เดี๋ยวนี้อะไรๆก็ต้องตีความ แม้แต่คำว่าตีความ….
เดิมทีการเข้าใจอะไรๆ ก็เข้าใจตามตัวอักษร
นั่นอาจเป็นเพราะเวลานั้น..คือ เวลานั้น..
และ.เวลานี้ คือ..เวลานี้…
เมื่อผ่านเวลา ก็รับยาขมหม้อเล็ก หม้อใหญ่
ไปตามสถานการณ์ แบบฝึกหัดก็ผ่านไปหลายบท
ละครชีวิตก็ดูมาหลายเรื่อง
อย่าไปโทษอะไรเลย…มันเป็นธรรมดา ธรรมชาติ เช่นนั้นเอง
ถ้าเราเกิดมารู้หมดทุกอย่าง ทำได้หมดทุกอย่าง
เราคงไม่ใช่คนปกติ…แม้ร่างกาย แม้สรรพสิ่ง ก็ยังมี
วันเวลาเป็นตัวกำหนดความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
เราจะคิดหวังว่า น่าจะ..อย่างนั้น อย่างนี้ นั้นก็คือ ความอยากแล้ว..
แม้ในศีลข้อที่ 1ที่ท่องมาแต่เด็กๆ เด็กๆท่องว่าห้ามฆ่าสัตว์
ถ้าตีความตามตัวอักษร ห้ามฆ่าให้ตาย ทำให้ตาย
ตามตัวอักษรน่าจะหมายถึงการทำให้ตายโดยเจตนา
แต่ถ้าจะคิดให้ลึกซึ้ง ถึงเจตนาของคำสอนแล้ว มีเจตนาลึกซึ้ง
กว่าการฆ่ามาก ดังจากคำสอนของสมเด็จพระสังฆราช
ใน แสงส่องใจ พระองค์สอนถึงเจตนาของศีลข้อ 1 ที่ลึกซึ้ง
ว่า อย่าว่าแต่ทำให้ถึงตายเลย แม้แต่การกระทบต่อกาย หรือ ใจ
ก็ไม่ควรทำ คำเทศนานี้ชี้ให้เห็นลึกลงไปในคำสอน
คำห้ามของพระพุทธองค์ ซึ่งเราจะเรียนกันตามตัวอักษรไม่พอ
แต่นั่นก็ขึ้นกับคนเรียนด้วยเหมือนกันว่าจะคิด พิจารณาเพียงใด
สาเหตุหนึ่งที่เกิดเรื่องต่างๆระหว่างคนก็คือ การกระทบที่ใจ
การกระทบที่กาย นั้นเอง กระทำอย่างไร กระทบอย่างไร
ด้วยวาจา ด้วยสื่อ ด้วยเจตนา ด้วยไม่เจตนา กระทำโดยตรง
กระทำโดยอ้อม ก็ล้วนแต่มีผลทั้งสิ้น จะผลในระดับใดก็สุดแต่
จะพิจารณาได้โดยสติ โดยสมาธิ นั้นคือก่อกรรมแล้ว อาจดี หรือ ไม่
ก็พิจารณาโดยละเอียดได้อีก การไม่ทำชั่ว เท่ากับอย่าติดลบ การทำดี
คือทำเพิ่มจากเดิม ลดการติดลบ จนถึงทำให้เป็นบวก และการทำให้จิตใจ
บริสุทธิ์ คือ ลดละล้าง กืเลส ความเศร้าหมองที่นำไปสู่การติดลบ
และการลดความดี จากที่เคยมีลงไป
การรู้รักษาตัวรอดนั้น ถ้าตีความในทางลบ อาจหมายถึง
การเอาตัวรอดโดยทิ้งความรับผิดชอบ และ หรือ เห็นแก่ตัว
แต่ถ้าตีความในทางบวก อาจหมายถึง
กระทำการโดยรอบคอบ และไม่ทิ้งความรับผิดชอบ ไม่เห็นแก่ตัว
แต่รู้จักคิดเลือก ทำการใดๆในทางที่ชอบที่ควร และไม่เป็นภัยแก่ใคร
ในสังคมทุกวันนี้ ฉลาด แต่ ไม่เฉลียว ก็พัง…
ดังนั้นการกระทำใดๆพึงกระทำโดยไม่ประมาท
แมัการทำดี ก็มีการทำดีโดยประมาทได้ด้วย…..
ก็อยู่ในสังคมมนุษย์ จึงต้อง รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดดี
ดูที่เจตนา ทำดีโดยไม่ประมาท