คิดต่าง

โดย freemind เมื่อ 22 กรกฏาคม 2010 เวลา 12:16 (เย็น) ในหมวดหมู่ การศึกษา #
อ่าน: 2463

1234

เดินผ่านไปมาแถวสีลมช่วงเย็นเป็นประจำ ภาพที่สะดุดตาคือ มีนักศึกษา กลุ่มใหญ่บ้างเล็กบ้างที่ถือแผ่นกระดาษติดภาพกิจกรรมในค่ายพัฒนาชนบท ค่ายอาสาสร้างห้องน้ำ ค่ายสร้างโรงเรียน ฯลฯ และมีการถือกล่องรับเงินบริจาค เพื่อสมทบทุนในการไปค่ายต่าง ๆ น้อง ๆ ทั้งผู้หญิงผู้ชายจะช่วยกันตะโกนเชิญชวนให้ช่วยบริจาค บางกลุ่มจะมีโทรโข่ง เครื่องขยายเสียงด้วย บ้างก็มีกลองเล็ก ๆ ตีให้จังหวะเป็นที่ครึกครื้น…สังเกตดูก็เป็นนิสิตนักศึกษาจากทุกสถาบัน ทั้งมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและมหาวิทยาลัยราชภัฎต่าง ๆ

คิดไปถึงสมัยที่เป็นนักศึกษา บ้าการไปค่ายมาก จนขึ้นชื่อว่าเป็น เจ้าแม่ค่าย วันศุกร์บ่ายต้องไปสำรวจ(Survey)ค่าย ต้องโดดเรียนวิชาบ่ายวันศุกร์ ใช้วิธีเข้าไปนั่งหลังห้อง พอเช็คชื่อเสร็จก็หายแวบไป กลับจากค่ายเช้าวันจันทร์ ง่วงมากขอไปนอนพักนิ๊ดเดียว หลับยาว…จนเที่ยง วิชาเช้าวันจันทร์ไม่ได้เรียนตามเคย ตื่นมากินข้าวเที่ยงด้วยความหิวโหย อิ่มมากหลับต่ออย่างไม่ตั้งใจ สรุปรวมแล้ววันจันทร์ก็ไม่ได้เรียนไปอีก 2 วิชา โชคดีที่ตอนสอบ ได้เพื่อนดีช่วยติว เลยพอรอดตัวมาได้ …ฮา ๆ (มีเพื่อนดีเป็นศรีแก่ตัว)

การไป ค่าย ก็คือการลงปฏิบัติจริง เห็นของจริง ได้มีประสบการณ์ในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ได้เห็นสภาพความเป็นจริงของชีวิต ได้ตระหนักรู้ว่ายังมีคนที่ลำบากกว่าเราอีกมาก มีคนที่เสียสละทำงานเพื่อส่วนรวมโดยไม่เคยได้รับการยกย่องหรือรางวัลใด ๆ มีคนเล็กคนน้อยที่ก้มหน้าก้มตาสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้สังคมโดยไม่เคยป่าวประกาศให้ใครรู้อีกมหาศาล

นิสิตนักศึกษาในวัยเรียน เป็นวัยที่มีพลังด้านกายภาพล้นเหลือ มีพลังความคิดแปลกใหม่ มองโลกในแง่บวก โลกสดใส ชีวิตยังไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่มีภาระใด ๆ จึงสมควรที่จะได้ไปค่ายเพื่อได้รับประสบการณ์ตรงอันทรงคุณค่า (ซึ่งหาไม่ได้ในห้องเรียนหรอก)

หลายคนไปค่ายกลับมาแล้ว…พฤติกรรมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เพราะมุมมองและความคิดเปลี่ยนไป ซึ่งเป็นผลมาจากการได้มองได้เห็นสิ่งที่แตกต่างจากสิ่งที่เคยมองเคยเห็นแบบเดิม ๆ

สรุปโดยรวม ๆ การไปค่ายทำให้ เห็นต่างคิดต่างพฤติกรรมจึงต่างไปจากเดิม

หันมามองการมาระดมทุน ขอรับบริจาคของเด็กรุ่นใหม่ อดจะเปรียบเทียบกับสมัยที่ตัวเองยังทำค่ายไม่ได้… ครั้งแรกที่ทำค่ายจะมีเงินสำรองการทำกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยสนับสนุนส่วนหนึ่ง ซึ่งไม่พอกับค่ายใช้จ่ายทั้งหมด ต้องมีการระดมทุนเพิ่ม โดยวิธีการต่าง ๆ จำได้ว่าที่ทำก็เช่น

- เขียนโครงการ แล้วขอเข้าพบผู้บริหารของบริษัท เพื่อชี้แจงและขอสปอนเซอร์สนับสนุน บางที่ได้เงิน บางที่ได้ของกินของใช้ และที่คิดว่ามีคุณค่าอย่างประมาณค่าไม่ได้ก็คือ ได้การฝึกความกล้า ฝึกการนำเสนอแนวคิด และสร้างความมั่นใจในตัวเองในการที่จะไปบอกเล่าและขอการสนับสนุนจากผู้ใหญ่

- การทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ขายบัตรการกุศลฟังดนตรี เล่นละครหาเงินสมทบทุนค่าย การทำกระเป๋าถัก พวงกุญแจ ทำการ์ดอวยพร ฯลฯ สุดแต่ใครมีฝีมือและความชำนาญทางใด ก็ช่วยกันทำและนำไปขายกับเพื่อน ๆ ได้เงินมาอีกทางหนึ่ง กิจกรรมเหล่านี้ทำให้ได้เรียนรู้การทำงานกลุ่ม การทำบัญชี คำนวณต้นทุน กำไร และการวางแผนงานและการลงทุน

- การขอเงินสนับสนุนจากพ่อแม่ ญาติพี่น้องของตัวเอง ซึ่งเป็นวิธีการสุดท้ายที่จะทำ ฟังดูน่าจะง่าย แต่สำหรับตัวเองและบางคนแล้วเป็นวิธีที่ยากมาก เพราะที่บ้านไม่สนับสนุนและไม่เชื่อใจในการให้ลูกหลานของตนไปอยู่ในถิ่นทุรกันดาร (เด็กกรุงเทพฯนี่นะ)

1234นึกขัดข้องหมองใจตงิด ๆ เมื่อมองสิ่งที่เด็ก ๆ ทำกันอยู่  ทำอย่างอื่นไม่ดีกว่าหรือน้องเอ๋ย มายืนตะโกนปาว ๆ ขอเงิน ๆ คิดอย่างอื่นไม่ได้หรือไงนะ…

หงุดหงิดหน่อย ๆ แล้ว ลองเข้าไปคุยดูดีกว่า ถามว่ามาจากไหน น้องก็บอกชื่อสถาบัน ถามกิจกรรมที่ตั้งใจจะไปทำ คิดว่าจะได้ประโยชน์อะไร ฯลฯ แล้วคิดอย่างไรจึงมาระดมทุนเช่นนี้ คำตอบก็คือ เงินไปค่ายไม่พอ พวกหนู(ผม) เลยต้องหาเงินเพิ่ม ถามต่อว่าคิดว่านอกจากมายืนรับบริจาคอย่างนี้ จะทำอะไรได้บ้าง (ที่มันน่าจะสร้างสรรค์กว่านี้น่ะ…คิดในใจ) ทั้งกลุ่มอึ้งไปนิดหนึ่ง มองหน้ากันเลิ่กลั่ก มาท่าไหนนี่ อีกคนตอบว่า ก็เห็นรุ่นพี่เขาทำแบบนี้กันมาตลอดนี่คะ พวกหนูก็ทำตามน่ะค่ะ…. (แป๋ว!!!)

1234

เดินจากเด็กกลุ่มนั้นมาอย่างหงอย ๆ…

1234...รู้สึกหดหู่ขึ้นมาจับใจ สงสารเยาวชนคนรุ่นใหม่ เมื่อคิดได้แบบเดิม ๆ ที่รุ่นพี่ทำต่อ ๆ ตาม ๆ กันมา สิ่งที่จะทำต่อไปเมื่อจบการศึกษาไปแล้ว ก็คงไม่วายเป็นเช่นที่ว่า … คิดต่อไปอีกว่า ไปค่ายน่ะ จุดประสงค์ก็เพื่อให้ เห็นต่างคิดต่างจะได้ เห็นถูกคิดถูกไม่ใช่หรือ? แล้วนี่มาเริ่มนับหนึ่งผิดเสียแล้ว จะนับต่อไปถูกได้อย่างไรกันเล่า มันก็คงผิดไปทั้งกระบวนการอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

1234

อย่าไปเลยค่าย…น่ะ

ถ้าไม่ปรับความคิดที่จะพึ่งตนเองก่อนไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น

ไปค่ายก็คงไม่ได้อะไรหรอก…

« « Prev : มนุษย์

Next : มิตร 6 คน » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

8 ความคิดเห็น

  • #1 sompornp ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 กรกฏาคม 2010 เวลา 4:03 (เย็น)

    น่าจะบอกเขาด้วย ช่วยให้(ใจ)กระจ่าง
    ปัจจุบัน การไปค่าอาสาของเด็ก ๆ มีกระบวนการที่เปลี่ยนแปลงไป (อาจไม่ทุกสถาบัน) ยกตัวอย่างเช่น 
    1)  นิสิตนักศึกษาที่จะไปค่าย จะได้รับเงินตอบแทน  เป็ฯเงินที่รัฐบาลหรือส่วนงานได้รับการสนับสนุน  ดังนั้น น้อง ๆ ก็จะดูว่า ค่ายไหนที่ให้ค่าตอบแทนก็จะไปกัน (รัฐบาลที่ผ่านมาให้เงินสนับสนุน)
    2) วัตถุประสงค์การไปค่ายเปลี่ยนจากการเห็นคุณค่าในความเป็นตัวตน และการให้ เป็นการมองเรื่องเงินเป็นหลัก  ไปต้องมีเงิน ไปต้องมีทุน เรื่องเอาแรงงานเข้าร่วมมีน้อยกว่าเดิม  จะเป็นการไปให้ความรู้ (ทั้งที่ไปให้ หรือไปเอาความรู้…ไม่แน่ใจ) ไม่ได้เป็นการร่วมด้วย ช่วยกัน ร่วมแรงร่วมใจ วัตถุประสงค์ วิธีการ กระบวนการเปลี่ยนไปเยอะ เคยเสนอให้มีการนำรุ่นพี่ที่เคยออกค่ายสมัยก่อนมาเล่าเรื่องการออกค่ายให้น้อง ๆ เพื่อให้น้อง ๆ เห็ฯกระบวนการ และได้เรียนรู้  แต่ก็มีการโต้แย้งของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง ในเหตุผลส่วนตัว ความเปลี่ยนแปลงด้านวัตถุเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้  แต่เปลี่ยนแปลงในจิตใจนั้น มันต้องเปลี่ยนตามยุคสมัยหรือไม่  (ก็เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจ)
    3) ของแถม….ปัจจุบันเรามองและแสวงหาแต่สิทธิของเรา มีการเรียกร้องสิทธิเกิดขึ้นมากมายในปัจจุบัน เช่นสิทธิของผู้ป่วย สิทธิของความเป็นมนุษย์ สิทธิในการได้สิ่งต่าง ๆ ที่เราแสวงหา  แต่จะมีกี่คนที่จะพูดและกล่าวถึง “หน้าที่” บ้าง  หน้าที่ในความเป็นมนุษย์  หน้าที่ของพ่อ แม่ ครู อาจารย์ ลูก หน้าที่ของการอยู่ร่วมในสังคม หน้าที่…….

    แลกเปลี่ยนเรียนยรู้ เล่าสู่กันฟังค่ะ
    คิดถึงหลายวันแล้วค่ะ

  • #2 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 กรกฏาคม 2010 เวลา 4:52 (เย็น)

    ความจริงทำอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับกระบวนการ  ขั้นตอนการทำ
    การคุยกัน  วางแผนก่อนทำ  ต้องรู้ว่า  เจ้าเป็นไผ  จะทำอะไร?  ทำไปทำไม?  เพื่ออะไร?…….
    จะทำอย่างไร?  ทำไปก็ประเมินไปคือมีสติอยู่ตลอดว่าทำอะไรอยู่  ได้ผลเป็นอย่างไร?
    การสะท้อนหลังจากเสร็จกิจกรรม     ไม่ว่าจะได้ผลดี  หรือไม่ได้ผลก็ได้เรียนรู้จากกิจกรรมที่ทำ
    ทำถูก  ได้ผลดีก็ได้เรียนรู้  ทำผิด  ทำไม่ได้ผลก็ได้เรียนรู้……

  • #3 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 กรกฏาคม 2010 เวลา 8:04 (เย็น)

    เดี๋ยวนี้เจอนักศึกษาจะออกค่าย เขียนหนังสือขอบริจาคพร้อมกับแนบรายการของที่ต้องใช้set ละกี่บาทมาด้วย
    ซองจะระบุชื่ออาจารย์เป็นรายคน…ที่สำคัญอาจารย์ที่ปรึกษาค่ายและกิจการนักศึกษาเซ็นชื่อกำกับมาในจดหมายด้วย


    นึกถึงค่ายสมัยก่อนที่เคยทำ และที่เคยทำหน้าที่อาจารย์ที่ปรึกษาค่ายเมื่อสิบกว่าปีก่อน…กว่าจะค่อยๆเติมความคิดให้เขาจนเขามองเห็นว่าแก่นของการออกค่ายที่เริ่มตั้งแต่การวางแผนค่ายฯลฯ….ในตอนนั้นนักศึกษาเขาเสนอความคิดจัดละครเวที เพื่อหาเงินไปค่าย…เพื่อนคณะอื่นๆก็มาช่วยกัน…สุดท้ายเป็นงานใหญ่ประจำปีที่คนรอชม ทำอยู่สองสามปี ก็เปลี่ยนชุดการบริหารจัดการ…แนวคิดแบบนี้ก็ตกกระป๋องไปตามสมัย………ขอร่วมนึกถึงความหลังแบบคนแก่คนหนึ่งค่ะ

  • #4 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 กรกฏาคม 2010 เวลา 9:54 (เย็น)

    พี่ที่รัก

    จะว่าไปน้องก็อยากแจงให้เด็ก ๆ เขาฟังให้กระจ่างใจ… ทั้งน้อง ๆ และตัวเอง…
    แต่ประเมินแล้ว น้องกลุ่มนี้ย้ังไม่พร้อมจะรับฟังความคิดแตกต่างไปจากที่เขาได้รับมา  ก็เลยคิดเองว่า “เมื่อลูกศิษย์พร้อม ครูจะปรากฎขึ้นเอง” (เซนว่าไว้เช่นนี้)

    ความจริงมาคิดดูที่เราหงุดหงิดกับน้อง ๆ ก็เพราะเราเอากรอบความคิดของเราไปตัดสินเขา น้อง ๆ อาจยังไม่ได้คิดอะไรมากมาย เพียงแต่ลองทำ ลองผิดลองถูก … ก็เป็นสิทธิ์ของเด็ก ๆ ที่จะเรียนรู้ไม่ใช่หรือ?
    แต่…เราควรตั้งคำถามกับตัวเราเองให้ฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ เกิดก่อน เห็นก่อน ผ่านประสบการณ์มาก่อน เราน่าจะมีวิธีการอะไรที่จะสอนให้เด็ก ๆ ได้เห็น ได้คิด ได้เติบโตเต็มศ้ักยภาพของเขาต่างหากเล่า

    ข้อ 1-2 เรืิ่อง เงินและวัตถุประสงค์ในการไปค่ายนั้น คงต่างกันไปแต่ละแห่ง และคงมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราเพียงรับและขับเคลื่อนให้ทันกาลอย่างเหมาะสม…ก็น่าจะพอ

    ส่วนของแถมข้อ 3 … อาจต้องคุยกันยาววววววววว…… เพราะเดี๋ยวนี้คนลืมกันไปแล้วว่า “สิทธิ” น่ะ มันมาพร้อม “หน้าที่” จะเลือก เรียกร้องเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งได้ไงกัน

    คิดถึงเลยคุยยาว…..
    ;)

  • #5 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 กรกฏาคม 2010 เวลา 10:01 (เย็น)

    ขอบคุณข้อคิดดี ๆ จากอ.จอมป่วนค่ะ

    กระบวนการสำคัญจริงด้วยค่ะ…
    อ่านข้อคิดเห็นของอ.จอมป่วนแล้ว ยิ้มออก …

    ทำถูก ได้ผลดีก็ได้เรียนรู้  ทำผิด  ทำไม่ได้ผลก็ได้เรียนรู้…

    จะเอาเป็นเอาตายอะไรกับเด็ก ๆ มากมาย เราก็เคยเป็นเด็กมา่ก่อนนี่นา

  • #6 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 กรกฏาคม 2010 เวลา 10:06 (เย็น)

    พี่สร้อยคะ

    5555….แสดงว่าน้องนี่เป็นพวกรุ่นเก่าล้าสมัยแล้ว…เพราะทำเหมือนที่พี่สร้อยว่าเลยค่ะ

    บางครั้งยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เจตคติเปลี่ยน การกระทำ พฤติกรรมย่อมเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ซึ่งก็คงต้องยอมรับ ปรับตัวตามไป….แต่สิ่งหนึ่งที่น้องห่วงก็คือ กระแสของบริโภคนิยมที่รุนแรงมากขึ้นทุกวัน และไม่มีวี่แววว่าจะลดลงเลย…

    ขอบคุณข้อคิดและประสบการณ์ที่พี่นำมาแลกเปลี่ยนค่ะ

  • #7 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 23 กรกฏาคม 2010 เวลา 1:11 (เช้า)

    อ้าว “เจ้าแม่ค่าย” ยังงี้ต้องเจอะกันหน่อย อิอิ

    • พี่เองก็จัดค่ายมาพอสมควร แต่มักจะเป็นค่ายศึกษาเสียส่วนใหญ่
    • เคยมีครั้งหนึ่งจัดหาเงินออกค่ายโดยการจัดหนังฉายที่โรงหนัง เอาเงินที่ได้ไปออกค่าย
    • ส่วนดีของค่ายมีเยอะครับ
    • ค่ายที่พี่ประทับใจมากที่สุดคือ “ค่ายจร” เป็นค่ายศึกษาชนบทดูที่ http://gotoknow.org/blog/dongluang/139199 ยังติดตราตรึงใจอยู่เลย ครั้งนั้นยังร่วมมือกับท่านจาตุรนต์ เสี่ย อ๋อย ของเรา ทั้งค่ายเข้าป่าหมด อิอิ
    • การออกค่ายศึกษา หรือค่ายจร ไม่ต้องหาเงิน ไปกันเอง ออกเงินกันเอง ครับ
    • สำหรับเด็กสมัยนี้ (เดาเอาว่า)เขาตั้งใจดีแล้ว แต่ต้องคุยเยอะหน่อยครับ
  • #8 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 23 กรกฏาคม 2010 เวลา 3:43 (เย็น)

    เรื่อง “เจ้าแม่ค่าย” นี่ เป็นการสถาปนากันเองของเพื่อน ๆ ค่ะ เป็นหัวหน้าชั้นปี1 เลยต้องทำทุกอย่างที่คนอื่นไม่อยากทำค่ะ (ความจริงชอบลุยทั้งที่กระหม่อมบาง)

    การไป survey ค่ายจะเหนื่อยและต้องสมบุกสมบัน ต้องไปนอนบ้านชาวบ้าน บางมื้ออิ่มเกือบท้องแตก บางมื้อหาทางออกจากป่าไม่ได้…อดไปเลย…สนุกค่ะ

    ตามไปอ่านที่ GTK แล้วค่ะ อ่านได้อย่างราบรื่นเห็นบรรยากาศ สนุกจังค่ะ เพิ่งรู้จักคำว่า “ค่ายจร” จะว่าไปก็คงคล้ายกับการไปสำรวจค่ายอย่างนั้นหรือเปล่าคะ เพียงแต่การสำรวจค่าย เป็นการลงไปเตรียมความพร้อมในพื้นที่ก่อนมีค่ายจริง แต่ค่ายจรเป็นการลงไปลุย พบกับประสบการณ์ตรงเลย

    ขอบคุณพี่บางทรายที่นำประสบการณ์มาแบ่งปันค่ะ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.063330888748169 sec
Sidebar: 0.036900997161865 sec