อย่าเชื่อสิ่งที่เห็น
อ่าน: 2104
จำได้ตอนเป็นเด็กนักเรียน ในวัยนั้นเรามักจะเลี่ยงหลบ ไม่สบตากับครูที่ดุ ๆ แถมท้ายด้วยการแอบเม้าท์ตั้งสมญานามให้คุณครูลับหลังต่าง ๆ นานา
คุยกับเพื่อน ๆ น่าแปลกที่หลังจบออกมาแล้ว คราใดที่เรากลับเข้าไปในโรงเรียน เราต้องเร่งรี่เข้าไปสวัสดี ไปกอดคุณครูที่ดุและเรามักจะเลี่ยงเสมอ ๆ และด้วยความรู้สึกที่ดีด้วยนะ ไม่ต่างจากการเข้าไปหาคุณครูใจดีหรือนางฟ้าของเราตอนยังเป็นนักเรียนอยู่
เรานิยามความรู้สึกนี้ว่า “รู้สึกเอี่ยม ๆ” คือ ไม่กลัว รักและเข้าใจที่ท่านต้องคอยดุว่า จ้ำจี้จ้ำไชเรา และยังรู้สึกขอบคุณอย่างมากมายที่ท่านได้คอยกำราบเราให้ตั้งใจเรียน อยู่ในกฎระเบียบ ไม่ให้กลายเป็นเด็กเกเรและไม่ได้เรื่องได้ราว
ครั้นพอมาทำงาน โลกเปลี่ยนไป เราต้องพบเจอคนหลากหลาย เราต้องหัดเรียนรู้ความแตกต่างของ “คน” บางคนก็ดูดุ เคร่งเครียด (แน่นอนเราย่อมไม่อยากเข้าใกล้) บางคนใจดี อบอุ่น (แหงล่ะ เราต้องชอบเข้าใกล้)
ยิ่งผ่านเวลาและประสบการณ์ไปอีก เราก็ยิ่งอัศจรรย์ใจว่า ไม่ใช่อย่างที่เรา “เห็น” หรือ “ตัดสิน” ไว้ก่อนหน้านี้เสียทุกครั้งหรอกนะ
เคยไหม …คนบางคน มีแต่คนบอกว่าใจดี อบอุ่น เป็นกันเอง แต่เรากลับรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง ถามว่าเกิดอะไรขึ้น … คิด ๆ ๆ ๆ หาคำตอบ เราไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจนะ เอ…รึว่า ไอ้คำว่า “ศรศิลป์ไม่กินกัน” นี่ จะมีจริงเสียละมัง… ถามเลยไปถึงคนที่เคยคุ้น สนิทสนมกัน ช่วยกันคิด วิเคราะห์แบบผิด ๆ ถูก ๆ ตามใจตามจริตตัวเอง…
ได้คำตอบว่า…คนบางคนเขาเลือกจะดี จะอบอุ่นเฉพาะกับคนที่เขาประเมินว่า “ซูฮก” เขาเท่านั้น หากไม่สวามิภักดิ์ ยอมลงให้ ดีครับ(ค่ะ) ถูกครับ(ค่ะ) เขาก็จะไม่สนใจหรือยอมรับเราอะไรกับเราหรอก…
เอ๊ะ…ไม่ยักจะเหมือน “ครู” เมื่อยามที่เราเป็น “นักเรียน” เลยแฮะ!!!
งั้น หากจะไม่ “รุ่ง” ในหน้าที่การงานเพราะ ไม่เป็นที่โปรดปรานของผู้ใหญ่ ก็คงต้องทำใจ ยอมรับ ก็จะทำไงได้ ยังหาข้อที่จะ “ซูฮก” ไม่ได้นี่ คงไม่ใช่ว่าท่านจะไม่มีข้อดีหรอก แต่เราไม่ได้เจอะเจอสัมผัสกับ มุมดี ๆ ของท่านพอที่เราจะซูฮกได้ต่างหากเล่า
ข้อสรุปของบันทึกนี้… “อย่าเชื่อสิ่งที่เห็น บางทีก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป”