ปัจจุบันอันงดงาม

2 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 25 กรกฏาคม 2010 เวลา 8:51 (เช้า) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2211

1234

Old friends pass away, new friends appear

It is just like the days.

An old day passes, a new day arrives.

The important thing is to make it meaningful,

a meaningful friend  or a meaningful day

Dalai Lama

1234

อ่านแล้ว ไม่อยากแปล (จะเสียอรรถรส) แต่สรุปเอาตามใจตัวเองว่า…

มนุษย์เรามักหวนหาอดีต…สิ่งที่ผ่านเลยไปแล้ว

เพื่อนเก่า เพื่อนใหม่ ผู้คนล้วนผลัดเปลี่ยนเวียนผันไป-มา

พบ จาก ร้างลา

เสมือนวันเวลาที่เริ่มใหม่ ผันผ่าน วัฏฏะเวียนวนไม่เคยหยุด

เราหมกมุ่นอยู่กับอดีต

วิ่งวุ่นเพื่ออนาคต …

เราเกือบไม่ได้อยู่กับ “ปัจจุบัน” เลย

ผ่านมา-จากจร ควรหรือจะยึดติดอยู่ (หยุดเถอะ)

1234

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือสิ่งที่มี ที่เป็นอยู่ใปัจจุบันขณะ เท่านั้น

1234

การได้พบ ได้รู้จัก ได้สัมผัสสัมพันธ์กันในจังหวะเวลาและท่วงทำนองที่เหมาะสม จึงนับเป็น ความงดงามของชีวิต

เราควรที่จะชื่นชม อิ่มเอม ให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ตรงหน้าเราในห้วงเวลาที่ปัจจุบันขณะ… เพราะไม่แน่ว่าวินาทีอันงดงามนี้จะคงอยู่ หรือเกิดขึ้นอีกหรือไม่

1234

อืม…ยิ้มน้อย ๆ อย่างเบิกบานใจ บอกตัวเองพลางฮัมเพลงเบา ๆ

“…make a day with…

a meaningful friend and a meaningful day”


มิตร 6 คน

9 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 24 กรกฏาคม 2010 เวลา 12:19 (เย็น) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2789

1234คุยกับพี่ ๆ มากเรื่องหลายราว ในประเด็นและความรู้สึกที่ได้ประสบอยู่ในระยะนี้ พี่เตือนว่าการคบหาทำความรู้จักและคุ้นเคยกับคนอื่น ๆ เป็นสิ่งดี แต่ต้องมี ตัวกรอง ไว้บ้าง และตบท้ายด้วยข้อคิดปรัชญาของจีน ว่าด้วยเรื่องของ มิตร

มิตร 6 ประเภทที่ควรคบหาและทะนุถนอมไว้ตลอดชีวิต

  1. มิตรที่รู้ใจและห่วงใยเรา
  2. มิตรที่ใช้ลีลาชีวิตกคล้ายกันกับเรา
  3. มิตรที่มีความคิดแยบคาย เป็นผู้นำทางความคิด
  4. มิตรที่คอยฉุดดึงและช่วยเหลือในชีวิตการทำงาน
  5. มิตรที่มีลูกเล่นร้อยแปดพันเก้า
  6. มิตรที่มากประสบการณ์และแก่กว่าเรา 10 ปีขึ้นไป

ต้องหันมาทบทวนตัวเองเสียแล้วว่า เรามีมิตร 6 ประเภทนี้หรือเปล่า มีกี่คน และได้ทะนุถนอมมิตร 6 ประเภทนี้หรือยัง ตัวกรอง 6 ข้อนี้น่าจะพอใช้ได้ในระดับหนึ่ง

คิดเล่น ๆ ต่อท้ายเองว่า มิตรที่ว่านี้ยังต้องมีคุณสมบัติในการที่จะเปิดใจและยอมรับเราเป็น มิตร ด้วย ไม่งั้นก็ไม่มีทางจะคบหาหรือทะนุถนอมมิตรนั้นไว้ได้…

อ้อ…ข้อสำคัญอีกข้อก็คือ ตัวเราเองก็ต้องพยายามที่จะเปิดใจและยอมรับคนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน เพราะปรบมือก็ต้องใช้สองมือ ปรบมือข้างเดียวก็ไม่ดังหรอก…จริงไหม?

1234

งั้นวันหยุดยาวนี้ เรามาค้นหา มิตร” และมีความสุขกับ มิตรภาพ ดี ๆ     กันนะคะ


รู้แล้ว รู้แล้ว

4 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 12 กรกฏาคม 2010 เวลา 10:05 (เย็น) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2309

1234

” To understand a world

you must become part of that world ,

while at the same time remaining separate,

a part of and apart from.”

1234

Halcolm’s Methodological Chronicle,

Quoted in Patton (1990:199)

1234

หากต้องการเข้าใจ โลก หรือ ปรากฏการณ์ ใด ๆ เราควรเป็น ส่วนหนึ่งของสิ่งที่ต้องการเข้าใจนั้น แต่ไม่ใช่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสิ่งนั้น

อ่านแล้วก็น่าจะไม่ยากเย็นนัก แต่หากพิจารณาลงลึกไปอีก…. ส่วนตัวแล้วคิดว่า…ยากมาก

เพราะเรามักจะมี อัตตาตัวตนใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ตายไปแล้วบ้าง เพิ่งจะกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงให้โตขึ้นมาใหม่บ้าง

เมื่อพยายาม หรือ คิดว่าเราเป็น ส่วนหนึ่ง (a part of) ของสังคม/เรื่องราว/เหตุการณ์ใด ๆ เราก็มักจะกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสังคม/เรื่องราว/เหตุการณ์นั้นไป

างทีอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวเสียด้วยซ้ำไป…

1234

ไม่ได้ตั้งใจจะบ่นหรือโอดครวญว่า ชีวิตนี้เป็นเรื่องยากลำบาก (Life is difficult) แต่…ความจริงเป็นเช่นนั้น

1234

เมื่อรู้แล้วตระหนักแล้ว ก็แค่ยอมรับมันซะ…

แค่นั้นเองล่ะน่า…

;)


เปรียบดั่งผลพฤกษชาติดาษดื่นมี

2 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 7 กรกฏาคม 2010 เวลา 10:58 (เช้า) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2446

1234

คิดถึงกลอนบทนี้…

ซึ่งมีเพื่อนส่งมาให้ แต่ไม่ได้ระบุที่มาคัดลอกเก็บไว้นานแล้ว อ่านทุกครั้งก็จะเกิดอาการ ลอกคราบ ของอัตตาตัวตนไปได้บางส่วน (ก่อนที่จะสะสมจน”อัตตาตัวตน” หนาเนื่องใหญ่โตขึ้นมาใหม่…)

1234

โลกเรานี้มีมาแต่คราไหน

ไปข้างหน้านานเนาอีกเท่าใด

ไม่มีใครล่วงรู้สักผู้เดียว

เราอาศัยโลกนี้ครองชีวิต

เหมือนสถิตพักครู่อยู่ประเดี๋ยว

เปรียบฟองน้ำกับชีวิตมิผิดเชียว

เชิญผู้เชี่ยวชาญคิดพินิจตรอง

อายุคนถึงร้อยมีน้อยนัก

ต้องมีพักตร์พูนผลกว่าชนผอง

อายุโลกมากมายเป็นก่ายกอง

ถ้าจะลองกะประมาณกว่าล้านปี

คิดเทียบส่วนโลกมีอยู่ปีหนึ่ง

เราไม่ถึงนาฬิกาก็ล่าหนี

เปรียบดั่งผลพฤกษชาติดาษดื่นมี

อยู่ไม่กี่วันหล่นมิทนนาน…

1234

หลายวันที่ผ่านมานี้จับพลัดจับผลูเข้าไปในโลก ละครชีวิต ทั้งเป็นผู้ชมผู้ดู และบางฉากก็ลงไปร่วมแสดงด้วยอย่างไม่เต็มใจเลย

เห็นแล้ว…คล้ายเกิดอาการจิตตก แต่ก็ไม่ใช่ เพราะไม่ทุกข์ไม่ท้อ แต่รู้สึกชา ๆ เฉย ๆ รู้ เห็น เย็น ร้อน กระทบ ปล่อย ว่าง วาง-ยึด วาง-ยึด ไม่มีที่สุดสิ้น

การเป็นมนุษย์นี่ก็มีทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่แล้ว

ทั้งเกิด แก่ เจ็บ ตาย…

แล้ว…

เรายังจะสร้างสมสั่งสมทุกข์ด้วยความไม่รู้ ไม่ยอมรู้ ไม่รับรู้ไม่รู้จบกันอีกหรือนี่

1234

ครูบาอาจารย์ท่านเห็นละครชีวิตของพวกเราแล้ว คงถามอย่างเมตตาว่า ไม่เหนื่อยไม่เบื่อกันบ้างหรือ?”

1234

หยุดพักบ้างก็ได้นี่นะ

มีความสุขมาก ๆ ในทุก ๆ วัน ค่ะ

;)



ยิ้ม

11 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 21 มิถุนายน 2010 เวลา 10:30 (เช้า) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต, ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2052

 

        ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจิตร บุญยะโหตระ กล่าวไว้ในหนังสือ “พิชิตความเครียด” ว่า…

       “คนที่มีอารมณ์ขันจะไม่อวดเบ่งอวดหยิ่ง และจะไม่เป็นพิษเป็นภัยทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น  คนที่ไม่มีอารมณ์ขันจะไม่ทราบเลยว่าบุคลิกของตนเองเป็นที่ขบขันล้อเลียนของผู้อื่นและไม่ค่อยจะไวต่อความรู้สึกของผู้อื่นมากนัก เพราะมัวแต่หมกมุ่นครุ่นคิดอยู่แต่กับตัวเอง การมีอารมณ์ขันหมายความว่าบุคคลนั้นสามารถตรวจตรา ปรับปรุงแก้ไขบุคลิกของตนเองได้ตลอดเวลา อะไรต่อมิอะไรจะได้ไม่สายจนเกินแก้”

  M148463  

     

      อารมณ์ขันสำคัญมากถึงเพียงนี้ คงต้องหันมาสร้างอารมณ์ขันกันให้มาก ๆ โลกจะได้ไม่ขึ้งเครียดจนเกินไป

 

      เอ… แล้วจะสร้างอารมณ์ขันยังไงล่ะ บางสถานการณ์มันขำไม่ค่อยออกนี่ แล้วหากมัวแต่ขำ ๆ ขัน ๆ ไม่เลือกที่ ก็จะดูแปลกประหลาดไปเสียอีกด้วยนา

      

      เอ้า… ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ยิ้ม ๆ ๆ ๆ ไว้ก็แล้วกัน ยิ้มไว้แล้วโลกจะยิ้มกับเราเองล่ะน่า

 

 

วันนี้คุณได้ยิ้มกว้าง ๆ หัวเราะจนพุงกระเพื่อมบ้างหรือยัง?

;)


ที่เรียกว่า…ชีวิต

4 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 12 มิถุนายน 2010 เวลา 11:16 (เช้า) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2055

 

 

หาก… “ชีวิต” เปรียบได้กับ”การเดินทาง”

 

เราต้องเดินทางไปตาม “เส้นทางชีวิต”

บางครั้งเส้นทางราบเรียบ รื่นรมย์ สดใส สวยงาม

บางคราเส้นทางขรุขระ ขมขื่น มืดมน น่าเกลียด

 

บางทีเราอาจเลือกเส้นทางได้ตามใจ…ที่อยากให้เป็น

หลายทีเราไม่อาจเลือก…เส้นทางที่เราเผชิญนั้นเราไม่ชอบ

 

“ชีวิตเป็นเรื่องยากลำบาก”

 ทุกครั้งที่เอ่ยอ้างและระลึกถึงประโยคนี้ คนที่ได้ฟังจะร้อง โอย…มองโลกแง่ร้ายเสียจริงนะ

และความคิดลึก ๆ ในจิตใต้สำนึกของตัวเอง ก็เห็นด้วยกับข้อความที่คนอื่นว่านั้นเสียด้วยซี…

 

คิดว่า ยากลำบาก เป็นทุกข์… มันก็เป็นเช่นนั้นตามที่คิด

คิดว่า สนุกสบาย เป็นสุข… มันก็เป็นเช่นนั้นตามที่คิด

 ชักจะสับสนแฮะ… ตกลงมันเป็นไงกันแน่

 

ขี้เกียจถามใครต่อใครแล้ว ถามไปก็เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง ก็เวียน ๆ วน ๆ อาจผ่านความรู้สึกนั้นมาได้ แล้วก็จะวนเข้าสู่ วัฏจักรเดิมอีก ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ซ้ำอีก ซ้ำซาก

 ถามและตอบตัวเองนี่ล่ะ…

ใช่หรือไม่ที่ว่า ผู้คนล้วนทุกข์ เจ็บปวด สับสน และซ่อนเร้นสิ่งที่เป็นบาดแผลอยู่ในใจ

 

       ทุกวันเราอาจหลอกล่อตัวเอง ด้วย กิจกรรมต่าง ๆ หนังสือ ดนตรี อาหาร การท่องเที่ยว เปลี่ยนสถานที่แปลกใหม่ ผู้คนที่เราได้พบ … เป็นการเปลี่ยน “อิริยาบถ” เพื่อบดบัง “ความทุกข์หรือความยากลำบาก” ให้เราได้ “ผ่อน” และ “ผ่าน” ความทุกข์ยาก อันเป็นสัจธรรมของชีวิต ทุกคนล้วนดิ้นรนเพื่อให้พ้นจากบ่วงความยากลำบากด้วยนานาวิธีการ 

เรามักเกลียดทุกข์…รักความสุข

 แต่… ในที่สุดแล้ว “ความเปล่ากลวง” อันเป็นผลจากความทุกข์ ก็ยังคงอยู่กับเรา เราไม่สามารถเติมเต็มสิ่งที่ขาดพร่องในใจได้ด้วยอะไรเลย…

 และหากเรามุ่งหมายที่จะค้นหา “สิ่ง” ที่จะมาเติมเต็ม ความเปล่ากลวงนั้น เราคงต้องใช้เวลากับสิ่งนั้นเกือบทั้งชีวิตเป็นแน่

 เราเป็นใครกัน จะเปลี่ยนสัจจะนั้น…

ถ้าอย่างนั้น...ก็ยอมรับมันเสียไม่ดีหรือ ก็มันเปล่ากลวง ก็มันเป็นความยากลำบาก ก็มันเป็นเช่นนั้นอยู่ชั่วกาลนานมาแล้ว ยอมรับเส้นทางที่ดูเหมือนจะเจ็บปวด ไม่น่าอภิรมย์ เพื่อการงอกงามและเติบโต ซึ่งเป็นเส้นทางแห่งปัจเจก ของใครก็ของใคร เหมือน-ต่างไปตามบริบทชีวิต…

  

         ดังนั้นแล้ว  หน้าที่ของเราที่ทำได้ก็คือ การยอมรับ เรียนรู้ บ่มเพาะ สร้างสมดุลเพื่อการเติบโตงอกงามของจิตวิญญาณโดยการใช้ “ความรัก” เป็นเครื่องมือ ดังที่ นพ.เอ็ม.สก็อต เปค จิตแพทย์ผู้เขียนหนังสือขายดีเรื่อง The Road Less Traveled (วิทยากร เชียงกูลแปลในชื่อภาษาไทยว่า “บทเรียนชีวิตทีจิตแพทย์อยากบอกให้โลกรู้”)  เป็นหนังสือที่น่าอ่านและอ่านสนุกเล่มหนึ่งดังที่คุณ Logos แนะนำไว้

 

รู้สึกเบิกบาน (แบบไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ) ถามตัวเองซะอีกคำถามหนึ่งว่า….

แล้วเธอ…กล้าพอหรือยังที่จะก้าวไปบนเส้นทางชีวิตที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เลือกนั้น?

กล้าไหมล่ะ?

M172964 

 


ชัยชนะ

4 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 8 มิถุนายน 2010 เวลา 12:35 (เย็น) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2073

    

          ในคราหนึ่ง เคยได้ร่วมวงสนทนา (ในฐานะนักวิชาการตัวเล็ก ๆ) กับหลากหลายผู้ทรงคุณวุฒิ ล้วนแต่เป็นผู้มีชื่อเสียงในวงวิชาการ ระหว่างนั้น เกิดนึกขึ้นถึงข้อความที่เคยอ่าน เคยจดไว้นานแล้วที่ว่า

ผู้ชนะ  คือผู้ที่เอาจริงเอาจังโดยไม่ต้องวางท่าอย่างเป็นทางการ

ผู้แพ้   มักวางท่าเป็นทางการเสมอเพื่อทดแทนการไร้ซึ่งความสามารถในการเอาจริงเอาจัง

Img_44640 

 

         คิดต่อตามประสาคนที่มีความคิดยุ่ง ๆ เป็นยุงตีกันในหัว คิดไปคิดมาก็อมยิ้ม อุทานว่า…

เออแน่ะ…ผู้ชนะที่แท้จริงแล้ว คือผู้ชนะตัวเองต่างหาก หาใช่ผู้ที่ชนะคนอื่นทั้งโลก แม้ไม่สามารถชนะใจตนได้ การชนะโลกทั้งโลก ก็ไม่ยั่งยืนหรือมีประโยชน์อันใดเลย

 

เห็นชัดว่า…คนเก่งจริงนี่ ไม่เรื่องมาก ไม่วางท่า แต่อ่อนน้อมถ่อมตนและ

เมตตาอย่างน่าแปลกใจ… 

 


ลงโทษด้วย…รัก

6 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 3 มิถุนายน 2010 เวลา 12:54 (เย็น) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2103

 

         เช้า ๆ จะได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวของหลาน ๆ เด็ก  3 คนในบ้านที่ต้องรีบตื่น รีบล้างหน้าแปรงฟัน รีบทานข้าวเช้า รีบ ๆ ๆ ๆ ๆ เพื่อไปให้ทันโรงเรียนเข้า 8 โมงเช้า

        เจ้าคนโต (12 ขวบ) และเจ้าตัวเล็กสุดในบ้าน (6 ขวบ) ไม่ค่อยมีปัญหา ตื่นขึ้นมาก็งัวเงียนิดหน่อย รอให้แม่โอ๋ แล้วก็นั่งหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่หน้าจานชามอาหารเช้าจนหมดไปได้  แต่คนที่มีปัญหามากที่สุดแต่ไหนแต่ไร คือ สาวคนกลาง (10 ขวบ)ที่ขึ้นชื่อว่ามีอารมณ์ ‘ติสต์  ศิลปินไร้สังกัดมาแต่ไหนแต่ไร ตื่นขึ้นมาจากเตียงแล้ว ต้องมานอนเกลือกกลิ้งทิ้งตัวอยู่หน้าห้องน้ำ ไม่ยอมล้างหน้าแปรงฟัน ต้องมีการทั้งดุทั้งปลอบของแม่เป็นระยะ ๆ สลับเสียงครางฮือ ๆ ไม่ได้ศัพท์แข่งกับนกขุนทองที่เลี้ยงไว้ แล้วเจ้าขุนทองนี้ก็เลยเลียนเสียงครางที่ว่านั้นเป็นที่สนุกสนานทุกวัน

         บ้านนี้ไม่มีการตีลูกตีหลาน เคยมีญาติ ๆ วิจารณ์ว่า ตามใจเด็ก ๆ เกินไปจนเสียคน (รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตีนะ) เด็กบ้านนี้กล้าพูดกล้าเถียงผู้ใหญ่ ดูไม่ค่อยน่ารัก (เด็กน่ารักต้องว่าง่าย ไม่เถียง ไม่ดื้อไม่ซน) สมาชิกในครอบครัวเรามองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ ๆ พูดเกือบพร้อมกันว่า อ้อ…อาม่าสั่งไว้ว่าไม่ให้ตีลูกตีหลาน เราทำตามคำสั่ง

        ญาติฟังแล้วอึ้ง เงียบไป คงด้วยไม่อยากขัดคอพวกเราหรือขัดใจ (คนพูด) จนไม่อยากพูดต่อ แต่อาจคิดต่อในใจ…บ้านนี้ประหลาดจริง

 

        ตั้งแต่เกิดจนปัจจุบัน แม้แม่จากไปแล้ว ไม่เคยเห็นแม่ตีใคร มากที่สุดของคำดุคือ อ้าว ทำไมทำอย่างนี้ล่ะ? ในบรรดาพี่น้องจะรู้กันว่า แม่กำลังโมโหที่สุดแล้ว ควรหยุดพฤติกรรมที่กำลังทำอยู่ได้แล้ว  แม่ไม่เคยตีลูกแต่มีวิธีที่ทำโทษได้ “เจ็บจำ” เสียยิ่งกว่าการตีเป็นไหน ๆ

        ตอนอยู่ในช่วงวัยรุ่นอยากไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อนบ้าง แต่หากขอแม่ก็คงไม่มีสิทธิ์ แม่บอกว่าเป็นลูกผู้หญิงไปเที่ยวบ้านคนอื่นได้ยังไง ไม่ดีไม่ปลอดภัย (แต่ลูกผู้ชายไปได้) ขอหลายครั้ง ไม่เคยได้รับอนุญาต ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นเขาไปกันได้ จำเพาะเจาะจงต้องเราที่ไปไม่ได้ (ขัดข้องใจจริงหนอ) ในคราวหนึ่งจึงไปบ้านเพื่อนหลังเลิกเรียน โดยไม่บอกแม่ก่อน กลับถึงบ้าน 2 ทุ่ม (เลิกเรียน 5 โมงเย็น) รู้สึกดีเล็ก ๆ เพราะได้ทำตามที่ต้องการ โตแล้วนะ จะห้ามอะไรนักหนาเล่า พอเข้าประตูบ้าน เห็นหน้าแม่เท่านั้น …

…ใจหล่นวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม…

      เห็นท่าทางที่แม่นั่งรอ ตาจับจ้องที่ประตู พอเห็นลูกสาวก้าวเข้ามา แววตาดีใจของแม่ก็แทบจะเปล่งแสงออกมาจนแทงกระทบใจ(ดำ)  ไม่ดุว่าอะไรเลยสักคำ ละล่ำละลักถามว่า “กินข้าวหรือยัง แม่รอกินข้าวกับหนู…” (โห…ตอนนั้นคิดว่า ตีเราเสียยังดีกว่า)

       จากครั้งนั้นเป็นต้นมา ไม่เคยคิดจะขัดคำสั่งของแม่อีกเลย การทำเช่นนี้ของแม่เป็นการลงโทษที่ยิ่งกว่าการลงโทษด้วยการดุด่าว่าตี เป็นการลงโทษที่มโนสำนึก และเป็นการลงโทษที่น่าจะได้ผลดีที่สุด เพราะเข้าไปเปลี่ยนที่ “จิตใต้สำนึก” ของเรา (เพราะตามหลักจิตวิทยาว่าไว้ว่า หากจะเปลี่ยนพฤติกรรม คนต้องเปลี่ยนที่ “ความคิด” และเปลี่ยนเพราะคนคนนั้นอยากเปลี่ยน ไม่มีใครบังคับใครได้)  ดังนั้นพฤติกรรมที่ถูกพิพากษานั้น จะไม่เกิดขึ้นอีกเลย…

      ในปัจจุบันน่าจะเรียกวิธีการนี้ว่าเป็น “วินัยเชิงบวก” ซึ่งเป็นฐานความเชื่อของการห้ามตีและใช้ไม้เรียวกับเด็กนักเรียนในโรงเรียน  ส่วนตัวคิดแล้วยิ้ม ๆ ใครเรียกอะไรก็ตามที เราเรียกวิธีนี้ของแม่ว่า…

 ”การลงโทษด้วย…รัก”

 

        แน่ล่ะ เป็นการลงโทษที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพและประสิทธิผล (สำหรับลูกหลานที่แม่เลี้ยง) เพียงแต่จะต้องใช้ทรัพยากรทั้งเวลา แรงใจแรงกาย ความรัก ความเมตตา ปรารถนาดีอย่างมหาศาล ต่างจากการลงโทษด้วยการดุด่าว่าตี ที่แม้เวลาผ่านไป บาดแผลความเจ็บปวดทางกายจะหายไปแล้ว แต่บาดแผลทางอารมณ์ในบางคนบางกรณี ก็อาจประทับทิ้งรอยแผลเป็นไว้ชั่วชีวิต

 

 

คิดเล่น ๆ แล้วอมยิ้ม ในโลกที่ยุ่ง ๆ นี้ หากเราลองใช้วิธี ลงโทษด้วยรักกันบ้าง

 จะเป็นยังไงนะ…

 

 


ชีวิตขาลง

6 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 28 พฤษภาคม 2010 เวลา 10:15 (เย็น) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2407

 

        ได้คุยกับเพื่อน เพื่อนเล่าว่า ตอนนี้ตกงาน ฟังแล้วอดจะรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ ในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ บ้านก็ต้องผ่อน พ่อแม่ก็ต้องดูแล ลูก 2 คนก็ต้องเรียน ยังดีที่แฟนไม่ตกงานด้วยอีกคน  แต่เสียงเล่าสบายใจแกมหัวเราะ ๆ ทำให้ต้องถามอย่างข้องใจ

 

ถาม         ตกงานแต่…ทำไมดูสบายใจจังล่ะ

เพื่อน      ก็ไม่มีอะไร ออกจากงานได้เงินมาก้อนนึงด้วย พูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

               สังเกตเห็นว่าเพื่อนดูหน้าตาสดใส มีน้ำมีนวลกว่าแต่ก่อนเสียอีก

ถาม       สงสัยคงได้มาเยอะสิ เลยไม่เดือดร้อน… รู้งี้ก็สบายใจหน่อยไม่ต้องห่วงแล้ว

เพื่อน      ได้ไม่เยอะหรอก ลงทุนอะไรก็ไม่ได้…

ถาม         อ้าว… มีอะไรให้ช่วยมั๊ย จิตวิตกเริ่มปรุงแต่งอีกแล้ว

เพื่อน       ไม่มีร๊อก… ขอบใจจ้า รู้มั๊ย ตกงานนี่นะ มันเปรียบเหมือน “ชีวิตช่วงขาลง” นะ

ถาม         ยังไงหรือ ชีวิตขาลงมันเป็นไงน่ะ  ถามต่อด้วยอยากให้เพื่อนได้ระบาย

               ความอัดอั้นตันใจบ้าง

เพื่อน      ชีวิตขาลง ก็… ดีจะตาย ไม่ต้องรีบตื่นเช้า ๆ ตาลีตาลานไปทำงานให้ทัน

              แปดโมงครึ่ง มีเวลาดูแลลูกส่งไปโรงเรียนเอง ได้คุยกับป๊าม๊าบ้าง

              ดูแลพาแกไปไหว้พระ ได้ดูต้นไม้ใบหญ้า เล่นกับหมากับแมวที่สำคัญ

              ได้มีเวลาบอกรักสวีทกับสามีสุดที่รักหลังจากไม่ค่อยได้สนใจกันมา

              ตั้งแต่เกือบ 20 ปีที่ทำงานมา

ถาม       ฮ้า… ขนาดนั้นเลยนะ ฟังไปทึ่งไป อือออไปด้วย

เพื่อน       ดีออก “ชีวิตขาลง” น่ะ เหมือนตอนลงเขาไง ไม่มีแรงต้านไม่ต้องสู้

              กับแรงโน้มถ่วงของโลก ลงคล่อง สะดวก

ถาม         อือ…ก็จริงนะ แล้วเงินพอใช้เหรอ ถามแบบเกรงใจ ๆ

เพื่อน      แค่ไหนเรียกว่าพอล่ะ… ตอนนี้ฉันเหลือเงินมากกว่าตอนทำงานอีกนะ

              อาหารก็ทำกินเองไม่ต้องซื้อ สะอาดด้วย ไม่ต้องกลุ้มใจว่าจะจ้างคน

              มาทำงานบ้านดี ๆ ได้ที่ไหน ในบ้านก็มีความสุข เครื่องสำอางค์ กระเป๋า

              รองเท้าก็ไม่ต้องซื้อ ภาษีสังคมก็เกือบไม่มี แฟนฉันบอกว่าเขาจะหางานพิเศษ

              ทำเพิ่ม ฉันไม่ต้องทำงานหรอก อยู่บ้านดูแลบ้านช่อง พ่อแม่ ลูก ๆ แล้วกัน…

             ตอนนี้นะ เลยมีความสุขกว่าตอนที่ยังทำงานเยอะเลย

 

          ฟังเพื่อนแล้ว “ชีวิตขาลง” ของเพื่อนก็ไม่เลวนัก ไม่ยุ่งยาก ลำบากอะไรเกินไป  เพราะชีวิตขาลงนี่ขึ้นอยู่ที่เราจะยอมรับ ปรับตัวปรับใจได้แค่ไหนอย่างไรต่างหาก  ถ้า “ลงเป็น”  เข้าใจและรู้หลักแล้ว “การลง” ก็ไม่น่าเกลียด น่ากลัวอะไรเลยนี่นา

 

คิดเล่น ๆ พลางพึมพำ ๆ … ชีวิตขาลงนี่…ก็ไม่เลวนะ

 


คนสองคน

4 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 26 พฤษภาคม 2010 เวลา 10:43 (เช้า) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2210

 

มนุษย์คือ “คนสองคน”…ที่คนหนึ่งตื่นอยู่ในความมืด…

 และอีกคนหลับใหลในความสว่างไสว

                                                                                                           คาริล ยิบราน

 

        ก่อนนี้ยามใดที่ต้องอ่านงานของคาริล ยิบราน ก็จะรู้ครั่นเนื้อครั่นตัว หน้าตายู่ยี่  ได้อ่านงานเขียนดี ๆ ก็มักจะกล่าวอ้างถึงข้อความของคาริล ยิบรานเสมอ ๆ แต่…

         เราอ่านแล้ว มันไม่รู้เรื่อง …  โอ ร้ายแรงมาก เพราะความจริงนี้มันเขย่าอัตตา(Ego อันอวบอ้วน) อย่างรุนแรง อะไรนี่ ทำไมคนอื่นบอกว่าดีนักดีหนา ลึกซึ้งเหลือเกิน แต่เราอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ไม่อิน ไม่ซาบซึ้ง อ่านแล้วระดับความนับถือตัวเองวูบลงเหมือนดัชนีหุ้นของบางชาติ ครั้นจะหลอกตัวเองว่าอ่านแล้วรู้เรื่องก็คงไม่เข้าที ไม่รู้เรื่องแต่ไปทำเป็นเข้าใจ อินเหลือเกิน จะกลายเป็นหลอกคนอื่นไม่พอ ย้งหลอกตัวเองเพิ่มเข้าไปอีก… 

       

        พอมาวันหนึ่ง วันเวลา ประสบการณ์ และวัยที่มากขึ้น (แก่กล้าขึ้น) พอมาอ่านหนังสือเดิม ของคาริล ยิบราน กลับรู้สึกว่า อือ…ข้อความบางข้อความนั่น ลึกซึ้ง จับใจ โดนใจจัง

มนุษย์คือ “คนสองคน”…ที่คนหนึ่งตื่นอยู่ในความมืด…และอีกคนหลับใหลในความสว่างไสว…

 

คิดต่อไปว่า…

       ปุถุชนคนธรรมดา ผู้ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เหน็ดเหนื่อย เครียดคร่ำอยู่กับการดำรงชีวิต คล้ายอยู่ใน “ความมืด” หากแต่ “ตื่นรู้” ในสาระของการดำรงอยู่ ยังประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและสังคมโลกรอบตัว

…ย่อมควรแก่การสรรเสริญ

       ส่วนผู้ยิ่งใหญ่ ร่ำรวย อุดมด้วยทรัพย์สมบัติ เปรียบได้กับผู้อยู่ในที่ “รุ่งเรืองสว่างไสว” แต่กลับ “หลับใหลมัวเมา” ในทรัพย์ที่ครอบครองโดยไม่เคยตระหนักถึงคุณค่าของมนุษย์ที่แท้แล้ว เขาผู้นั้น

…จะมีคุณค่าใดให้สรรเสริญ…

 

และหากยิ่งพิจารณาลงไปอีก บางครั้งบางคราว เราก็เป็น “คนสองคน” สลับผลัดเปลี่ยนกันไปตามวาระ เหตุและปัจจัย…อีกด้วย

 

                     ขอบคุณคาริล ยิบราน… 

 



Main: 0.080355882644653 sec
Sidebar: 0.03696608543396 sec