Software Freedom Day 2008
ต.ค. 18

ที่เกิดนึกจะเขียนบล็อกขึ้นมาทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยคืออย่างนี้ครับ ในช่วงสามปีที่ผ่านมาผมเริ่มบริษัทที่ปรึกษาเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ศรีราชา ทำหน้าที่ช่วยเหลือองค์กรในการเปลี่ยนไปใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส บริษัทมีเว็บหลายเว็บ แต่ผมไม่เคยคิดจะเขียนบล็อกเพราะมีความรู้สึกว่าไม่มีเวลาเขียนหนังสือ เพราะเขียนช้า จนกระทั่งพักหลังๆ สังเกตตัวเองว่ามีเรื่องบางเรื่องที่ชอบเล่าหรือบ่นให้พวกน้องๆ ในบริษัทฟัง ไปๆ มาๆ เลยกลายเป็นความหมกหมุ่นที่ทำให้สนใจในปัญหานี้ เพราะตัวผมเองก็มีปัญหานี้ น้องๆ ก็มีกัน ดูคนทั่วไปก็มี แล้วก็เป็นปัญหาในการทำงานมาก เรียกได้ว่าเป็นปัญหาเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ในที่ทำงานของผมเลย

ปัญหาที่ว่าคือเรื่อง “นิสัยคนไทย” ซึ่งแปลว่าปัญหาแบบนี้เป็นปัญหาเฉพาะในที่ทำงานหรือบ้านเมืองคนไทย ไม่ใช่ปัญหาสากลทั่วไป ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ใช่ว่าฝรั่งมันดีกว่าเรา หรือว่ามันไม่มีปัญหานะครับ แต่ว่าปรกติปัญหาสากลเราก็มักจะมีทางแก้ที่มีการเรียนรู้มาเป็นอย่างดี ปัญหาลักษณะนิสัยของฝรั่งก็มักจะมีหนทางแก้หรือไม่ก็แค่ทำความเข้าใจ แต่ปัญหาจาก “ความเป็นไทย” โดยเฉพาะในที่ทำงานดูจะเป็นอะไรที่ “ตามมีตามเกิด” องค์กรที่จัดการเรื่องนี้ได้ดีก็จะมาจากประสบการณ์ หรือเกิดจาก “ตัวบุคคล” ของผู้บริหารที่เข้าใจนิสัยคนไทย มากกว่าที่จะมีหลักการให้เลียนแบบได้

เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่น่าถกเถียง เลยขอยกขึ้นมาจั่วหัวไว้ก่อน ลองค้นดูในเน็ตพอจะมีข้อมูลให้อ้างอิงได้บ้างตามที่ลอกมาไว้ข้างล่าง

ระบบอุปถัมภ์เป็นแกนหลักของสังคมไทย

  1. ยึดตัวบุคคล
    1. ขาดหลักการ
    2. ขาดอุดมการ
  2. ไม่แบ่งแยกกันระหว่าง Public + Private
    1. ขาดจิตรสำนึกต่อส่วนรวม (Public Mind / Spirit)
    2. ขาดความดีงามของสาธารณะ (Public Good)
    3. ขาดผลประโยชน์ต่อส่วนรวม (Public Interest)
    4. ขาดการรับผิดชอบต่อส่วนรวม (Public Responsibility)
    5. ขาดการตรวจสอบสาธารณะ (Public Accountability)
  3. ขาดความเสมอภาค (Social Equity)
  4. ขาดความยุติธรรม (Social Justice)
  5. ลักษณะของคนไทยชอบเล่นพรรคเล่นพวก / ไม่สามัคคี
  6. สามัคคีเฉพาะกลุ่ม  ไม่สามัคคีในภาพรวม
  7. ประจบสอพลอ

ศาสตราจารย์  Ruth Benedict ได้ทำการศึกษาวิจัยญี่ปุ่นก่อนแล้วเลยมาศึกษาสังคมไทยทำการแต่งหนังสือ “ Thai Culture and Behavior ” พบว่า

  1. คนไทยเฉย ,เฉื่อยชา
  2. คนไทยรักสนุก ,รักสบาย ,และคนไทยใจเย็น
  3. คนไทยไม่ทำอะไรรุนแรง
  4. คนไทยผู้ชายมักจะเป็นผู้นำ คือจะมีสมรรถนะทางสังคมไม่เท่ากัน

ทีมงานศาสตราจารย์  Sharp และคณะ Professor Herbert Phillips จากมหาวิทยาลัย Cornell ได้เข้ามาวิจัยชนบทไทยพบว่า พฤติกรรมของคนไทยเป็นเช่นนี้

  1. คมไทยชอบมีปฎิสัมพันธ์สูง (Take Pleasure in Social Interaction)
  2. สังคมราบเรียบ (Social Harmony)
  3. คนไทยไม่ชอบขัดแย้ง ,ไม่ชอบการเผชิญหน้า (Avoid Face – to -Face  Conflict)
  4. คนไทยใช้เครื่องสำอางทางสังคม (Social Cosmetic)
  5. คนไทยเป็นอิสระทางจิต (Psychic Independent)
  6. คนไทยเป็นปัจเจกบุคลสูง (High Individual)
  7. คนไทยมีความเกรงใจ  ไม่ทำการฉีกหน้าคนอื่น
  8. คนไทยไม่ชอบผูกพันในระยะยาว  ชอบงานเฉพาะกิจ
  9. คนไทยรักสนุก  ทำให้อารมณ์ดี
  10. คนไทยไม่ชอบการวางแผน  ชอบเป็นนักปฏิบัติ
  11. คนไทยชอบแก้ปัญหา  ไม่ชอบป้องกันปัญหา

John F Embree  เขียนบทความชื่อ “Thailand The Loosely Structured Social System”

  1. คนไทยยืดหยุ่นสูงมาก (Flexibility)
  2. คนไทยเข้าใจกฎระเบียบ กติกา แต่ไม่ปฏิบัติตาม  ชอบละเมิดและผู้ละเมิดก็ไม่ถูกสังคมลงโทษ
  3. คมไทยชอบตามใจตนเองสูง  ขาดระเบียบวินัย (Individualism)
  4. คนไทยเป็นคนเกรงใจ  รักสงบ
  5. คนไทยไม่ชอบผูกพันระยะยาว ชอบทำงานเฉพาะกิจ  และไม่ชอบทำงานกลุ่ม

แต่คนไทยก็อยู่ได้และมีจุดเด่นคือ

  1. สามารถอยู่รอดได้ โดยไม่เป็นเมืองขึ้นใคร (Survival)
  2. รวมกันเป็นกลุ่มก้อน ,ผสมกัน , มีบูรณาการสูง (High Social Integration)

7 ความคิดเห็นสำหรับ “นิสัยคนไทย”

  1. จอมป่วน Says:

    ขอบคุณมากครับสำหรับบทความดีๆ

    สงกะสัยน่ะครับ ฝรั่งมาวิจัยนิสัยคนไทย แล้วทีคนไทยไม่สนใจรู้นิสัยคนไทยมั่งเลยเหรอครับ มีวิจัยนิสัยคนไทยโดยคนไทยมั่งไหมครับ ? อิอิ

  2. Logos Says:

    ยินดีต้อนรับครับ

    การเหมารวมกันไปนั้น เป็นไปเพื่อความง่ายในการเข้าใจของคนที่พอใจจะไม่สนใจในรายละเอียด แต่ต้องการจะรู้สึกเหมือนกับว่าเข้าใจครับ แม้การเหมารวมจะดูเข้าท่าเมื่อมองภาพจากไกลๆ แต่เวลามามองไปในรายละเอียดแล้ว จะพบว่ามีข้อยกเว้นต่างๆ มากมาย

    ทั้งนี้เป็นเพราะสังคม ไม่ว่าเล็ก-ใหญ่ จะมีความแตกต่างเสมอ ถ้าเพียงแต่ยอมรับว่าแต่ละคนมีความแตกต่างกัน รับเขาแบบที่เขาเป็น ก็จะไม่วุ่นวายใจครับ

    การยอมรับแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าใครนึกจะทำอะไรก็ทำ แต่ว่าการอยู่ร่วมกัน ก็น่าจะมีเป้าหมายเดียวกัน ถ้าไม่มี จะเรียกว่า “ร่วม” กันได้อย่างไรล่ะครับ

    รูปจากบันทึกที่ให้ไว้ รูปบนแม้จะหันหน้าเข้าหากัน ปรองดองเป็นอย่างยิ่ง แต่มุมมองกลับสวนทางกัน 180° ส่วนรูปล่าง แม้จะมองไปยังประตูด้วยเว็คเตอร์ที่ต่างกัน แต่กลับสามารถเดินออกประตูไปได้ทั้งคู่ครับ

  3. bangsai Says:

    ยินดีต้อนรับครับ

    น่าสนใจที่รวบรวมผลการศึกษาวิจัยนี้มาไว้
    ท่านที่เรียนมาทางสังคมวิทยา มานุึษยวิทยาจะต้องผ่านผลงานวิจัยนี้มาทั้งนั้น เพราะบังคับเรียน

    พูดกันยาวครับเรื่องนี้

    อีตาเอมบรี่นั้นมาศึกษาที่บ้านบางชันใกล้ๆกรุงเทพฯ เมื่อหลายสิบปีก่อนนู้น…เป็นงานวิจัยไม่ใช่บทความเฉยๆด้วย ประเด็นคือ
    - เรายอมรับข้อสรุปนี้แค่ไหน ดูเหมือน Logos จะอธิบายเรื่องนี้ไว้เป็นที่เข้าใจแล้ว
    - ประเด็นที่สำคัญที่มองในแง่คนนักการศึกษา นักพัฒนาสังคม คือ ทั้งหมดนั้นหากยอมรับกัน(จะแค่ไหน อย่างไรก็ตาม) ความสำคัญอยู่ที่สาเหตุมาจากอะไร

    หลายท่านสรุปเปรี้ยงไปเลยว่าเพราะสังคมเรานับถือศาสนาพุทธ และคำสอนของศาสนามีส่วนสร้างเอกลักษณ์ “บางอย่าง” ดังกล่าวมานั้น บางคนบอกว่าเพราะ “เผ่าพันธุ์” หรือ DNA ของคนในแถบตะวันออกนี้ ??? บางคนก็ว่า….

    บางคนเสนอว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น การอยู่ในสังคมก็ต้องสร้างกฏกติกาที่เข้มแข็ง…. แต่ไม่ว่าจะแข็งอย่างไร ปรากฏการณ์ที่เห็นบ่อยๆคือ การละเมิดกฏกติกานั้นๆ ตั้งแต่ระดับรากหญ้าชาวบ้านทั่วๆไปจนถึงรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี..ตัวอย่างมากมาย ง่ายๆออกไปตามถนนก็เห็นคนผ่าไฟแดงทุกวี่วัน ฝรั่งมันก็ผ่าไฟแดงเหมือนกันแต่จำนวนน้อยกว่ามาก….เพราะอะไร…ทำไม… อะไรคือความแตกต่าง มันเป็นเพราะการอบรมสั่งสอนทั้งในระบบและนอกระบบ หรือเป็นสันดานที่ติดมากับ DNA

    โดยส่วนตัวผมยอมรับข้อสรุปเหล่านี้ค่อนข้างมาก เพราะในภาระหน้าที่รับผิดชอบก็เผชิญปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้มาตลอด ซึ่งบางเรื่องส่งผลกระทบต่องานมากทีเดียว แต่ลึกๆเชื่อมั่นว่า สิ่งที่ดีงาม ที่ถูกต้องแบบไทยๆ (ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบสากลเอาฝรั่งเป็นตัวตั้งนั้นไม่ใช่ ) สามารถสร้างได้ พัฒนาได้

    ผมเคยเข้าไปกินอาหาร “แดกด่วน” ขออภัยครับ.. และสังเกตุว่าสิ่งที่พนักงานในร้านปฏิบัตินั้นเป็นมาตราฐานที่ไปร้านนี้ที่ไหนๆก็เหมือนกันหมด และที่สำคัญ พนักงานนั้นก็ “บักเสี่ยวคักๆ” (เป็นคำล้อเล่นสนุกๆนะครับมิได้หมายความเชิงดูถูก) ก็เด็กอีสานกินปลาแดก กินส้มตำแซบๆทั้งน้าน ทำไมทำได้ล่ะ และทำได้ดีด้วย น่าที่จะอยู่ีที่……………

    อีกประการที่สำคัญ สิ่งแวดล้อมตะวันออกแตกต่างจากตะวันตก วัฒนธรรมตะวันออกแตกต่างจากตะวันตก วิถีชีวิตแตกต่างกัน ..ฯลฯ ลักษณะอุปนิสัยจึงแตกต่างวกัน และสังคมแบบนี้ก็ดำเนินมาเป็นพันปี ผมมิได้ตั้งใจจะกล่าวว่าดีอยู่แล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อองค์ประกอบเป็นเช่นนั้นจึงสร้างความเป็นตะวันออกเช่นนี้

    แต่เมื่อสังคมโลกเป็นหนึ่งเดียว จึงมีมุมมองตะวันตกมองตะวันออก ตะวันออกมองตะวันตก ด้วยฐานที่แตกต่างกัน และมักจะมีนัยในการอธิบายว่าของตัวเองเป็นมาตรฐานกว่าด้วยซ้ำไป

    ผมคิดว่ามีหลายอย่างตะวันออกต้องพัฒนา มิใช่ปฏิเสธข้อสรุปนั้น หรือยอมรับข้อสรุปนั้นแล้วก็มองไปที่แบบตะวันตกเป็นเป้าหมายที่ต้องเดินไปหา มิใช่ เป้าหมายตะวันออกต้องเป็นแบบตะวันออก อยู่บนฐานตะวันออก ซึ่งหลายอย่างอาจจะเข้าไปเหมือนตะวันตก หรือเข้าใกล้มาตรฐานตะวันตก แต่ก็อาจจะมีสิ่งที่แตกต่างกันตรงข้ามก็ได้

    เช่น ลูกฝรั่งไปเยี่ยมพ่อที่แก่แล้วที่บ้าน เพราะมัมไปทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียว ในสังคมทุนนิยมที่แข่งขัน ไม่ค่อยมีเวลาไปเยี่ยมเยือน เมื่อไปเยี่ยมพ่อบังเกิดเกล้า ต่างก็ดีใจ ลูกขอกินกาแฟตามนิสัยตะวันตก เมื่ออิ่มเอมการพูดคุยกันเพียงพอแก่เวลาที่เร่งรัดแบบตะวันตกแล้ว ลูกขอลาพร้อมกับควักเงินใส่ในกระป๋องแล้วบอกพ่อว่า นี่ค่ากาแฟ พ่อพยักหน้า แล้วลูกก็จากลาไป…?????….. เรื่องแบบนี้สังคมไทยจะไม่มีเด็ดขาด มีแต่เอาเงินไปให้พ่อแม่ไว้ใช้จ่าย รักษาเนื้อตัว…..

    ข้อวิจัยต่างๆนั้นดีครับ แต่เอาเป็นกระจกส่องตัวเรา เพื่อนร่วมงาน และสังคมเรา พร้อมกับหาทางลดจุดบกพร่อง จุดด้อยแบบสังคมตะวันออกของเรา…..

    ผมเองก็กุมขมับเมื่อพบลักษณะเฉพาะของคนชนเผ่าในแนวทางการพัฒนาสังคมใหม่ที่เอาสิ่งใหม่ๆเข้าไป แต่ก็ยอมรับความเป็นเขา….เพียงมองหาลู่ทางว่า ทาวออกที่ดีที่สุดคืออะไรครับ

    ขอบคุณที่หยิบประเด็นใหญ่นี้มาแลกเปลี่ยนกันครับ

  4. น้ำฟ้าและปรายดาว Says:

    มาต้อนรับสมาชิกใหม่ค่ะ และยินดีกว่านั้นคือได้อ่านบันทึกดีๆด้วยสิคะ ^ ^

    เห็นด้วยว่าการรู้จักนิสัยคนไทยโดยคนไทย นั้นมีน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นวิจัยจากต่างชาติซึ่งน่าคิดว่าทำไม และที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือตามที่คุณ knownone ยกมาดูเค้าจะเห็นคนไทยมีความขัดแย้งในตัวเองอยู่เหมือนกันนะคะ เพราะมีทั้งขี้เกรงใจ ใจดี ไม่ชอบมีเรื่องแต่ชอบละเมิดกฎ..ไม่มีความเสมอภาคในสังคม

    สิ่งสำคัญคือภาพรวมที่มองทำให้คนไทยตระหนักหรือไม่ และรู้ตัวหรือเปล่าว่าอย่างน้อยในสายตาของนักวิจัยต่างชาติเค้าเห็นเราเป็นแบบนั้น อิอิอิ

    แต่โดยส่วนตัวที่ทำหน้าที่นักจิตวิทยามานานพอควร กลับเห็นว่าคนไทยก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างจากชาติอื่น เพียงแต่เราขาดการจัดการที่ดีให้เกิดความปรองดองและมองภาพเดียวกันแบบที่คุณ knownone กล่าวมาตามข้างล่างนี้แหละค่ะ

    แต่ปัญหาจาก “ความเป็นไทย” โดยเฉพาะในที่ทำงานดูจะเป็นอะไรที่ “ตามมีตามเกิด” องค์กรที่จัดการเรื่องนี้ได้ดีก็จะมาจากประสบการณ์ หรือเกิดจาก “ตัวบุคคล” ของผู้บริหารที่เข้าใจนิสัยคนไทย มากกว่าที่จะมีหลักการให้เลียนแบบได้..

    ตามที่ยกคำกล่าวของคุณ knownone มาจะเห็นว่าจุดสำคัญอยู่ที่ผู้บริหารและบุคลากรที่อยู่ด้วยกันนะคะว่าจะสามารถ ” จัดการ ” ได้ดีเพียงใด เพราะไม่มีใครรู้ดีกว่าคนในองค์กรว่าปัญหาคืออะไร ( ดูที่สาเหตุของการเกิดปัญหามากกว่า ” ใคร ” น่ะค่ะ ) และควรทำอย่างไรเพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น

    มีคำกล่าวจากวงน้ำชาที่ห้องนั่งเล่นของชร.ว่า “การลงรายละเอียดมากเกินไปทำให้งานเสีย”..แต่ถ้าดูเฉพาะภาพรวม กรอบกว้างๆจะทำให้ได้ผลงานที่ดี.. ดูเป็นความขัดแย้งกับความเคยชินในการทำงานของเรานะคะ ที่มักจะเน้นในรายละเอียด กระบวนการ ขั้นตอนการทำงานที่เป็นเรื่องของระบบมากกว่า ” คน ”

    ในระบบมีคนนี่คะ ถ้าเราเข้าใจและเชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง คือ มนุษย์ผิดพลาดได้ เรียนรู้สื่อสารกันได้ ให้อภัยกันได้และพัฒนาได้ รวมทั้งสิ่งสำคัญที่สุดคือเห็นความเป็นมนุษย์ในผู้อื่น เห็นความเท่าเทียมกันในฐานะมนุษย์กับมนุษย์ และชี้ให้ผู้อื่นเห็นว่าทุกปัญหามีทางออกโดยไม่ใช้ความรุนแรง ทั้งทางวาจาและการกระทำ การอยู่ร่วมกันคงจะไม่มีปัญหามากมายนะคะ

    กำแพงที่สำคัญที่สุดคือกำแพงใจของพวกเราทุกคนนี่แหละค่ะที่จะช่วยทำให้ปัญหาบานปลายหรือไม่มีปัญหาเลยก็ได้ทั้งนั้น..ขอบคุณสำหรับบันทึกชวนคิดบันทึกนี้นะคะ

  5. Acx Says:

    คนไทยชอบว่าคนรู้มากที่สุดทำของเสีย

  6. แมว Says:

    เยี่ยมมาก

  7. na Says:

    ขอบคุณสำหรับความรู้ มีประโยชน์มากเลย

แสดงความคิดเห็น

*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word