้อยเจ้าปัญญา อิกคิวซัง บอกตนเองว่า “จะรีบไปไหน จะรีบไปไหน…พักเดี๋ยวหนึ่งสิครับ” รับรองได้เห็นอะไรดีๆอีกมากครับ
๓.การเสียเวลาลับคมขวานก็เหมือนกับการศึกษาหาความรู้ โดยเข้าห้องรับการฝึกอบรม จริงอยู่ว่ามันเสียเวลา แต่สิ่งที่ได้จากการศึกษาอบรมอาจจะช่วยทำให้เราทำงานได้ดีขึ้น

จากนิทานเรื่องนี้ ถ้าชายตัดไม้ หยุดและลับคมขวาน เขาก็จะตัดไม้ได้เร็วเท่าเดิม เขาก็มีงานทำ ไม่ต้องโดนไล่ออกจากงาน ความขยันอย่างดียวไม่ได้ช่วยอะไร

เรื่องเล่าดีดี : teenee.com

2 สิงหาคม 2010

ผู้นำทาง และผู้เดินทาง

Filed under: ไม่ได้จัดหมวดหมู่ — nuaor @ 10:38 (เย็น)

ผู้นำทาง  กับ ผู้เดินทาง

สำหรับฉันคิดว่ามันต่างกัน

บางครั้งคนนำทางอาจจะไม่ใช่คนเดินทาง

เพราะไม่เคยเดินทางในเส้นทางนี้มาก่อนเลยทำให้ไม่รู้เส้นทาง

ผู้เดินทางก็อาจไม่ใช่ผู้นำทาง เดินทางไปด้วยประสบการณ์ที่่ผ่านมา

แต่ทั้งสอง มักจะมีจุดหมายปลายทางเหมือนกัน

ผู้นำทางอาจเห็นว่าต้องไปทางนี้จะถึงเร็วกว่า ดีกว่า

แต่สำหรับผู้เดินทางแล้ว มันอาจจะเป็นเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย

แต่มันอาจไม่ยากนัก

ถ้าเราหันหน้าพูดคุยกัน แชร์ประสบการณ์ที่ผ่านมา

ให้กันและกันฟัง หรือพบกันครึ่งทาง

มันอาจจะเดินทางได้เร็วขึ้น คล่องขึ้น และเส้นทางนั้นมันจะเต็มไปด้วยความสุข

14 กรกฏาคม 2010

The boss

Filed under: ไม่ได้จัดหมวดหมู่ — nuaor @ 10:37 (เช้า)

ผู้นำแบบไหน…. ได้ใจคนตาม

โรเบิร์ต เบล็ค และเจน มันตัน นักทฤษฎีชาวอเมริกัน ได้คิดค้นทฤษฎีที่ชื่อว่า Managerial Grid โดยแบ่งผู้นำออกเป็น 4 ประเภท คือ

แบบเผด็จการ

 ผู้นำประเภทนี้เน้นเรื่องผลของานมากว่าความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล โดยเน้นให้ผู้ร่วมงานทำงานเพื่อเป้าหมายของงาน คาดหวังให้คนเชื่อฟังคำสั่งโดยไม่ต้องเสียเวลาโต้เถียง และหามีอะไรผิดพลาดก็มักจะหาคนผิดมากกว่าการหาต้นเหตุเพื่อแก้ไข

แบบผู้นำทีม

ผู้นำลักษณะนี้นอกจากจะเน้นเรื่องงานแล้วยังให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่าบุคคล ผู้นำประเภทนี้จะสนับสนุนให้ลูกน้องพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างสูงสุดเท่าที่จะทำได้ ขณะเดียวกันก็สามารถทำให้คนในทีมรู้อยากทำงานอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย และแน่นอนว่าองกรไหนที่มีผู้นำลักษณะนี้ มักจะสร้างผลผลิตได้อย่างน่าชื่นชม

แบบผู้นำชุมชน

ผู้นำแบบนี้ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนในองค์กรมากกว่าผลสัมฤทธิ์ของงาน และมักเน้นการให้รางวัลเป็นแรงจูงใจ การบริหารงานของผู้นำที่มีลักษณะเช่นนี้จึงมักจบลงด้วยงานที่ไม่สัมฤทธิ์ผล แถมยังเกิดความอิจฉาริษยากันเอง อันเป็นผลจากวิธีสร้างแรงจูงใจด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสม

แบบเสื่อมประสิทธิภาพ

ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นผู้นำที่ไม่เอาไหน นอกจากไม่ได้งานแล้ว ความสัมพันธ์ของคนในองค์กรก็ยังยุ่งเหยิง ผู้นำแบบนี้มักบริหารด้วยการใช้ตัวแทน โดยตัวเองมักจะหายหน้าไปบ่อย ๆ โดยไม่มีสาเหตุ ปล่อยให้ลูกน้องทำงานแบบต่างคนต่างทำและแก้ปัญหากันเอาเอง

ผู้นำที่ดีต้อง …..

รู้จักตัวเอง

ก่อนจะบริหารงานคนอื่น ผู้นำที่ดีต้องรู้จักตัวเองก่อนว่าเป็นคนแบบไหน มีความรู้แค่ไหน และทำอะไรได้มากน้อยเพียงใด การจะบอกว่าคุณเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จหรือไม่ ลูกน้องจะเป็นผู้ตัดสิน ดังนั้นผู้นำที่ดีต้องสามารถทำให้ลูกน้องไว้เนื้อเชื่อใจ ยินยอมปฏิบัติตามที่คุณต้องการ หากไม่สามารถทำให้ลูกน้องเชื่อมันในตัวคุณ คุณจะไม่สามารถโน้มน้าวใจเขาให้ทำงานให้คุณได้

รู้จักลูกน้อง

คนแต่ละคนมีความแตกต่าง มีสไตล์การทำงานที่ไม่เหมือนกันหากคุณต้องการเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จ ต้องเรียนรู้นิสัยใจคอและบุคลิกลักษณะของลูกน้องแต่ละคน เพื่อจะได้มอบหมางานได้ถูกต้องตรงกับความถนัดและความสามารถของเขา

รู้จักสื่อสาร

แน่นอนว่าหากต้องการให้การทำงานเป็นไปด้วยความราบรื่น จะต้องเปิดโอกาสให้มีการสื่อสารสองทาง ไม่ใช่หัวหน้าเอาแต่ออกคำสั่งอย่างเดียว ส่วนลูกน้องก็คอยรับคำสั่งอย่างเดียว และการสื่อสารนั้นไม่ได้หมายความเฉพาะแค่การพูดจากันเท่านั้น ท่าทีคุณปฏิบัติหรือแสดงออกก็สำคัญมากเช่นกัน จำไว้ว่าสิ่งที่คุณสื่อและวิธีการที่คุณสื่อสารสามารถสร้างและทำลายความสัมพันธ์ได้ในขณะเดียวกัน

รู้จักใช้ดุลยพินิจ

เวลาและสถานการณ์ที่แตกต่างกัน วิธีที่ใช้ในการแก้ไขหรือตัดสินปัญหาย่อมไม่เหมือนกัน

ผู้นำยอดเยี่ยม     vs     ผู้นำยอดแย่

  • 1. มีความหนักแน่น                                    1.หูเบา เชื่อคนง่าย
  • 2. มีความยุติธรรม                                     2. ลำเอียง เห็นแก่พวกพ้อง
  • 3. นอมน้อม มีพระคุณมากกว่าพระเดช              3. ใช้อำนาจ อวดรู้
  • 4. เป็นผู้ฟังที่ดีและแก้ไขเมื่อผิดพลาด               4. ไม่ยอมรับความผิด
  • 5. เป็นนักประสานประโยชน์ รู้จักวางแผน           5. แบ่งพวก แบ่งฝ่าย
  • 6. รู้จักวิธีบริหาร จัดการ                              6. ไม่มีการวางแผน
  • 7. มีวิสัยทัศน์และเปิดกว้าง                          7. ไม่รับฟังความเห็น
  • 8. มีวุฒิภาวะทางอารมณ์                             8. หวั่นไหวตามสถานการณ์
  • 9. เสียสละและรับผิดชอบ                           9. เห็นแต่ประโยชนส่วนตัว
  • 10. ชื่นชมยกย่องผู้อื่น                               10. เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น

ขอบคุณข้อมูล : หนังสือ The Secret

ทำงานมาก็หลายปีนะค่ะ  สำหรับฉันแล้วคิดว่า น่าจะเป็นน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ถึงแม้จะมีผู้นำที่ดี แต่เจอผู้ตามที่ปฏิบัติงานไม่มีประสิทธิภาพ ทุกอย่างก็ไม่เกิดผล ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีผู้ตามที่ดี แต่เจอผู้นำที่นำไปผิดทิศผิดทาง ทุกอย่างก็ไม่เกิดผลเช่นกัน ทุกอย่างถ้าทำงานเป็นทีม ได้ทั้งใจ ได้ทั้งงาน

 

26 มิถุนายน 2010

โดนมั้ย พี่น้อง…

Filed under: ไม่ได้จัดหมวดหมู่ — nuaor @ 9:38 (เช้า)

fw : Thanyalak Boonlue

คนเราเปรียบเหมือนเหรียญ  2 ด้าน มีทั้งข้อดีและข้อเสียนะค่ะ แต่จงทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด และทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน เพราะวันนี้เป็นพื้นฐานของอนาคต

16 มิถุนายน 2010

ผู้กล่าวคำเท็จอยู่ จะไม่ทำความผิดอื่น เป็นไม่มี

Filed under: ไม่ได้จัดหมวดหมู่ — nuaor @ 2:06 (เย็น)

เรื่องมีอยู่ว่า

นาย ก. ไปพบสาวแสนสวยผู้หนึ่งในงานเลี้ยง ด้วยความต้องตาเพราะท่าทางที่น่ารักของเธอ จึงเดินเข้าไปทำความรู้จักหวังตีสนิทด้วย “ขอโทษครับ ขอผมนั่งคุยด้วยสักครู่ได้ไหมครับ”

“อุย เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าครับ”

 ”เปล่าหรอกครับ แค่ผมพบคุณครั้งแรกผมรู้สึกเหมือนมีแม่เหล็กทางจิตที่ดูดผมให้เข้ามาทำความรู้จักกับคุณ”

 ”ดื่มวายเย็น ๆ สักแก้วไหมครับ”

“ไม่ละคะ ผิดศีลข้อ 5 ดิฉันไม่ดื่มน้ำเมาทุกชนิด” 

“ไม่เช่นนั้น ผมขออนุญาตตักข้าวขาหมูปากซุงให้คุณทานสักจากได้ไหมครับ”

 ”อย่า เลยคะ ดิฉันเป็นมังสวิรัต ไม่ทานเนื้อสัตว์ เพราะดิฉันคิดว่าการทานเนื้อสัตว์เป็นการส่งเสริมให้มีการทำร้ายชีวิตสัตว์ ดิฉันสงสารมัน ผิดศีลข้อที่ 1 ค่ะ”                                                     

 ”ถ้าคุณไม่รังเกลียด เสาร์นี้ผมอยากจะขอชวนคุณไปเที่ยวหัวหิน ผมมีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่นั้น”

 ”ไม่ดีดอกค่ะ หญิงชายไปในที่ลับตาคนสองต่อสอง มันไม่งาม หากไม่มีสติที่ดีพอสถานการณ์มันง่ายที่จะทำให้เราต้องผิดศีลข้อ 3″

“ผมไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น”

“คุณจะรับผมเป็นเพื่อนสักคนได้ไหมครับ” พร้อมหยิบดอกกุหลาบสีชมพูให้

“ไม่ดีหรอกค่ะ กุหลาบดอกนี้เป็นของเจ้าของงาน  ไม่ใช่ของคุณ ถ้าดิฉันรับมาก็เหมือนร่วมทำผิดกับคุณคือลักทรัพย์ มันผิดศีลข้อที่ 2 นะคะ”                                                       

“มิได้ค่ะ มีศีลข้อเดียวเท่านั้นที่ดิฉันไม่สามารถรักษาได้ คือ ศีลข้อที่  4 ”

“….!….”

มิน่าเล่าถึงได้พุทธวจนะที่ว่า…  “ผู้กล่าวคำเท็จอยู่ จะไม่ทำความผิดอื่น เป็นไม่มี”

โทษของการละเมิดศีลข้อที่ 4 

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มุสาวาท (พูดปดหลอกลวง) ที่บุคคลทำจนคุ้น ฯลฯ ย่อมเป็นเหตุให้เกิดในนรก ฯลฯ

วิบาก คือ เศษกรรมของการพูดปดหลอกลวง อย่างเบาที่สุด ย่อมชักให้ผู้ทำ ซึ่งเป็นมนุษย์กลายเป็นคนถูกกล่าวตู่ด้วยความเท็จ

จากคำสอนของพระพุทธองค์ทำให้เห็นว่า กรรมหรือผลกรรมของการโกหกนั้นพอสรุปคร่าวได้ดังนี้

ผลที่เกิดขึ้นเป็นการภายนอก

 เห็นง่าย คือ คนเขาจะไม่เชื่อถือ พูดอะไรไปแม้จริง ก็มีกระแสบางอย่างทำให้เข้ารู้สึกมัว ๆ ขัด ๆ เพราะคนโกหกประจำจะดูกะล่อน ๆ สัมผัสรู้สึกได้

ผลที่เกิดขึ้นเป็นการภายใน

เห็นยาก แต่รู้ได้ถ้าเลิกเข้าข้างตัวเอง คือใจจะปรุงแต่ง ฟุ้งไปในอุปาทานนานาชนิดอยู่ตลอด หลอกคนอื่นบ่อย  ๆ ในที่สุดก็หลอกกระทั่งตัวเอง ยิ่งหม่นมืดยิ่งมองไม่เห็นว่าหลอก นึกว่าดี นึกว่าไม่เป็นไร

การโกหกเป็นเรื่องที่ไม่ดีอยู่แล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่ที่กรณีบางครั้ง บางคนอาจโกหกเพราะจำใจ แต่ที่แน่ ๆ พวกโกหกทำให้คนอื่นดูไม่ดีในสายตาคนอื่น ทั้ง ๆ ที่แท้จริง คน ๆ นั้นเป็นคนดี อันนี้บาปหนา  บาปหนักแน่นอน

ฉันเคยเจอมาก็หลายครั้งหลายครา  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขาโกหก แต่ก็บอกไปเสมอ ว่า”ไม่เป็นไร” บอกกับใจตัวเองว่า ฉัน “อภัยให้” แต่ผลของการกระทำที่เขาทำ มันก็ยังเป็นบาปติดตัวเขาไป “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”

 

ข้อมูล :  http://www.thammachuk.com

 

 

11 มิถุนายน 2010

รางรถไฟกับการตัดสินใจ

Filed under: ไม่ได้จัดหมวดหมู่ — nuaor @ 1:12 (เย็น)

มีเด็กกลุ่มหนึ่งเล่นกันใกล้รางรถไฟ 2 ราง
รางหนึ่งอยู่ในระหว่างการใช้งาน
ในขณะที่อีกรางหนึ่งไม่ได้ใช้งานแล้ว
มีเพียงเด็กคนเดียวเท่านั้นที่เล่นบนรางที่ไม่ได้ใช้งาน
ส่วนเด็กที่เหลือนั่งเล่นอยู่บนรางที่ยังใช้งานอยู่เมื่อรถไฟแล่นมา คุณอยู่ใกล้ๆที่สับรางรถไฟ
คุณสามารถเปลี่ยนทางรถไฟไปยังรางที่ไม่ได้ใช้งาน
เพื่อช่วยชีวิตเด็กส่วนใหญ่
แต่นั่นหมายถึงการเสียสละชีวิตของ
เด็กคนที่เล่นอยู่บนรางที่ไม่ได้ใช้งาน

หรือคุณเลือกจะปล่อยให้รถไฟวิ่งทางเดิม?

ลองหยุดคิดสักนิด มีทางเลือกใดที่เราสามารถตัดสินใจได้
คุณต้องทำการตัดสินใจก่อนที่จะอ่านต่อไป
แต่ รถไฟไม่สามารถหยุดรอให้คุณไตร่ตรองได้

คนส่วนมากอาจเลือกที่จะเปลี่ยนทางรถไฟ
และยอมสละชีวิตของเด็กคนนั้น

ผมคิดว่า คุณก็อาจจะคิดเช่นเดียวกัน
แน่นอน ตอนแรกผมก็คิดเช่นนี้เพราะการช่วยชีวิตเด็กส่วนมาก
ด้วยการเสียสละชีวิตเด็กหนึ่งคนนั้นดูสมเหตุผล
ทั้งทางศีลธรรมและความรู้สึก

แต่คุณเคยคิดบ้างไหมว่าเด็กที่เลือกเล่นบนรางที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว
ที่จริงเขาได้ตัดสินใจถูกต้อง ที่จะเล่นในสถานที่ๆปลอดภัยแล้วต่างหาก
แต่ทว่า เขากลับต้องเสียสละชีวิตให้กับเพื่อนที่ไม่ใส่ใจ
และเลือกที่จะเล่นในที่อันตราย

สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นรอบตัวเราทุกวัน
ในสถานที่ทำงาน ย่านชุมชน การเมือง
โดยเฉพาะในสังคมประชาธิปไตย
คนกลุ่มน้อยมักจะถูกเสียสละให้กับผลประโยชน์ของคนหมู่มาก

แม้ว่าคนกลุ่มน้อยจะฉลาด มองการณ์ไกล และคนหมู่มากจะโง่เง่า ไม่ใส่ใจก็ตาม
เด็กคนที่เลือกที่จะไม่เล่นบนรางที่อยู่ในการใช้งานตามเพื่อนๆของเขา
และคงไม่มีใครเสียน้ำตาให้หากเขาต้องสละชีวิตก็ตาม

เพื่อนที่ส่งต่อเรื่องนี้มาบอกว่า เขาจะไม่พยายามเปลี่ยนเส้นทางรถไฟ
เพราะเขาเชื่อว่าเด็กที่เล่นอยู่บนรางที่อยู่ในการใช้งานย่อมรู้ดีว่า
รางนั้นยังอยู่ในระหว่างการใช้งาน
และพวกเขาควรจะหลบออกมาเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงหวูดรถไฟ

ถ้าทางรถไฟถูกเปลี่ยน เด็กหนึ่งคนนั้นต้องตายอย่างแน่นอน
เพราะเขาไม่เคยคิดว่ารถไฟจะเปลี่ยนมาใช้เส้นทางนั้น
นอกจากนั้น รางที่ไม่ได้ถูกใช้งานอาจเป็นเพราะรางนั้นไม่ปลอดภัย
ถ้ารถไฟถูกเปลี่ยนเส้นทางมาที่รางนี้
เราทำให้ชีวิตของผู้โดยสารทั้งหมดตกอยู่ในอันตราย
ในขณะที่คุณพยายามช่วยชีวิตเด็กจำนวนหนึ่งโดยการสละชีวิตเด็กหนึ่งคน
อาจกลายเป็นการสังเวยชีวิตผู้คนนับร้อยก็เป็นได้

เรารู้ว่าชีวิตเต็มไปด้วยการตัดสินใจอันยากลำบาก บางครั้งเราอาจลืมไปว่า
การตัดสินใจอันรวดเร็วใช่จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
จำไว้ว่า สิ่งที่ถูกต้องไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่นิยมปฎิบัติ
และสิ่งที่เป็นที่นิยม ไม่จำเป็นต้องถูกต้องเสมอไป
ทุกๆคนสามารถทำสิ่งผิดพลาดได้
และนั่นคือเหตุผลที่เขาใส่ยางลบไว้ที่ปลายของดินสอ

fw mail

10 มิถุนายน 2010

เสพติด “เฟซบุ๊ก” “facebook”

Filed under: ไม่ได้จัดหมวดหมู่ — nuaor @ 12:54 (เย็น)

  

กระแสความนิยมเว็บสังคมออนไลน์ “เฟซบุ๊ก” ทำให้เกิดโรค หรืออาการผิดปกติด้านพฤติกรรมชนิดใหม่ ที่นักจิตวิทยาเรียกว่า”เฟซบุ๊ก แอดดิกชั่น ดิสออร์เดอร์” (เอฟเอดี)เมื่อเดือนเศษๆ ที่ผ่านมานี่เอง สำนักข่าวใหญ่ “ซีเอ็นเอ็น” เพิ่งทำสกู๊ปข่าวพิเศษเกี่ยวกับอาการ “เสพติดเฟซบุ๊ก” การเล่นเว็บเฟซบุ๊กดังกล่าวพร้อมกับระบุว่า ปัจจุบันมีชาวอเมริกันต้องเข้ารับการบำบัด “เอฟเอดี” มากขึ้นตามลำดับเนื่องจาก ทุ่มเทเวลาให้กับ “โลกเสมือน” ในเฟซบุ๊ก มากกว่าโลก สภาพแวดล้อม หรือสังคมรอบตัวจริงๆ!พอลลา ไพล์ นักจิตวิทยาแก้ปัญหาครอบครัวในรัฐนอร์ธแคโรไลนา เปิดเผยผ่านซีเอ็นเอ็น ว่าตัวเฟซบุ๊กเองนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ “คนเล่น-ผู้ใช้” ต่างหาก ที่ควบคุมพฤติกรรมตนเองไม่ได้

เพราะหลงเพริศจมจ่อมอยู่กับโลกแห่งความฝัน-ความไม่จริง -ความฉาบฉวยในสังคมออนไลน์

ด้าน โจอันนา ลิพารี นักจิตวิทยามหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย บอกว่า ทุกๆ คนในเฟซบุ๊กมีเป้าหมายอยากหา “เพื่อน” จึงพยายาม นำเสนอแต่แง่มุมความสนุกสนาน สดใจ ร่าเริง มีความสุข เพื่อดึงดูดอีกฝ่าย

ถ้าใครหลงผิด ไม่เข้าใจประเด็นนี้ก็อาจ “เสียคน” เพราะเฟซบุ๊กได้ง่ายๆ

ลิพารีแนะนำวิธีตรวจตัวเอง 5 ประการว่า เรามีอาการเสพติดเฟซบุ๊กหรือไม่ ดังนี้

1.ยอมอดนอนเพื่อเพิ่มเวลาเล่นเฟซบุ๊ก

2.เสียเวลาเล่นเฟซบุ๊กมากกว่าวันละ 1 ชั่วโมงขึ้นไป

3.คลั่งไคล้หลงใหลการติดต่อกับ “คนรักเก่า” ผ่านเฟซบุ๊ก เช่น คนรักสมัยเรียน จนอาจสร้างปัญหากับครอบครัวปัจจุบัน

4.เลือกใช้เวลาท่องเฟซบุ๊ก มากกว่าการตั้งใจทำงาน

และข้อสุดท้ายค่ะ รู้สึกกระวนกระวายใจ เครียด และวิตกกังวลเวลาต้องหยุดเล่นเฟซบุ๊ก

แต่สำหรับคนที่บริหารเวลาเป็น คงไม่กระทบต่อทำงาน

 

 

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

 

 

 

8 มิถุนายน 2010

แม่กับเจ้านาย

Filed under: ไม่ได้จัดหมวดหมู่ — nuaor @ 4:45 (เย็น)

แม่ของฉัน กับเจ้านายของฉัน ……… ใคร เคยทำกับแม่แบบนี้บ้าง ?

ทุกวัน ฉันต้องตื่นเช้า เข้างานแปดโมง วันนี้..ก็เหมือนเคย
แต่เมื่อคืนฉันทำงานจนดึก
ตื่นสาย.. อารมณ์ตอนนั้น โมโหตัวเองมาก ที่ลืมตั้งนาฟิกาปลุก
( โดนเจ้านายด่าแน่ๆ )

แม่มาเคาะประตูห้อง …
 ” ตื่นหรือยังลูก หกโมงแล้ว ”
ฉันหงุดหงิดมาก ……….. โธ่ !! แล้วทำไมแม่ไม่ปลุกหนูให้เร็วกว่านี้
เนี่ย..หนูไปทำงานไม่ทันแล้ว วันนี้..มีประชุมด้วย
” แม่ทำข้าวต้มให้หนูอยู่ เมื่อคืนเห็นนอนดึก
อยากให้กินอะไรร้อนๆหน่อย ” ……..
แม่ไม่ต้องมาพูดเลย ไม่กง ไม่กินมันแล้ว
…. แม่จับแขนฉันเบาๆก่อนเดินออกจากห้อง
อาบน้ำ แต่งตัวเสร็จ ลงมาข้างล่าง แม่นั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าว
” กินข้าวต้มกับแม่ก่อนนะลูกนะ แม่รอหนูอยู่ ”
หนูไม่กิน พูดโดยไม่มองหน้าแม่ เดินออกมาจากบ้านทันที

ถึงที่ทำงาน
” ไม่รู้หรืองัย ว่าวันนี้มีประชุม แล้วรายงานอยู่ไหน ”
ยกมือไหว้ .. ขอโทษค่ะพี่ …รีบส่งรายงานให้อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
” พี่เลื่อนประชุมไปเป็น 10 โมงนะ เดี๋ยวช่วยไปหาอะไรให้พี่กินหน่อยสิ ”

… ได้ค่ะพี่ …
วิ่งเข้าห้องครัว หยิบโจ๊กกึ่งสำเร็จรูป รีบ รีบ รีบ เติมน้ำร้อน ..
ว๊า !! น้ำร้อนลวกมือ ..
มาแล้วค่ะพี่ โจ๊กร้อนๆเลยค่ะ….

ออกจากห้องประชุมเกือบเที่ยง แม่โทรมาจากบ้าน
” เมื่อเช้า.. หนูวางผ้าเช็ดหน้าไว้ตรงไหนลูก แม่หาในตะกร้าไม่เจอ
จะเอาไปซักน่ะ ”
หาไม่เจอก็ไม่ต้องซักหรอก หนูจำไม่ได้ คงโยนไว้ที่ไหนน่ะแหละ

เมื่อเช้าหนูรีบ …….
” ไม่เป็นไรลูก แล้วเย็นนี้..กลับกี่โมง มากินข้าวกับแม่นะ ”
ยังไม่รู้หรอกแม่ ว่างานเสร็จเมื่อไหร่
ยังงัย..แม่กินไปก่อนเลยแล้วกัน ไม่ต้องรอ …..
วางหูโทรศัพท์ ก้มหน้า ก้มตาทำงาน เอาใจเจ้านาย ….

” เอ!! พี่วางบัญชีรายชื่อลูกค้าทิ้งไว้แถวนี้มั่งรึเปล่า

ไม่รู้ไปลืมไว้ที่ไหน หาไม่เจอ..
ไม่เป็นไรค่ะพี่ เดี๋ยวหนูช่วยหา
พี่ลงไปทานข้าวเถอะค่ะเที่ยงกว่าแล้วนะคะ
… หา หา หา หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
โธ่..พี่ขา ก็พี่มาทำหล่นไว้ใต้เก้าอี้ในห้องประชุมนี่นา
โอย !! เที่ยงครึ่งแล้ว ลงไปกินข้าวไม่ทันแน่ๆ
ไม่เป็นไร..บะหมี่ซักห่อพออิ่มก็แล้วกัน

… พี่คะ
เจอแล้วนะคะ พี ่ทำหล่นไว้ที่ห้องประชุมค่ะ
” อ้าว..เหรอ ” รับเอกสาร?ืน ไม่มีแม้แต่ขอบใจสักคำ
แต่ฉันกลับปลื้ม ที่ทำให้เจ้านายพอใจได้ ใกล้เลิกงานแล้ว.. รีบกลับบ้านไปนอนดีกว่า
” ช่วยแก้งานตรงนี้ให้พี่หน่อยนะ เสร็จแล้ววางไว้บนโต๊ะพี่เลย

พี่กลับก่อนล่ะ ว่าแต่ว่า เราน่ะมีธุระอะไรรึเปล่า คงต้องกลับช้านิดนึงนะวันนี้ ”
.. ยิ้มรับ.. ไม่มีธุระอะไรค่ะพี่ เดี๋ยวหนูพิมพ์ให้เลยค่ะ
โทรหาเจ้านายตอนเกือบทุ่ม .. พี่ขา หนูแก้ไข

และตรวจทานเรียบร้อยแล้วค่ะ หนูวางไว้บนโต๊ะนะคะ

” กลับดึกจังลูก จะอาบน้ำก่อน หรือ กินข้าวก่อนล่ะ ?? ”
… เงียบไม่มีเสียงตอบ
ไม่มีรอยยิ้ม …
” มา มา แม่ช่วย ” แม่รวบของจากมือฉันไปวางบนโต๊ะ ..
หนูเหนื่อยมากเลยแม่
หนูอยากพักผ่อน
กำลังจะเดินขึ้นห้อง ..
ฮัลโหล..สวัสดีค่ะ…เจ้านายเหรอคะมีอะไรรึเปล่าคะ ..
อ๋อ !! ไม่ยุ่งค่ะ เดี๋ยวหนูจัดการให้เลยค่ะ
กุลี กุจอ เปิดคอมพิวเตอร์ … เจ้านายคะ เรียบร้อยแล้วค่ะ

แม่..หายไปไหน ในครัวไม่มี ห้องนอนไม่มี
. . . แม่นั่งอยู่หลังบ้านเหงา ๆ คนเดียว . . .

แม่แอบร้องไห้ … เ พราะฉันสินะ ฉันทำให้แม่ต้องร้องไห้
แม่..ดูแลฉันมาทั้งชีวิต
เป็นห่วงฉัน รักฉันมากกว่าใครๆ
แต่..ฉันตอบแทนได้สาสมเหลือเกิน
ฉันเริ่มทบทวน… เจ้านายคนที่ให้เงินเดือนฉัน

กับ แม่คนที่ให้ความเป็นคนแก่ฉัน
เพื่อประจบสอพลอเจ้านาย ฉันทำร้ายผู้ให้กำเนิดได้เพียงนี้เลยหรือ…

แม่ …
หนูขอโทษ
ใคร ??? เคยเป็นแบบฉันบ้าง ……

……………………………………………………………………

ใน ชั่วชีวิตของคุณ คุณอาจจะเปลี่ยนงานหลายๆ ครั้ง

คุณอาจจะมีเจ้านายนับไม่ถ้วน แต่ตลอดชีวิตของคุณ…..

คุณมีแม่มีเพียงคนเดียวค่ะ คนเดียวจริงๆ ทำดีกับท่านไว้เถอะค่ะ

อย่าทำให้ท่านต้องร้องไห้เพราะการกระทำของคุณเลย….

คุณอาจจะรักท่านน้อยลง ทุกๆ วัน แต่ท่านไม่เคยรักคุณลดลงเลย

ตรงกันข้ามท่านกลับรักและเป็นห่วงคุณมากขึ้นทุกๆ วัน….

อะไรดี ดี ที่อยากให้คนวัยทำงานได้อ่านกันเยอะ ๆ 

เราหันมาดูแลคนใกล้ตัว คนในครอบครัวกันให้มาก

เราจะรอถึงเมื่อไร เพราะเขาอาจจะไม่ได้อยู่ให้เราดูแล

สิ่งดีดี จาก  www.teenee.com

 

28 ตุลาคม 2009

สิ่งที่พระพยอมเสียใจที่สุดในชีวิต‏

Filed under: ไม่ได้จัดหมวดหมู่ — nuaor @ 2:23 (เย็น)

พระพยอม เล่ากรรมที่ทำกับพ่อ

สิ่งที่พระพยอมเสียใจที่สุดในชีวิต

โยมพ่อของอาตมาเป็นคนขี้เหล้า… หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็กินเหล้าหมด

พอเมาก็ดุด่าโยมแม่กับอาตมา อาตมาไม่ชอบพ่อมาก…….

วันหนึ่ง โยมพ่อเมากลับบ้านไม่ได้ มีคนให้อาตมาพายเรือไปรับ

ตอนนั้น อาตมายังเป็นวัยรุ่น ทำงานมาทั้งวันก็อยากจะนอน….อยากพักผ่อน….

อาตมารู้สึกโมโหมาก

พอพายเรือกลับบ้าน ก็ทิ้งโยมพ่อไว้ในเรือ

แต่พ่อเมามากลุกไม่ไหว ตะโกนเรียก….

” ไอ้ยอม… ไอ้ยอม… มาอุ้มกรูขึ้นบ้านหน่อย… กรูขึ้นไม่ไหว “

ไอ้เราก็ทนรำคาญไม่ไหว เดินกระทืบเท้า ตึง.. ตึง.. ตึง..

กระชากร่างพ่ออุ้ม ในขณะที่อุ้ม..

ความรู้สึกเจ็บแค้นที่พ่อทำให้เราลำบาก ชอบด่าว่าเราเจ็บๆ

พออุ้มพ่อขึ้นมาจากเรือ… ถึงหัวสะพาน

จับร่างพ่อกระแทกกับหัวสะพาน ก้นพ่อกระแทกกับ พื้นไม้อย่างแรง
เสียงดังโครม….

พ่อแกร้องไห้…. แล้วพูดว่า

” ไอ้ยอมนะ… ไอ้ยอม.. กรูอุ้มมรึงมาแต่เล็กแต่น้อย….กรูนอนหลับ.. แต่มรึงไม่ยอมนอน… ร้องไห้กวน..

กรูต้องลุกมาอุ้มมรึง…ร้องเพลงกล่อมให้มรึงนอน

จะไปไหนมรึงไม่ไหว.. มรึงเหนื่อย.. กูก็ต้องอุ้มมรึง.. ทั้งที่กรูก็เหนื่อย

กรูอุ้มมรึง.. มรึงทั้งขี้..ทั้งเยี่ยว.. ใส่กรู

แต่กรูไม่เคยทุ่มมรึงลงกับพื้นเลย….

เพราะกรูรักมรึง……

วันนี้… มรึงอุ้มกรู เหล้ากรูไม่ได้หกโดนมรึงสักนิด มรึงทุ่มกรูลงพื้นทำไม…..”


พอพ่อพูดจบ น้ำตาไม่รู้มาจากไหน มันไหลพรูลงมาอาบสองแก้ม

อาตมาเจ็บปวดหัวใจเหลือเกินก้มลงกราบพ่อ แล้วพูดว่า


” พ่อครับ ต่อจากนี้ไป… ผมจะอุ้มพ่อตลอดชีวิต

โดยไม่บ่นและทุ่มพ่อ ลงพื้นอีกแล้วละครับ”

หลังจากนั้น อาตมาทำงานอย่างหนักเพื่อมาให้พ่อ หวังให้พ่อสบายขึ้น

แต่เมื่อถึงวันนั้น มันก็สายไปแล้ว

โยมพ่อได้จากอาตมาไปแล้ว

คิดแล้วมันทรมานใจเหลือเกิน อาตมาทำผิดพลาดไปแล้ว และแก้ไขไม่ได้

จึงอยากเตือนทุกคนเอาไว้ ไม่อยากให้เสียใจไปตลอดชีวิต

แล้วคุณล่ะ เคยทำอะไรให้พ่อเสียใจบ้างหรือเปล่า

บางครั้งเราอาจเข้าใจท่านผิดบ้างครั้งท่านเฉยเราก็คิดว่าท่านไม่สนใจ

แต่พอเราโตเราก็จะรู้เองว่า

สิ่งที่ท่านทํากับเรามันเป็นสิ่งที่ท่านหวังดีกับเราเสมอ

ขอให้รู้จักค้นหาหัวใจตัวเองให้ทันเวลา

ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป…..”


———————————————
สำหรับบางคน……บางสิ่งบางอย่าง ลำบ๊ากลำบาก แต่เราสามารถ มุมานะทำเพื่อแฟนหรือคนรักของเรา

แต่บางสิ่งง่ายๆ สำหรับพ่อแม่ของเรา เรากลับไม่ค่อยอยากทำให้ท่าน

ทั้งๆที่ท่านลำบากเลี้ยงเรามา มาคิดได้เมื่อสายไปแล้ว….


เคยได้ยินมาว่า….ข้าวร้อนๆกับปลาเค็ม 1 ชิ้น ตอนพ่อมีชีวิตอยู่

มีค่ามากกว่า “เนื้อมังกร…หน้าศพ” ตอนพ่อตาย…

 

ขอบคุณ mail : จากเพื่อนดีดี 

“อ่านแล้วน้ำตาไหล อยากจะบอกพ่อว่า “”รักพ่อที่สุด”"

20 กันยายน 2009

“ทำบุญ”

Filed under: ไม่ได้จัดหมวดหมู่ — nuaor @ 11:05 (เย็น)

วันที่  20  กันยายน  2552  nuaor กับญาติ ๆ ออกเดินทางไปทำบุญที่วัดแม่ตะไคร้ ตั้งแต่เวลา 6.15 น. ไปถึงวัดประมาณ 8.00 น.  พี่สาวได้นำซองที่ร่วมทำบุญไปส่ง และไปรับใบคิวเพื่อที่จะสักยันต์จากอาจารย์หนู กันภัย หลังจากนั้น มีพระจากวัดต่าง ๆ มาปลุกพระโพธิสัตว์ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ขนาดจำลอง โดยเริ่มพิธีตั้งแต่ 10.39 จนถึง 17.00 น. ซึ่งเวลาประมาณ 15.00 น. มีพระเกจิฯ ชื่อดังทางภาคเหนือหลายรูปพร้อมด้วยอาจารย์หนู กันภัย มาร่วมในพิธีเสริมดวง หนุนดวง ปลุกเสกคน 555

อะไรที่ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ค่ะ ณ ตอนนั้น อาจารย์หนูได้ปลุกเสกของ แล้วให้คนที่มาเข้าร่วมพิธีถือไ้ว้ แล้วนำมีดคัดเตอร์มากรีดตรงข้อมือหลาย ๆ ครั้ง ยังแอบนึกขำไม่หายค่ะ พี่คนถูกอาจารย์หนูกรีดตรงข้อมือ หน้าซีด แต่ถ้าเป็น nuaor คงเป็นลมไปแล้วล่ะ  ผลปรากฎว่ามีแต่รอยแดง ๆ  และได้ทำการปลุกเสกต่อ โดยให้ผู้ที่เข้าร่วมพิธีนำฝ้ายสายสินจ์มาพันรอบศรีษะไว้ แล้วให้หลับตา หายใจเ้ข้าใจลึก ๆ เร็ว ๆ พระอาจารย์ได้บอกไว้ว่ายิ่งหายใจลึก และเร็ว เท่าไร สิ่งที่ไม่ดีในตัวเราก็จะออกไปหมด ให้มีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามา แล้วอธิฐานจิต สักครู่เท่านั้นค่ะ อาการของขึ้นที่เคยได้ยินเขาเล่ามา(แต่ก็แอบไม่เชื่อ)

ณ เวลานี้พึ่งรู้ว่ามันเป็นจริงอย่างที่เขาเล่ากัน มีเสียงคำราม ของลูกศิษย์หลายคนที่เคยได้สักยันต์ต่าง ๆ กับอาจารย์หนู บางคนก็วิ่งรอบพิธี บางคนก็ดิ้นหลุดจากเก้าอี้ที่นั่ง แต่สำหรับ nuaor กับญาติ มีอาการเช่นเดียวกันค่ะ คือมือที่พนมมือไหว้ตรง ๆ เกิดอาการหงิกงอ ตัวสั่น น้ำตาไหล เหงื่อออกท่วมตัว  เมื่อมีสติก็พยายามแยกมือที่หงิกงอออกจากกันก็ทำไม่ได้ จนเสร็จพิธีพระอาจารย์บอกว่าให้ค่อย ๆ ลืมตา อาการที่ว่าหายไปหมดเลยค่ะ แต่คนที่มีอาการมาก ๆ ก็ยังไม่หายจากอาการที่เป็น หลังจากนั้นก็ไปสักยันต์ 5 แถว การสักจะมีอยู่ 2 แบบค่ะ คือ สักน้ำมันกับสักหมึก อาจารย์หนู บอกให้หายใจเข้าลึก ๆ เร็ว ๆ พร้อมกับอธิฐานจิต ครั้งแรกที่คิดว่าจะเจ็บกับไม่เจ็บเลยค่ะ อิอิ

ความเป็นมาของวัดแม่ตะไคร้

ปลายปี พ.ศ. 2551 อาจารย์หนู  กันภัย  ได้ซื้อที่ดินฝั่งตรงข้ามวัดแม่ตะไคร้ จำนวน 7 ไร่ 52 ตารางวา เป็นเิงิน 1,900,000 บาท ถวายให้วัดแม่ตะไคร้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ โดยมีพระใบฎีกาเทียนชัย สุภัทโท(เจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้) เป็นผู้รับมอบให้เป็นธรณีสงฆ์

ปี  พ.ศ. 2552 นี้อาจารย์หนู ได้ริเริ่มโครงการสร้างบุญทานบารมีครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง โดยสร้างองค์หลวงปู่ทวดปางประทับยืนที่มีความสูง 29 เมตร  58 ศอก กระทั่งเมื่อวันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศง 2552 ตรงกับวัน(แรม 8 ค่ำ เดือน 4) เวลา 09.09 น. ซึ่งถือเป็นวันมหามงคลฤกษ์  พระใบฎีกาเทียนชัย สุภัทโท ได้กำหนดฤกษ์ตอกเข็มส่วนฐานทั้งหมด ขององค์หลวงปู่ทวด และถือเป็นวันเริ่มต้นของการก่อสร้างองค์หลวงปู่ทวดปางประทับยืนองค์แรกที่ใหญ่ที่สุดและสูงที่สุดในประเทศไทย

วันนี้เป็นการทำบุญครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมีพระเกจิฯ ชื่อดังหลายรูปมาปลุกเสกพระโพธิสัตว์ หลวงปู่ทวด ขนาดจำลอง ให้บูชา  เพื่อนำรายได้ทั้งหมดมาร่วมสมทบทุนการสร้างหลวงปู่ทวด หนุนดวง เสริมดวง ปลุกเสกคน ซึ่งอาจารย์หนู มีการสักยันต์ให้ผู้ที่ได้จองการสักไว้ เช่น  การสักยันต์ 5 แถวหนุนดวง และการสักยันต์ต่าง ๆ

ความหมายของยันต์  5 แถวหนุนดวง

แถวที่ 1 แก้ฮวงจุ้ย  ที่อยู่อาศัย ทางสามแพ่ง ซอยตัน ประตูตรงกันหรือธรณีศาลต้องโทษ แถวที่ 1 จะช่วยให้ผลดีที่สุด

แถวที่ 2 หนุนดวง เช่น ดวงตก ดวงขาด พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกทำอไรก็ไม่ดี เรื่องกลับกลายเป็นดี

แถวที่ 3 กันคุณกันการกระทำ กันลมเพลมพัด กันคนปล่อยของถูกของกันผีกันสาง กันเสนียดจันไร แถวที่ 3 นี้ป้องกันได้ดีนัก

แถวที่ 4 โชคลาภแห่งความสำเร็จ  ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ช่วยให้ประสบความสำเร็จไปด้วยดี

แถวที่ 5 เป็นเสน่ห์เมตตามหานิยม เป็นที่เมตตาฝ่ายตรงข้ามชะมังนัก

ข้อห้ามของผู้ที่เข้ารับการสักยันต์

บุรุษเพศ(ชาย)

1.  ห้ามทุบตี-ด่าว่า-บุพการีผู้ให้กำเนิด

2. ห้ามไปผิดเมียของผู้อื่น

3. ห้ามลบหลู่หรือดูหมิ่น ครูอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา

สตรีเพศ(หญิง) มีข้อเดียวค่ะ

1.  ห้ามทุบตี-ด่าว่าบุพการีผู้ให้กำเนิด ส่วนข้ออื่น นั้นไม่มีข้อถือค่ะ

บันทึกใหม่กว่า »

Powered by WordPress