Learning From Accident
การฟังคนอื่นเล่า มันไม่เท่าการเจอด้วยตัวเอง
ใครจะคิดว่าผลจากการตั้งใจไปทริปแบบชิวๆ มันจะจบลงแบบนี้
จำไม่ได้ว่าก่อนไป ทำงานหนักติดต่อกันอยู่กี่วัน
แต่จำได้แค่ว่า คืนก่อนวันที่ไปนั้น ได้นอนไม่เกิน 2 ชั่วโมง
แล้วก็วุ่นวายทั้งวัน ตั้งแต่เช้ายันดึก
ออกเดินทางประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง
นั่งฟังเพลง เล่นเอ็ม เล่นเฟสไปในรถ
พอถึงสระบุรีได้ไม่เท่าไหร่ก็หลับ
พี่สู้ยังถามว่าจะนอนอะไรตอนนี้ อีกนิดเดียวจะถึงแล้ว
แต่ด้วยความเพลียก็เผลอหลับไปจนได้
ลืมตาตื่นมาเป็นระยะๆ ครั้งสุดท้ายที่จำได้คือถึงทางรถไฟตรงคลองไผ่
อีกไม่เกิน 30 กม.จะถึงที่หมาย
ก็เลยหลับต่อไปเรื่อยๆ
รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่ารถกำลังเสียหลัก
ชนอะไรไม่รู้มากมาย แล้วก็หยุด
พยายามถามตัวเองว่าฝันรึเปล่า
ไม่จริงใช่มั้ย
แล้วสุดท้ายก็พบว่า
ทั้งหมดคือเรื่องจริง
นั่งงงอยู่ที่เดิม เพราะโดนเข็มขัดนิรภัยล๊อคไว้
หันไปเรียกพี่สู้ว่ายังโอเคมั้ย
รู้สึกว่าตัวเปียก หนาว แต่ไม่เจ็บ
กลัวจนบอกไม่ถูก
ตีสองครึ่ง ในคลองข้างถนนกลางไร่
ที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะมีคนผ่าน
กระจกรถแตก น้ำเริ่มเข้ามาในรถเรื่อยๆ
พี่สู้ชวนปีนออกไป พยายามอยู่นาน เพราะไม่รู้ว่าจะออกไปได้ยังไง
ช่องกระจกมีแต่นั้น ไม่รู้จะออกยังไง
กลัวมาก และหนาวมาก
หันไปเจอต้นไม้เล็กๆ แล้วก็พยายามหาที่เหยียบ
สุดท้ายก็เหยียบพวงมาลัย แล้วโหนต้นไม้ออกไป
ทำอะไรไม่ถูก ไปยืนหนาวอยู่ข้างถนน
สิ่งที่คิดได้ตอนนั้นคือ แม่จะว่ายังไง
จะทำอะไรต่อ รอดมาได้ยังไง
และสุดท้าย เรายังติดค้างอะไรกับใครบ้าง
เรื่องแม่ โอเค ไม่ได้บาดเจ็บรุนแรง คงไม่ต้องบอก
จะทำอะไรต่อ รอดมาได้ไง ไม่รู้
ข้อที่สำคัญที่สุดก็คือ
ยังติดค้างอะไรกับใครบ้าง???
ถ้าวันนี้ไม่รอด มีอะไรที่ยังค้างคาใจ
สิ่งที่คิดได้ตอนนั้น
คือเรื่องของเพื่อนรักคนหนึ่ง
คนที่ไปทำให้เค้าโกรธมาก
จนถึงขั้นตัดความเป็นเพื่อนได้
ยังไม่มีโอกาสได้ขอโทษเลย
ดีใจที่ยังมีโอกาสได้กลับมาบอกคำนั้น
ถึงแม้ว่าเพื่อนคนนั้นจะไม่ได้ต้องการคำขอโทษ
และไม่คิดจะให้อภัย หรือโอกาสใดๆอีกต่อไป
แต่อย่างน้อยก็ได้กลับมาบอกแล้ว ไม่มีอะไรติดค้างใครแล้ว
เล่ามาซะยาว ถามว่า ได้เรียนรู้อะไร
สรุปได้สั้นนิดเดียวว่า
เวลาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนก็ตาม
เวลาแค่นิดเดียว คำพูดประโยคเดียว หรือความเร็วรถที่เพิ่มขึ้นนิดเดียว
อาจเปลี่ยนชีวิตเราไปได้ทั้งชีวิต
คำถามก็คือ เมื่อตัวที่เจ็บ กับใจที่เจ็บอยู่รวมกัน เราจะสามารถผ่านพ้นอุปสรรคที่รออยู่ข้างหน้าไปได้อย่างไร???
ในบางทีการได้โอกาสรอดแบบปาฎิหาริย์มาถึงสองครั้ง ก็ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการเสมอไป…
9 ความคิดเห็น
“ยังติดค้างอะไรกับใครบ้าง???
ถ้าวันนี้ไม่รอด มีอะไรที่ยังค้างคาใจ”
เข้าใจประโยคนี้เลยค่ะ เพราะเคยผ่านความเจ็บและได้รับรู้ว่าร่างกายมันเจ็บ-ปวดจนร้าวแต่ใจไม่เจ็บมาเหมือนกัน …ในขณะที่มองคนนอนเฝ้าอยู่เงียบๆ ก็รู้ในใจขึ้นมาว่าชีวิตนี้โชคดีเหลือเกิน โชคดีที่เจอแต่คนดีๆ มีครอบครัวดี มีคนรอบข้างดี และเต็มตื้นจนอยากขอบคุณทุกคนที่เข้ามาในชีวิต แม้แต่เรื่องแย่ๆที่เกิดขึ้นก็อ่อนโยนเพียงพอที่อยากขอบคุณเรื่องราวเหล่านั้นอย่างลึกซึ้งที่ทำให้เติบโตและรู้สึกดีกับการมีชีวิตอยู่อย่างเข้าใจในวันต่อๆมา
เขียนประโยคสั้นๆไว้เตือนความรู้สึกนั้นว่า”ขอบคุณทุกเรื่องราว และมือทุกมือที่ยื่นมาในยามผิดพลาด พลั้งเผลอ”…และตอนนี้ก็ต้องขอบคุณบันทึกนี้ที่ทำให้ระลึกถึงความอบอุ่นของชีวิตอีกครั้ง…ขอบคุณมากค่ะ และสวัสดีปีใหม่นะคะ ยินดีที่ได้รู้จัก ^ ^
เคยนั่งฟังทีมงานเชียงราย(อ.วิศิษฐ์ วังวิญญู) คุยกันเรื่องหลักสูตรการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ห้องนั่งเล่น….วงน้ำชา
เป็นที่มาของบันทึก ทำไมต้องรอให้ถึงวันนั้น http://lanpanya.com/jogger/?p=150
…ในการสนทนากันมีการเล่าประสบการณ์การทำงานเรื่องนี้…..
…ไปช่วยกันดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย จนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ ถามว่ามีอะไรค้างคาใจที่อยากทำ แต่ยังไม่ได้ทำบ้างไหม?
ผู้ป่วยให้ตามหลานมาให้ พอหลานมาถึงก็ขอโทษหลานเพราะเคยมาเรื่องกันมาก่อนสิบกว่าปีแล้ว หลังจากขอโทษหลานก็มีความสุขมากเพราะไม่มีอะไรติดค้างในใจ
คนที่รู้ตัวว่าใกล้ถึงวาระสุดท้ายแล้ว อยากขอโทษหลานตัวเอง เวลาที่ผ่านมาสิบกว่าปีก็ไม่ทำ แต่ก็ยังโชคดีที่มีโอกาสได้ทำก่อนเสียชีวิต
ขอบคุณที่ให้สตินะครับ
ยินดีที่ได้รู้จักทุกท่านค่ะ
สวัสดีคุณน้ำฟ้าและปรายดาว คุณจอมป่วน และคุณbangsai ค่ะ
จะว่าไปอุบัติเหตุครั้งนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมาเองค่ะ
สดๆร้อนๆเลยทีเดียว
ประสบการณ์เฉียดตาย มักเปลี่ยนคนได้ และมักเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
น่าเสียดายที่คนมักไม่ค่อยเปลี่ยนก่อนหน้านั้น เพราะเราคิดว่าเราทำทุกอย่างดีที่สุดแล้้วตลอดเวลา ถ้ามีโอกาสได้หยุดคิดสักนิดหนึ่ง (เหมือนเวลาจะตาย-อัตตาเจือจางลงไป) ก็คงเห็นอีกมุมหนึ่ง
ก็จริงค่ะ
แต่อย่างน้อยชีวิตเราก็ยังมีจุดเปลี่ยน
มันอาจจะสายเกินไปสำหรับบางเรื่อง
แต่ก็ไม่จะไมทุกเรื่อง
และที่สำคัญฒํฯขึ้นอยู่กับว่าเราจะเก็บความรู้สึกที่ได้เรียนรู้ในครั้งนี้ไว้ใช้ได้นานแค่ไหนมากกว่าค่ะ
กลับมาอ่านอีก ก็มันดีน่ะซี
ผมก็มีจุดเปลี่ยนคล้ายๆแบบนี้ แต่ เล่าไม่ได้ มันโป๊เกินไป อิอิ
ถือว่าเป็นโชคดีครับ อย่างน้อยก็ทำให้เราดำเนินชีวิตต่อไปอย่างระมัดระวัง(ไม่ประมาท)มากขึ้น
ของนอกกายไม่สำคัญเท่าชีวิต
ในทางพุทธ เชื่อว่าสภาวะของจิตก่อนสิ้นชีวิตมีผลมากต่อภพภูมิข้างหน้า ถ้าจิตดีก็ได้ภพภูมิดี
แต่สิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการฝึกฝนให้มีสติในชีวิตประจำวัน ฝึกจนเรียกใช้ได้อัตโนมัติ ซึ่งทำได้ยาก
เมื่อผ่านโชคร้ายๆ มาแล้ว (ถ้าเป็นชาวพุทธนะครับ)ก็ลองหาครูบาอาจารย์ฝึกดู เราไม่รู้อนาคตว่าจะโชคดีเหมือนครั้งนี้หรือไม่
แต่ที่แน่ๆ ทุกคนมีโอกาสใช้อย่างน้อยก็หนึ่งครับในชีวิตครับ
ผมนะโดนเต็มๆ ไปด้วยกัน 4 คน
ผมนั่งข้างคนขับ ช่วงบ่ายแก่ๆ
(ประกอบกับอดนอนกันด้วย) รถเลยแหกโค้ง
คนขับกระเด็นทะลุกระจกไปตกอยู่กลางทุ่ง 30 เมตร
ผมไม่ได้รัดเข็มขัดนิรภัย กระแทกประตูออกไป ตกลงในปลักควายสลบเมือด
ซี่โครงหัก ก้นกบหัก เดี๊ยงอยู่บนเตียงหลายเดือน
มีเปอร์เซ็นต์รอด 5 % แต่ก็รอดมาได้
ส่วนเจ้าเพื่อน 2 คนที่นั่งตอนหลัง รถตีลังกาหลายตลบ
คนหนึ่งเสียชีวิตคาที่ในเบาะหลัง
อีกคนกระเด็นออกมาเละข้างถนน
ไป4 รอด 1 นับว่าปาฎิหารย์หรืออะไรก็ไม่รู้ได้
เรื่องน่ี้ใครไม่โดนด้วยตัวเองคงเข้าไม่ถึงความรู้สึกหวาดหวั่นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต
ดังนั้น>> จึงควรหมั่นทำบุญ อยู่อย่างไม่ประมาท และสงบสุข