ตามจริต (21) : ติดหมอ 2

โดย sompornp เมื่อ ตุลาคม 15, 2008 เวลา 20:34 ในหมวดหมู่ ตามจริต, เรื่องรื่นรมย์ #
อ่าน: 1142

บันทึกนี้ก็เช่นกัน จากการได้แลกเปลี่ยนกับพี่หมอเจ๊ในบันทึกของลานปัญญา

เอามาเช่าสู่กันอ่าน เช่นกันค่ะ

พี่หมอคะ

อยากแลกเปลี่ยนค่ะ

…….

ถ้าเรามีจิตซึ่งคงไว้ด้วยความปกติ ความดีงาม

เราก็จะแก้ไขทุกอย่างให้เป็นไปด้วยดี

เหมือนที่ว่า “งานก็ได้แก้ไข ใจของเราก็รอด”

เราก็จะมองชีวิตผ่านการเรียนรู้ อย่างสวยงาม

……

เหมือนที่เคยถกกันหลายครั้งหลายคราว่า

“เราต่างมีสัญญาเก่า” ทั้งที่ตัวเรารู้ และคนอื่นเห็น

…..

ในภาวะที่เรา “วิ่ง” ไปข้างหน้า หาเหตุแห่งการเกิดเจอ

เราก็จะวิ่ง ๆ ๆ ๆ ขณะที่ คนข้างหลังเรายัง “เดิน” หรือหยุด

เราอาจจะลืมสัญญาเก่า…ที่เขาเคยมีกับเรา…

หรือถ้าเราไม่ลืม….แต่เรากำลังทำในสิ่งที่เราวิ่งหาเจอ

แต่เขายังเดินค้นหา หรือไม่เคยเดินเลย

…..

อย่างพี่หมอว่า “การหน่วง” ทำให้เรามีโอกาสได้คิด ได้พักเบรคตัวเอง

เหมือนการทบทวนตัวเองต่อสิ่งที่คิด สิ่งที่จะกระทำ อาจทำให้เกิดการวางได้ (แม้จะไม้สิ้นเชิง)

…..

การทบทวนตัวเอง รู้จิตตัวเอง หมายถึงการมีสติ เป็นสิ่งที่ดี

โจทย์ในชีวิตแต่ละข้อ สอนให้เราเรียนรู้ในความหลากหลาย

บทบาทแต่ละบทบาทที่เขาสมมุติให้ เราก็ต้องทำตามสิ่งที่สมมุติ

หลีกไม่พ้น หนีไม่พ้น เพียงเราจะแสดงบทบาทนั้นอย่างไร

พี่หมอ…ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นจิตที่บริสุทธิ์

แสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่มีในใจ อยากให้เขารู้หรือไม่ก็ตาม

หนูมีสิ่งหนึ่งที่อยากแชร์ตรงนี้ว่า …บางครั้ง…บางคน….

อาจมีสัญญาเก่าที่ว่า “พี่หมอ(เคย)ดุ” “พี่หมอ……”

ซึ่งคนที่ได้สัมผัสกับสัญญาเก่า อาจจะยังไม่ได้เรียนรู้ในความเปลี่ยนแปลง

ทั้งการงาน ทั้งส่วนตัว ดังนั้น “ต้นทุนใจ” จึงไม่เท่ากัน

ในขณะที่พี่หมอวิ่งไป แต่คนอื่นยังเดินตาม

(วิเคราะห์จากตัวเอง กระมังคะ)

…..

แต่…..พี่หมอก็มองเห็นตัวอง เห็นสติ นำไปสู่การปฏิบัติได้

กระบวนการที่เราได้เรียนรู้ร่วมกัน ไม่ว่าจะ……

จากงานเฮฮาฯ

จาการพูดคุยแลกเปลี่ยน

จากการเรียนรู้ผ่านโลกเสมือน

จากการเรียนรู้ผ่านตัวอักษร

หรือการพูดคุยกับแบบตัวเป็น ๆ

มันช่วยหล่อหลอมจิตใจเราให้เกิดการเรียนรู้ภายในใจกันอย่างแท้จริง

อย่างที่หนูเคยคิดว่า

คนเราเปลี่ยนไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้น เราต้องยอมรับในความเป็นเขาให้ได้

แต่…เมื่อได้คุยแลกเปลี่ยนกันแล้ว หมอ 2 หมอก็ฟันธงว่า “เปลี่ยนได้” ไม่มากก็น้อย

คิด….

คิด….

คิด….

เราจะเปลี่ยนเขาได้ด้วยพลังจิตที่บริสุทธิ์ของรา

ถ้าเราเปลี่ยนโลกภายในใจของเราให้ดี

พลังจิตที่ดีของเราก็อาจสามารถส่งผลให้ผู้อื่นเปลี่ยนได้

ความคิดที่ดี ผ่านกระบวนการที่ดี ด้วย กระบวนกรที่ดี

จะส่งผลการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในใจได้….อย่างสวยงาม

….เป็นกำลังใจ….

….และคิดว่าอีกหลายคน ก็จะเป็นกำลังใจ…..

…. “เรา” จะเป็นกำลังใจให้ซึ่งกันและกัน

….เพื่อก่อให้เกิดความดีงามที่หล่อเลี้ยงชีวิตเราค่ะ

Post to Facebook

« « Prev : ตามจริต (20) : ติดหมอ 1

Next : เพียงเพราะฉันอยากเขียนบันทึกสัก 1 เรื่องในคืนนี้ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

4 ความคิดเห็น

  • #1 หมอเจ๊ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 ตุลาคม 2008 เวลา 21:59

    การลองคือการเรียนรู้ เมื่อจะลองก็อย่ายึดความกลัวเอาไว้มั่น การติดกับกับคำตอบผิด/ถูก คือ กลยุทธ์ที่ความกลัวมันล่อหลอกให้เรายึดมันไว้แน่น รู้ให้ทัน รู้ให้ทัน น้องเอ๊ย

  • #2 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 ตุลาคม 2008 เวลา 8:52

    เยี่ยมค่ะท่านพี่ทุกท่าน เบิร์ดก็ได้ศึกษาและทบทวนในสิ่งที่เกิดจากการสนทนา การแลกเปลี่ยนทั้งในโลกจริงและในโลกเสมือนเช่นเดียวกันค่ะ

    ความรักที่แท้คือการลดตัวเอง แต่ไปเพิ่มที่คนอื่น..มหาตมะคานธี มีคนแปลความหมายนี้ไปมากมายตามสัญญาเดิมของตนรวมทั้งตัวเบิร์ดเองด้วย ซึ่งเบิร์ดพอใจที่จะตีความว่า เมื่อใดก็ตามที่เราไม่มีกำแพง ไม่มีอัตตา ไม่มีการตัดสิน “ตัว”เราก็ไม่มี เราจะสามารถเข้าใจและอยู่ร่วมกับสรรพสิ่งได้อย่างมีความสุขและสามารถโน้มน้าว น้อมนำด้วยอำนาจของมโนธรรม เป็นมณฑลแห่งพลังที่ดีงาม โดยมีบ่อเกิดจากตัวเราเอง

    สิ่งมีชีวิตทุกอย่างมีพลังแต่จะเป็นพลังฉ่ำเย็น เร่าร้อน หรือว่าโอบเื้อื้อให้เติบโตอยู่ที่การปรับเปลี่ยน เรียนรู้ของตัวเองเป็นหลักร่วมกับการอยู่ท่ามกลางกัลยาณมิตรหรือครู ผู้รู้ที่ชักนำ ชี้แนะด้วยธรรม และพลังแห่งความดีงาม ที่โอบอุ้มและหล่อเลี้ยงให้เติิิิบโต

    นึกถึงเสือที่พระท่านเลี้ยงนะคะพี่อึ่ง สัญชาตญาณเจ้าป่าดุร้ายแต่กลับกลายเป็นเชื่องเชื่อ เมื่ออยู่ท่ามกลางความสงบเย็นและเมตตาธรรม มณฑลแห่งพลังจึงมีอยู่จริงและพิสูจน์ได้เนาะคะ

  • #3 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 ตุลาคม 2008 เวลา 17:58

    หลังบ้านผมมีป่าไม้เกิดขึ้นเพราะถูกปิดมิให้คนเข้ามา ธรรมชาติก็คืนมาด้วยกฏทางธรรมชาติเอง

    วันดีคืนดีเขาปล่อยน้ำจากเขื่อนอุบนรัตน์ให้ลงมาเพื่อระบายน้ำมิให้เกิดความเสี่ยงในการเก็บกักน้ำตามความสามารถของเขื่อน

    น้ำมาท่วมหลังบ้าน เจิงนองไปหมด ป่าไม้ก็ถูกน้ำแช่

    วันหนึ่ง ผมนั่งดูน้ำที่ท่วมนั้น เห็นมันกระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา เป็นคลื่อนเล็กๆ
    มุมหนึ่งของการรับรู้ คือ เป็นความสวยงาม เย็น สบาย
    อีกมุมหนึ่งเห็นลึกลงไปอีกว่า น้ำกระเพื่อม เพราะมีเหตุปัจจัยทำให้กระเพื่อม เมื่อกระเพื่มแล้วมันก็กระจายคลื่นเล็กไปเป็นวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ตามกฏธรรมชาติ เมื่อคลื่นเล็กๆนั้นไปกระทบโคนต้นไม้กลางน้ำนั้นก็เกิดคลื่นไหม่ไหวติงต่อไปอีกไม่รู้จบ…..

    มันช่างเหมือนใจเราหนอ ใจเดิมแท้เราบริสุทธิเหมือนน้ำที่มีผิวน้ำนิ่งสงบ ไม่ไหวติง เมื่อเกิดผัสสะ จำได้หมายรู้ แต่นั้นเอง ก็เกิดคลื่นกระเพื่อมในใจทันที คือความรู้สึกต่างๆ ชาบ ไม่ชอบ อร่อย ไม่อร่อย…ฯลฯ แล้วก็สะสมการจำได้หมายรู้นี้ไปมากขึ้นจนกลายเป็นคุณสมบัติของคนคนนั้น

    เป็นสนิมที่พอกพูนในใจมามากขึ้น มากขึ้น ไม่เคยถูกกระเทาะออกเลย อาจจะเคยรับรู้วิธรเคาะเอาสนิมใจนั้นออกไป แต่ไม่เคยทำเองเลย เพราะไม่มีใครทำให้ได้ นอกจากตัวเอง

    เหมือนกับ มหาสติปัฐฐาน 4 ที่กล่าวว่า ทางสายนี้เป็นทางสายเดียว ไปได้คนเดียว ผู้ปฏิบัติเท่านั้นที่จะรอดไปได้ ผู้เพียงรู้นั้นไม่สามารถไปในทางสายนี้ได้ั

    สาธุ ผู้ศึกษาและพยายามปฏิบัติ

    เธอผู้ไม่ปลูกข้าวจะได้กินข้าวได้ฉันใด
    เรื่องในใจของตัวเองจะให้ใครมาฟอกให้นั้นย่อมไม่ได้…..เอวัง..ครับ

  • #4 หมอเจ๊ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 ตุลาคม 2008 เวลา 20:24

    การหน่วง เป็นไปเพื่อทำให้คุณภาพการฟังตัวตนของเราได้ชัดขึ้น พร้อมแลกคืนมาซึ่ง “การรู้โดยไม่ต้องคิด” น่าสนมะ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.082778930664062 sec
Sidebar: 0.037360906600952 sec