คลิก…เลย
@@@ช่วงเวลาที่ผ่านมา มีงานที่ต้องไปช่วยเพื่อนซึ่งเป็นนักฝึกอบรมจัดคอร์สต่าง ๆ โดยเฉพาะคอร์ส “การเตรียมตัวเกษียณอย่างมีคุณภาพ” รายละเอียดเนื้อหาไม่มีอะไรต่างจากที่เคยทำมาแล้ว แต่ที่น่าสนใจก็คือในคอร์สหนึ่งก่อนไปจัดอบรมได้รับทราบข้อมูลว่า ผู้เข้าอบรมนี้มีส่วนหนึ่งที่เป็นอาจารย์ของตัวเองตั้งแต่สมัยเรียน ป.ตรี… เอาล่ะสิ งานเข้าแล้วเรา… สอนใครก็ไม่กลัวหรอก แต่นี่ครูเราเองน่ะสิ แถมชื่อที่ได้ทราบก็เป็นชื่อของอาจารย์ที่เราแสนจะเกรงอกเกรงใจ…ขึ้นชื่อว่า “ดุ” หาตัวจับยากนั่นไง คิดไปคิดมา ร่ำ ๆ จะไปถอนตัวไม่ไปช่วยเพื่อนในคอร์สนี้แล้ว ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวเพื่อนเสียเครดิตไปเปล่า ๆ (ความจริงเราปอดต่างหาก…ฮา ๆ)
@@@ตอนเช้าตรู่ของวันที่จะไปบอกเพื่อน แง้มประตูห้องออกไปเพื่อจะชมสวนหน้าห้องเหมือนทุกวัน ตาก็เหลือบไปเห็นร่างกลม ๆ ป้อม ๆ นั่งแอ้งแม้งที่เก้าอี้ตัวโปรด กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับอะไรตรงหน้าก็ไม่รู้ ดูเจ้าหลานสาวตัวน้อยจะเพลิดเพลินกับบรรยากาศตรงหน้าอย่างยิ่ง เลยค่อย ๆ ถอยออกมาอย่างเงียบ ๆ ไม่อยากทำลายความสุขเล็ก ๆ ของสาวตัวน้อยวัย 5 ขวบกว่านั้น ยิ้มอะไรนะ ดูมีความสุขจริง ๆ เลย… ได้คิดต่อไปว่า เด็ก ๆ นี่ช่างมีความสุขง่ายดาย ผ่อนคลายเสียจริง เห็นใบไม้ไหว มดเดินผ่าน หมาเห่า ได้กินขนมที่ไม่เคยลิ้มรส ก็ยิ้มอย่างมีความสุขแล้ว
ส่วนผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ นี่สิ… ช่าง “ทุกข์ง่าย สุขยาก” กันเสียจริง พอมีความสุข พอใจ สนุกกับอะไรสักพัก ก็เบื่อก็ทุกข์ ต้องเพียรหาสิ่งมาสร้าง “ความพึงพอใจ” ใหม่อีกแล้ว…
@@@ คิดต่ออีกหลายประเด็น….แต่ “คลิก” แล้วว่า ตอนเริ่มเปิดคอร์ส ซึ่งต้องมี Session ของการละลายพฤติกรรม/ทำความคุ้นเคย/กิจกรรมละลายน้ำแข็ง (ice breaking) จะขอให้ทุกคน สร้างจินตนาการว่าตัวเองเป็นเด็กอายุไม่เกิน 8 ปี (วัยนี้ยังมีจินตนาการสมบูรณ์ อายุเกินกว่านี้ว่ากันว่า…จินตนาการจะถูกทำลายด้วยระบบโรงเรียน….ฮา ๆ) ขอให้เรียนรู้ คิด พูด ทำ เปิดใจเหมือนเด็ก ๆ ไม่ต้องกลัวผิดถูก และผลพลอยได้ก็คือ เราก็ไม่ต้องเกร็ง กลัวว่าจะไม่ได้รับการยอมรับจาก “ครู” ที่เราเคยแสนที่จะเกรงใจ…
@@@ ครั้งนั้นการอบรมผ่านไปด้วยดี หลังการอบรมเข้าไปยกมือสวัสดีคุณครู ท่านกล่าวด้วยความเมตตาว่า … แหม ลูกศิษย์ครูนี่เก่งจริง ๆ ครูภูมิใจในตัวหนูนะ… อูย ไม่ต้องบอกเลยว่าความรู้สึกของคนถูกชมจะเป็นอย่างไร…ปลื้มซะ!!!
กลับมาถึงบ้าน ก็เลยต้องขอบใจเจ้าตัวน้อยด้วยการพาไปเลี้ยงไอศกรีมอร่อย ๆ กินกันจนพุงกางกลับบ้านเกือบไม่ไหว…
หากเรายังคงนิสัยของเด็ก ๆ ในบางส่วนเสี้ยว
มีความสุขกับสิ่งเรียบง่ายรอบตัว..
ความสุขที่เราใฝ่หาคงอยู่แค่เอื้อมนี่เอง
ดอกมะเขือนี้มอบน้อมนบเคารพ “ครู”
6 ความคิดเห็น
น้องที่รัก
หลาย ๆ ครั้งที่เราต้องตัดสินใจที่จะพูด จะเขียน จะทำ เราก็เกิดความกลัว ที่กลัว เพราะจิตเราคิดปรุงไปแบบนั้น แบบนี้ คนนั้นจะคิดแบบนั้น คนนี้จะคิดแบบนี้ และหลายครั้งทำให้เราไม่ได้เขียน ไม่ได้ถ่ายทอดในสิ่งที่เราอยากเล่า เพียงเพราะเราไม่กล้า และที่สำคัญ เรากลัวใจตัวเองว่า เมื่อเขียนออกไปแล้วจะไปกระทบและไม่ถูกจริตกับคนอื่น ๆ ทั่วไป
แต่เมื่อคิดดูแล้ว หลายครั้งตัวเองกล้าเขียน เพราะเป็นประสบการณ์ของตัวเองที่อยากเขียน อยากเล่า หรือแม้กระทั่งบ่น ก็เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หรือ ที่จะเป็นประสบการณ์ ให้คนดีดีทั้งหลายที่ไม่เคยได้กระทำในสิ่งที่เรากระทำ หรือเขาอาจจะกระทำแต่ไม่กล้าเล่า และประสบการณ์ของเราก็อาจจะเป็นตัวช่วยให้ท่าน ๆ ทั้งหลายสามารถพ้นทุกข์ได้ ซึ่งตัวเองก็เหมือนกัน จากการที่เราอ่าน เราพบ ทุกข์ หรือเรื่องราวของคนอื่นที่เล่าให้ฟ้ง เราก็นำสิ่งเหล่านั้นมาเป็นบทเรียนของเรา ว่าถ้ากาหเราเจอแบบนี้ แบบนั้น แล้วเราจะนำไปปรับใช้ในบริบทของเราอย่างไร พี่จึงนับงานเขียนของทุกคนเป็นครูของชีวิต เพราะเรามีครูจากการเป็นกัลยาณมิตรผ่านเรื่องเล่า หลายต่อหลายเรื่องที่ผ่านตาจากการอ่าน ผ่านหูจากการฟัง ผ่านสัมผัสที่เราเอื้อมถึง
แม้กระทั่งการทำงาน เราผ่านประสบการณ์เท่าที่เราได้เรียนรู้ เราก็ถ่ายทอดเท่าสิ่งที่เราได้เรียนรู้ ในบุคลากรสายสนับสนุน เราก็นำพากันผ่านการทำงานเพื่อพบพานในสุขได้ ถ้าแม้จะกระท่อนกระแท่น เจออุปสรรค มันก็ต้องทำกันไป และไม่ใช่ว่าจะหยุดทำ มันก็ต้องพัฒนาร่วมกันไป ตราบเท่าเวลาที่เราต้องอยู่ทำงานร่วมกัน และต่อจากนั้น ผู้บริหารก็อยากให้ขยายไปถึงอาจารย์ ให้ท่าน ๆ ได้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ เพื่อสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ร่วมกัน แรก ๆ ก็ไม่กล้านะ แต่ก็บอกว่า ถ้าอาจารย์กล้าให้ทำ เราก็กล้าที่จะทำ และก็จะเริ่มทำในอีกไม่กี่วันข้างหน้า วางแผนเริ่มจากสิ่งที่ค่อย ๆ เข้าไปแทรกในกระบวนการ หาทางที่เข้าถึงกระบวนใจ อย่างไรก็เรียนรู้ร่วมกัน และจะมาเล่าให้ฟังนะคะ ความภูมิใจ ความเบิกบานใจ ไม่ใช่การไปถึงเป้าหมายสูงสุด แต่เป็นเส้นทางของการเดินทางต่างหาก ว่าเราจะสามารถเดินไป จูงมือกันไป เด็ดดอกไม้ข้างทาง รดน้ำ แบ่งปันรอยยิ้มให้แก่สรรพสิ่งที่อยู่รอบข้าง ตรงนี้ต่างหากเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้เกิดความเบิกบานใจ (ไม่รู้จะหวังมากมายไหม) แต่ไม่หวัง ก็ไม่เกิด แต่หวังแล้ว ไม่ติด และไม่ผิดถ้าหวังนั้น อาจจะไม่สมหวัง เพียงแต่ได้เริ่มทำ มันก็สุขใจแล้ว
“กลัวใจตัวเองจัง”
อิอิอิ
พี่ที่รักยิ่ง
ความกลัวนี่แรงร้ายจริง ๆ สารพัดสารพันจะกลัว กลัวทำไม่ดี กลัวโดนตำหนิว่าทำได้แค่นี้เองเหรอ เห่ยน่า โหลยโท่ยจัง…แต่ที่ว่ามาทั้งหมดนั้น ไม่เท่ากับ… “กลัวใจตัวเองจัง” ที่พี่ว่าเลยจ้ะ
มีเทคนิคเล็ก ๆ ส่วนตัวที่ใช้เรียกกำลังใจเสมอ ๆ เมื่อรู้สึกกลัวหรือไม่มั่นใจในตัวเอง คือ การถามตัวเองว่า
- วัตถุประสงค์อะไรที่ทำให้เราทำสิ่งนี้
- เราคาดหวังอะไรจากสิ่งที่เรากำลังทำนี้
- เมื่อเราทำสิ่งนี้แล้ว จะมีประโยชน์อะไรเกิดขึ้น
ทุกครั้งพอตอบตัวเองได้ทั้งสามข้อแล้ว… จะหายกลัว ดีขึ้นมั่นใจขึ้นในการทำงานชิ้ันนั้ันค่ะ
น้องก็เป็นพวกชอบจูงมือกันชี้ชวนชมสวน เด็ดดอกไม้ข้างทางไปเรื่อย ๆ … เหมือนกันเลย…ฮา ๆ
สู้ ๆ นะคะ เขียนมาเล่าสู่กันฟังด้วยค่ะ
คุณครูได้เจอศิษย์เก่ง คงดีใจกว่าศิษย์ที่ได้รับคำชมนะคะ นี่คิดแทนในฐานะเป็นคนสอนหนังสือคนหนึ่งค่ะ เวลาเจอศิษย์เก่งจะดีใจรู้สึกเหมือนได้ปริญญาอีกใบ เลยเดาว่าคนอื่นๆก็คงเหมือนๆกันค่ะ
พี่สร้อยคะ
ความจริงลูกศิษย์ไม่ได้เก่งอะไรมากมายหรอกค่ะ แต่คุณครูเมตตาและมีใจเอื้อเอ็นดูเป็นพิเศษกับลูกศิษย์อยู่แล้ว… จึงชื่นชมให้กำลังใจ
คิดในมุมมองของตัวเอง หากได้ไปพบลูกศิษย์ต้องมาทำหน้าที่ให้ความรู้ตัวเองบ้าง… เราก็คงอดจะส่งกำลังใจและมีความลำเอียงด้วยรักเมตตา…ไม่ได้ ก็นั่นน่ะ เด็กกะโปโลที่เราเคยสอนสั่งนี่นา…
ขอบคุณค่ะ
เมื่ออิงธรรมชาติ อะไรที่ว่ายากก็จะง่าย ที่จะเครียดครัดก็จะกลายเป็นเบาสบาย ต่อเมื่อปรุงแต่งอะไรๆมากๆเพราะอยากให้ได้ดี สุดท้ายมักจะเจอดี บ่อยๆ .. อิ อิ อิ
อ.handyman คะ
ธรรมชาติ ธรรมดา ความเป็นตัวตนที่แท้ ประกอบกับความรักและเมตตาของผู้เป็น “ครู” ทำให้เรื่องราวและการทำงานตามหน้าที่ผ่านไปด้วยดีค่ะ
ขอบคุณค่ะ