ข้ามโขงสู่แดนลาว
อ่าน: 9975หัวเรือข้ามฟากพุ่งเข้าเกยหาดทรายฝั่งโขงของแดนลาว ผู้โดยสารทยอยแบกสัมภาระก้าวขึ้นเรือไปรวมทั้งผมด้วย ทันทีที่เหยียบแผ่นดินลาว ณ เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ความรู้สึกของผมก็เปลี่ยนไป ต้องทำตัวเจี๋ยมเจี้ยมราวกับเด็กนักเรียนมัธยมที่เดินเข้าโรงเรียนใหม่ในวันเปิดเทอม
ด้วยความที่ผมมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยประทับใจกับเจ้าหน้าที่ของลาวอยู่หลายครั้ง ผมเคยเดินทางร่วมกับนายอำเภอเชียงแสนโดยรถยนต์มาจากเมืองไทยผ่านลาวไปเมืองหล้าของจีน ขากลับปรากฏว่านำรถกลับเมืองไทยไม่ได้ทั้งๆ ที่เหลือเวลาอีกสามสิบนาทีก่อนด่านพรมแดนจะปิด คณะของผมต้องจอดรถไว้ที่ฝั่งลาวแล้วนั่งเรือข้ามมาฝั่งไทย แล้วโทรศัพท์ให้รถจากอ.เชียงแสน บึ่งมารับที่เชียงของ จากนั้นอีกสามวันจึงไปรับรถกลับได้ เจ้าของรถบ่นอุบเลยครับกลัวโดนถอดชิ้นส่วนไปขาย
ครั้งล่าสุดเจ้าเมืองต้นผึ้งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับอำเภอเชียงแสน มีหนังสือเชิญผมไปร่วมงานบวชป่าที่ฝั่งลาว ผมก็เตรียมข้าวสาร อาหารแห้ง ข้าวของเครื่องใช้ ผ้าห่ม ไปช่วยงานเขา ผมคิดว่าต้องเอาไปให้เขาก่อนวันงานหนึ่งวันเพราะข้าวเหนียวเวลาจะนึ่งต้องแช่น้ำไว้หนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นจะได้นึ่งข้าวเลี้ยงชาวบ้านได้ ผมจึงเดินทางล่วงหน้าไปก่อนหนึ่งวัน พอถึงฝั่งลาวเจ้าหน้าที่เมืองต้นผึ้งไม่ยอมให้เอาข้าวของขึ้นฝั่งลาว ผมไปเจรจาอยู่นานก็ไม่ยอมท่าเดียว เลยต้องโทรศัพท์ไปหาผู้ประสานงานฝ่ายลาวแจ้งให้เขาทราบ สักพักเจ้าเมืองก็ส่งเจ้าหน้าที่ขับรถมารับผม เขาเดินไปบอกเจ้าหน้าที่ด่านว่าผมเป็นแขกของท่านเจ้าเมือง มาร่วมงานบวชป่าในวันพรุ่งนี้ เจ้าหน้าที่ด่านหันมายิ้มกับผมแล้วบอกว่า “เจ้ามาผิดมื้อ” ผมหัวเราะก๊ากเลยครับ ก่อนที่จะบอกเขาว่าถ้าผมไม่เอาข้าวปลาอาหารมาวันนี้ แล้ววันพรุ่งนี้จะเอาข้าวที่ไหนมาเลี้ยงชาวบ้านที่มาร่วมงาน
ความรู้สึกเหล่านี้ยังคงกัดกร่อนความมั่นใจของผมทุกครั้งที่เหยียบแผ่นดินลาว แต่แม่ศรีภรรยาของผมเขากลับดูมาดมั่นทะมัดทะแมงไม่หวั่นไหวใดๆ เลย เพราะเจ้าหล่อนไม่เคยร่วมเหตุการณ์เหล่านั้นกับผมเลยสักครั้ง
หลังจากผ่านพิธีการต่างๆ ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองห้วยทรายแล้ว คณะของเราก็เดินขึ้นฝั่งไปยังจุดนัดหมายทันที เมื่อถึงจุดนัดหมายก็เห็นรถโตโยต้าวีโก้สองตอนสี่ประตูสีบรอนทองจอดอยู่ อ้ายโนเจ้าของรถเดินเข้ามาทักทายเราด้วยความสนิทสนม เพราะคุ้นเคยกันอยู่กับเจ้าเบิ้มผู้ที่ชวน(หลอก)ผมมาในครั้งนี้เป็นอย่างดี ทำให้ความมั่นใจของผมเพิ่มขึ้นอีกมากว่าประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอย
เราสนทนากันด้วยภาษาของใครของมันแต่ก็สื่อสารกันรู้เรื่องเข้าใจกันดี อ้ายโนเป็นคนพูดเพราะด้วยภาษาเมืองหลวงพะบาง ส่วนผมก็อู้คำเมืองห้วนๆ ตามแบบฉบับของคนเมืองน่าน ผมเพลิดเพลินไปกับภาษาพูดของอ้ายโน และสมองของผมเริ่มจดจำสำเนียงภาษาที่อ้ายโนพูด จากนั้นก็เริ่มคิดเป็นภาษาเมืองหลวงพะบาง จนผมคิดว่าน่าจะพูดได้บ้างไม่มากก็น้อย
เมื่ออ้ายโนขับรถมาส่งที่ธนาคาร เพื่อแลกเงินบาทเป็นเงินกีบ ผมก็เว้าภาษาเมืองหลวงฯ กับเจ้าหน้าที่ของธนาคารทันที อ้ายโนหัวเราะชอบใจก่อนที่จะเดินออกไปรอที่รถ ผมแลกเงินไทย 4,000 บาท ได้เงินลาวมา 996,600 กีบ เกือบล้านเชียวนะครับ ส่วนมากเป็นธนบัตรฉบับละยี่สิบพัน กีบ ( 20,000 กีบ) หนาปึกใหญ่ทีเดียว ผมจับยัดใส่กระเป๋าคาดเอวใบเล็กจนตุง แล้วเดินมาที่รถพร้อมกับใช้มือตบที่กระเป๋าโชว์ คนในรถเห็นแล้วฮาตรึมเลยครับ (อัตราแลกเปลี่ยน 1บาท : 250กีบโดยประมาณ)
บันทึกนี้โพสต์เมื่อ วันที่ วันพุธ, 19 พฤศจิกายน 2008 เวลา 12:28 (เย็น) และจัดไว้ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่. ติดตามอ่านการแสดงความเห็นได้ที่ฟีดนี้ RSS 2.0. คุณสามารถจะ ฝากความคิดเห็นไว้, หรือ แทร็กย้อนหลัง จากเว็บไซต์ของคุณได้.
#2:: สิทธิรักษ์ 19 พฤศจิกายน 2008 เวลา 5:51 (เย็น)
กระบาลเบากระเป๋าหนักครับ