ค่ายธรรมะปัญญา พัฒนาชีวิตตอนค่ำ: มืดนอกสว่างใน

โดย อุ๊ยสร้อย เมื่อ ตุลาคม 26, 2009 เวลา 9:23 (เย็น) ในหมวดหมู่ การเรียนรู้ชีวิต #
อ่าน: 2759

จากวันแรก ที่เจอว่าทีมวิทยากรมาประชิดตัวบอกว่านักศึกษามีอาการภูมิแพ้กำเริบ

ก็พอดีนักศึกษาโทรฯ เข้ามือถือบอกว่าผื่นลามลงที่คอแล้ว…และอยากกลับบ้าน! ตอนนั้นก็ตั้งสตินึกถึงการดูแลฉุกเฉินวิกฤตเวลาที่เจอคนหอบหืดหายใจไม่ออก…ติ๊กต่อกๆๆ …นึกไปถึงเรื่องที่เคยเห็นคนเอามีดกรีดลำคอแล้วเอาหลอดดูดแยงเข้าไป เป่าลมใส่คอระหว่างนำส่งโรงพยาบาล ก็ช่วยชีวิตไว้ได้…อ๊าก…แล้วเราต้องทำขนาดนั้นไหมเนี่ย…แถมค่ายก็อยู่ลึกเข้าไปในหมู่บ้าน ทางออกก็วกวน..ก็เลยลองโทรฯ หาท่านหัวหน้าที่นำมา…อ้าว..ท่านก็ปิดมือถือพักกายพักใจไปซะแล้ว…เลยฝากท่านวิทยากรว่าช่วยเรียนหัวหน้าฯ ให้ด้วยเผื่อท่านจะได้รับทราบและรับรู้ว่า ที่สามคนหายตัวไปน่ะ ไปโรงพยาบาล…อิอิ

แต่จู่ๆ ก็ใจชื้นว่าคงไม่หลง หนึ่งเพราะเป็นตอนกลางวัน หลงทางคงน้อย (และไม่ใช่กลุ่มชอบกินเย็นตาโฟ…อิอิ) สองเพราะโชคดีว่า มีคนกำลังจะกลับเข้าในเมืองแล้วเขาจะขับรถนำทางให้….จากนั้นก็บอกให้นักศึกษาโทรฯ ไปหาเพื่อนที่เอารถไปเองเผื่อจะได้ช่วยขับรถไปส่ง

ตอนที่หาทางกลับออกมาจากค่าย เธอผื่นขึ้นลามเต็มหน้าและลงที่ลำคอ เธอบอกว่ามีประวัติเป็นหอบหืดเคยกำเริบหายใจไม่ออกต้องรีบฉีดยาหลายครั้งแล้ว พอเห็นผื่นก็เหมือนเส้นกระตุกคือกลัวหายใจไม่ออก ตอนนั้นก็ตัดสินใจทันทีว่าต้องไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดและนั่งรถไปด้วยเพื่อจะได้ช่วยกันตัดสินใจ ตอนขากลับออกจากค่ายเธอก็เริ่มหายใจฟืดฟาดๆ จามชิ้วๆ จนโชเฟอร์ถามว่า อาจารย์จะอนุญาตให้ฉีดยาให้เพื่อนเองไหม …ในสมองก็มีเรื่องของกฎหมายแล่นปรู๊ดปราดขึ้นมาทันที…เฮ้อ..ไม่ได้..แต่ต้องหาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดให้ได้ก่อน พร้อมๆกับหันไปบอกว่าให้เธอหายใจช้าๆ ผ่อนคลาย ทำใจให้สบายเดี๋ยวก็จะถึงโรงพยาบาลแล้วแถมสำทับเธอว่า ห้ามเป็นอะไรนะ ครูปั๊มหัวใจเธอในรถคงไม่ได้

ก็เพราะภูมิแพ้ถ้ายิ่งกระสับกระส่าย ยิ่งเครียดอาการก็จะยิ่งหนัก เลยต้องบอกให้เธอคลายใจ

หลังจากพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้ที่สุดแล้ว ก็ได้รีบยาครบชุด ทั้งยาพ่น ยากิน และให้กลับบ้านได้ แหมๆ พอไปถึงโรงพยาบาลผื่นก็เริ่มยุบจนหมอสงสัยว่าผื่นมันขึ้นตรงไหน…อุ๊ยเลยล้อเธอว่า เออ..แพ้ธรรมะหรือเปล่าเนี่ย….อิอิ

สุดท้ายเราก็กลับไปที่ค่ายตามเดิมหลังจากที่หาไอติมเลี้ยงปลอบใจนักศึกษาแล้ว

ไปถึงก็เกือบกินข้าวเย็น แต่ก็ไปรวมกลุ่มก่อนเพื่อให้แต่ละคนได้เล่าประสบการณ์และการเรียนรู้การ “คิดให้เป็นเห็นให้ถูก” ฟังไปๆ ก็ชื่นชมว่าคนอื่นๆ คิดกันเก่งๆทั้งนั้นเลย ทั้งเด็กๆก็มี ….จากนั้นก็ กินข้าว อาบน้ำ แล้วค่อยมาเข้ากิจกรรมกลางคืน

ย่ำค่ำเสียงกังสดาลก็เรียกให้ไปรวมตัวกัน ไหว้พระสวดมนต์ทำวัตรเย็นและแผ่เมตตาในความมืดและท่ามกลางยุง ยุ้ง ยุง  แม่ชีบอกว่าเป็นอุบายให้ทำตัวสวนกระแสคืออยู่ในที่มืด และจะได้ทำกิจกรรม มืดนอกสว่างใน

กิจกรรมก็คือคัดคนให้เข้าไปในห้องมืดปิดประตูทีละคนๆ แล้วมีแม่ชีพี่เลี้ยงสั่งให้จุดเทียนแล้วยื่นไม้ขีดใส่มือในความมืดมิด…แต่ก็สบายมากเรื่องจุดไม้ขีดเพราะวิญญาณเนตรนารีเก่านะเนี่ย รับรองว่าใช้ไม้ขีดไม่ถึงสามก้านแน่นอน…อิอิ…งานนี้เก่งกว่าเพราะใช้ก้านเดียว จุดเทียนเล่มเบ้อเริ่มแล้ว แม่ชีพี่เลี้ยงก็บอกให้พิจารณาความรู้สึกว่ารู้สึกอย่างไรเวลาขีดไม้ขีด แล้วให้มองไฟพิจารณาเทียนแล้วให้ดับเทียนโดยไม่ใช้ลมปากเป่า…เอาละซิ …สมัยเด็กๆ ชอบเล่นจับใส้เทียนดับไฟ แต่คราวนี้เทียนเล่มใหญ่เกิน คิดว่าเอาน้ำลายดีไหมเนี่ยก็น้ำลายแห้งซะนี่…สุดท้ายหลังจากหันรีหันขวางจนแม่ชีพี่เลี้ยงสั่งเสียงเข้มว่า ดับเทียนเดี๋ยวนี้…เลยเอามือโบกเทียนดับ..แล้วก็ออกจากห้องมา

ออกจากห้องมืดมาเจอความมืดข้างนอกอีก แต่ก็มีวิทยากรกลุ่มจูงให้ไปเข้ากลุ่มพิจารณาธรรมจากกิจกรรม…คราวนี้ถูกเรียกถามก่อน…แฮ่ม! …ไม่ค่อยมีธรรมอีกแล้วน่ะเรา…แต่ก็ไม่อยากโอ้เอ้ ตอบอะไรได้ก็ตอบไปก่อน..แถมยังคิดว่าสอบผ่านแบบเส้นยาแดงผ่าแปดเพราะวิทยากรไม่ช่วยวิเคราะห์ให้เลยแฮะ แต่หันไปวิเคราะห์เรื่องของคนอื่นๆที่สามารถแสดงธรรมจากเรื่องจุดเทียนได้…แหมๆ ปัญญาเราไม่ปรูดปร๊าดก็อย่างเนี่ย…ทามจาย…อิอิ

จากนั้นก็ไปเข้ากลุ่มใหญ่ เพื่อบอกสิ่งที่ได้พิจารณาธรรมะ

ก็ตอบไปว่า เรื่องมืดกับสว่างนี้เห็นเป็นเรื่องของความเคยชิน พออยู่ในที่มืดนานๆ ก็เคยชินอยู่ได้ เมื่อจุดไฟครั้งแรกเลยรู้สึกว่าแสงสว่างเกินไป แต่พอมองเทียนไปนานๆ ก็ชินกับความสว่าง คือถ้าเราอยู่กับสิ่งใดนานๆเราก็จะชินกับสิ่งนั้นไม่เห็นว่าผิดปกติ ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง ใหม่ๆ ก็จะรู้สึกว่ามากไป แต่เมื่ออยู่นานๆ เข้าอีก ก็ไม่รู้สึกอะไร การได้ออกจากความเคยชินไปรับรู้สิ่งใหม่ๆ ก็จะทำให้ได้เห็นทั้งสองด้านว่ามันก็เป็นเช่นนั้นเอง ความรู้สึกเมื่อให้ดับเทียนก็คิดว่า ไม่ว่าจะมืดหรือสว่างก็ไม่เป็นไร ไม่วิตกกังวลกับความมืดหรือสว่างอีก เพราะได้รู้จักทั้งมืดและสว่างแล้วก็กลายเป็นเรื่องธรรมดา

ไม่รู้ว่าตอบตรงใจวิทยากรหรือเปล่า แต่ก็ไม่เห็นว่าวิทยากรวิเคราะห์อะไร(อีกแล้ว) …แฮ่ม!

จากนั้นท่านแม่ชีก็บรรยายว่า ตอนนี้เราอยู่ในโลกที่สับสนวุ่นวายต้องใช้ปัญญา ทุกวันนี้เราหนีธรรมชาติแล้วเราก็ไปมัวเมากับเรื่องอื่นๆ ไม่ได้น้อมนำเอาธรรมชาติมาสอนใจ พระธรรมอยู่ในทุกอย่างรอบๆตัวเราให้น้อมนำมาคิดพิจารณา การที่เรากลัวความมืดเรากำลังหนีความจริงว่าความมืดก็คือธรรมชาติ

ต่อมาเป็นกิจกรรมก่อนปิดวาจาไปนอน ก็คือให้ทุกคนนั่งตั้งใจระลึกคุณของแม่และนึกถึงว่าเราเคยทำอะไรให้แม่ชื่นใจบ้าง (ในความมืดก็มีเสียงผู้ชายเล่าเรื่องที่เขาอยู่กับแม่แต่ก็มีวาจาเชือดเฉือนกันตลอดเหมือนเอามีดทุ่มแทงกันตลอดเวลา เพราะเขาคิดว่าแม่ไม่รักเขา และเพราะคำพูดครั้งหนึ่งที่แม่เคยบอกว่าไม่ได้ตั้งใจให้เขาเกิด จนกระทั่งวันที่แม่เขาป่วยด้วยมะเร็งแม่ก็ไปรักษาตัวเองไม่บอกให้รู้ แต่พอเขาป่วยไม่มีเงินรักษา แม่กลับถอดแหวนที่มีอยู่วงเดียวให้กับเขา…ถึงตอนนี้เสียงคนรอบตัวสะอื้นกันฮักๆ…)

หลังจากกิจกรรมก็แยกย้ายกันไปนอน…ตอนเดินกลับบ้านรจนาปลายสวน แหมนะ มันมืดจนไม่รู้ทิศทาง อาศัยว่าเอาไฟฉายไปด้วยและไปหยิบตะเกียงเทียนไข ทำให้มีแสงพอนำทาง ไม่อย่างนั้นอาจจะเดินตกท้องร่องก็ได้

พอกลับถึงบ้านรจนา ก็แปรงฟันล้างหน้า แล้วนอนเลย แค่สามทุ่มกว่า แต่มืดและไม่รู้จะทำอะไร

อาจารย์ผู้หญิงรูมเมทก็ว่า นอนเถอะๆ ปิดประตูก็ดีนะ จะได้ไม่อันตราย เปิดหน้าต่างนอนนั้นได้ท่านบอกว่าหน้าต่างมันยังต้องปีน แต่ประตูเดินเข้าได้เลย..

พอล้มตัวลงนอนก็ได้ยินเสียง…กรอดๆ…พั่บๆๆ..กรอดๆ พั่บๆๆ…ดังอยู่ที่ใกล้ๆฝาบ้าน…เอาล่ะซิ..จะเจออะไร

….อ่ะเสียงอะไร….

ยกไปไว้ตอนต่อไปดีกว่า…อิอิ

« « Prev : ไปเข้าค่าย ธรรมปัญญา พัฒนาชีวิต (1)

Next : ค่ายธรรมปัญญา พัฒนาชีวิต ตอน ระวังเหตุสังเกตผล » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

119 ความคิดเห็น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 2.0679500102997 sec
Sidebar: 0.015839099884033 sec