ส.ค. 25

ในเมื่อท่านมีอำนาจไม่จำกัดและมีความดีงามสูงสุด

ทำไมโลกจึงยังมีความชั่วร้ายและทุกข์ระทม

ในเมื่อท่านเป็นผู้ออกแบบและสรรค์สร้างสรรพสิ่ง

ทำไมมวลมนุษย์จึงมีความบกพร่องทั้งร่างกายและจิตใจ

ในเมื่อท่านหยั่งรู้ในสรรพสิ่งตลอดเวลาและจักรวาล

ทำไมมนุษย์ต้องเผชิญบททดสอบที่ท่านย่อมรู้ผลลัพธ์ล่วงหน้า

ในเมื่อท่านเป็นผู้สร้างมนุษย์

ทำไมทุกคนไม่ถูกสร้างให้มีความสุขและทำความดีตลอดเวลา

ทำไมทุกคนไม่ถูกสร้างให้รู้จักและเชื่อมั่นในตัวท่านตั้งแต่แรก

ทำไมคนเช่นข้าจึงต้องถูกลงโทษชั่วนิรันดร์เมื่อสิ้นชีพ

แม้เพียรทำความดีสุดชีวิต เพียงเพราะไม่รู้จักท่าน

หรือแท้จริงท่านเป็นบางสิ่งที่เราบางคนไม่มีทางเข้าใจ

เพราะเราถูกสร้างให้ไม่มีวันเข้าใจ

หรือแท้จริงเราเป็นลูกที่ถูกท่านทอดทิ้ง

ให้ต้องรับผิดชอบชะตาชีวิตของตัวเอง

ด้วยตัวของตัวเอง.

เม.ย. 24

ที่มาของบันทึกนี้คือการไปคอมเมนต์ที่ “Middle Class Again” และควรอ่านบทความนี้ก่อนอ่านต่อ “เมื่อผู้กำกับ “รักแห่งสยาม” เขียนจดหมายตอบน้องเรื่องผลกระทบจากเหตุการณ์ 10 เมษายน”

ไม่คุยเรื่องประเด็นแนวคิดทางการเมืองที่ต่างกันนะครับ เพราะจุดยืนก็แตกต่างกันไปและถกกันบ่อยอยู่แล้ว เอาประเด็นที่ผมไม่สบายใจดีกว่า เพื่อเลี่ยงความกำกวมและลดความรู้สึก ผมขอเรียก middle class ที่ไม่มีจุดยืนว่า passive citizen ส่วน middle class ที่มีจุดยืนไม่ว่าแดงหรือเหลืองหรือหลากสีว่า active citizen ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าคนเสื้อแดงหรือคนชั้นล่างไม่ใช่ citizen

ผมชอบบทความของคุณชูเกียรตินะครับ อธิบาย mindset ของคนเสื้อแดงได้ครบถ้วนกระชับดีสมกับเป็นศิลปิน ใครอ่านก็จะเข้าใจความคิดของคนเสื้อแดงได้ไม่ยาก ส่วนที่ผมไม่ชอบ คือการใช้ความสามารถทางภาษา เช่นการประชดประชันเพื่อถ่ายทอดทัศนคตินอกเหนือไปจากความต้องการที่จะสื่อข้อมูล ผลร้ายคือหากคนเสื้อแดงอ่านก็ยิ่งตอกย้ำความคับแค้นใจและความเกลียดชังที่มีต่อคนชั้นกลาง ไม่ว่าจะ passive หรือ active

หากคนชั้นกลางอ่านก็จะรู้สึกคับแค้นใจที่ได้ทราบว่าในสายตาคนเสื้อแดงนั้นเหยียดหยามและดูถูกคนชั้นกลางคือพวกเขาขนาดนั้น คนเสื้อแดงบางคนอาจจะนึกภาพความรู้สึกนี้ไม่ออก แต่คนชั้นกลางที่อ่านอยู่คงเข้าใจดี มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับที่คนเสื้อแดงอธิบายว่าคนชั้นล่างจะรู้สึกเมื่อโดน passive citizen ดูถูก และผมยืนยันได้ว่า active citizen ที่พยายามทำความเข้าใจคนเสื้อแดงจะรู้สึกแบบนั้น เสียใจหรือไม่ก็โกรธ ผลคือเพิ่มความเกลียดชังที่มีต่อคนเสื้อแดงทั้งที่ตัวเองกำลังพยายามทำความเข้าใจเขาอยู่ ผมเชื่อว่าคุณชูเกียรติเขียนบทความเดียวกันโดยไม่รุนแรงในทางภาษาได้ แต่ด้วยอารมณ์กรุ่นตามเหตุการณ์ขณะเขียนก็ย่อมถ่ายทอดไปแบบนั้น หรือมันเป็นเทรนด์งานเขียนของคนเสื้อแดงก็ไม่แน่ใจ

ประเด็นของผมคือเหลืองได้ริเริ่มการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยอุดมการณ์ แต่อาศัยความเกลียดชังเป็นเชื้อเพลิง เหลืองจึงเคลื่อนมวลชนโดยสร้างความเกลียดชังต่อเป้าหมายอย่างรุนแรง เพื่อให้การจัดการสำเร็จ ซึ่งก็สำเร็จพร้อมกับความเกลียดชังที่เหลืองมีต่อแดงตามไปด้วย เมื่อแดงเริ่มต้นเคลื่อนไหว แทนที่จะปฏิเสธวิธีการของเหลืองกลับใช้วิธีเดียวกัน สร้างความเกลียดชังของมวลชนต่ออำมาตย์และคนชั้นกลาง วงจรลบนี้เมื่อหมุนไปเราจึงมาถึงวิกฤติ คนเสื้อแดงมักตำหนิฝ่ายตรงข้ามเสมอว่าใช้ทุกวิธีเพื่อสร้างความเกลียดชังต่อคนเสื้อแดง แต่คนเสื้อแดงโดยไม่รู้ตัวก็ทำแบบเดียวกัน มันไม่ทำให้การกระทำนี้ถูกต้องมากขึ้นด้วยการพูดว่าเหลืองก็ทำหรือเป็นคนเริ่ม ใครสร้างความเกลียดชังหรือเห็นค้วยกับความรุนแรงและการเสียชีวิตต่างก็ผิดเหมือนกัน

หากเลิกโทษว่าอีกฝ่ายสร้างความเกลียดชังต่อตัวเอง ระวังไม่ให้ตัวเองสร้างความเกลียดชังมากขึ้น วงจรบวกก็จะเริ่มต้นขึ้น อย่าถือว่าการที่เขาตำหนิข้อเสียของเราอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นการทำให้คนเกลียดชังเรา มิฉะนั้นการถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ก็จะเป็นไปไม่ได้เลย ผมยอมรับว่าในสถานการณ์รุนแรงแบบนี้ สิ่งที่ผมเสนอนั้นทำได้ยากแม้แต่ตัวผมเองหลังจากเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดเสื้อสีชมพู แต่เมื่อความตึงเครียดลดลง ในระยะยาวถ้าเชื่อมั่นในแนวคิดนี้ผมเชื่อว่าเป็นไปได้

ทุกคนรู้ดีว่าประเทศไทยจะไม่เป็นเหมือนเดิมอีก แต่จะดีขึ้นหรือเลวลงก็ขึ้นกับว่าพวกเราจะเปลี่ยนกรอบความคิดหรือจะทำไปตามเดิม

ม.ค. 04

พื้น

  1. ทุกคำใน คำค้น (ข้อความที่จะให้ Google ค้น) มีผล Google จะพยายามหาหน้าที่มีคำใน query ทั้งหมดครบทุกคำ
  2. ตัวใหญ่ตัวเล็กมีค่าเท่ากัน คำค้น OpenOffice กับ openoffice ให้ผลเหมือนกัน
  3. เครื่องหมายวรรคตอนไม่มีผล เว้นกรณีพิเศษบางกรณีเช่น _ ระหว่างสองคำแบบ p_unt

แนว

  1. ง่ายเข้าไว้ ใช้คำน้อยที่สุด ใส่เฉพาะคีย์เวิร์ดสำคัญที่ต้องการค้นหา ไม่ต้องเขียนเป็นประโยค แทนที่จะค้น what is the maximum file size of openoffice base เขียนแค่ maximum size openoffice base ดีกว่า
  2. เดาว่าหน้าที่ต้องการจะใช้คำว่าอะไร แทนที่จะสนใจว่าคุณต้องการหาคำอะไร สนใจว่าคนทำเว็บที่ต้องการเขาจะใช้คำว่าอะไร เช่น แทนที่จะค้น openoffice problem ใช้ openoffice bug จะดีกว่า
  3. ใช้คำที่จำเพาะเจาะจง ถ้าจะหารูปไปใช้ในเอกสาร แทนที่จะค้น free picture ใช้ free clipart จะดีกว่า

เก็ง

  1. ต้องการค้นคำตามนี้เปะๆ ใส่เครื่องหมายคำพูดคู่ล้อมรอบเช่น “open source software” จะได้เฉพาะหน้าที่มีคำว่า open source software ตามนี้เท่านั้น ถ้าไม่ใส่เครื่องหมายคำพูด หน้าที่พบอาจจะมีคำ open, source และ software อยู่ตรงไหนในหน้าเหล่านั้นก็ได้ แต่หน้าที่มีคำในหน้าตรงตามที่เขียนในคำค้นจะอยู่ลำดับต้นๆ
  2. ต้องการค้นคำตามนี้เปะๆ อีกวิธีหนึ่งคือเขียน open-source-software แต่ผลจะต่างกันเล็กน้อย คำค้น “open source” จะพบหน้าที่มีคำว่า open source เปะเท่านั้น แต่คำค้น open-source จะพบหน้าที่มีคำว่า opensource และ open-source เพิ่มขึ้นอีก เหมาะกับกรณีที่ไม่แน่ใจว่าคำๆนั้น สะกดเป็นสองคำ, ติดกัน, หรือมี hyphen
  3. ค้นแล้วมีหน้าที่ไม่เกียวปนมาเยอะ ต้องการตัดหน้าที่มีคำบางคำออก เขียน - ไว้หน้าคำนั้น เช่นต้องการค้นเกี่ยวกับผลไม้ apple แต่จะได้ Mac และ iPhone เข้ามามาก จึงต้องเขียนเป็น apple -mac -iphone
  4. ถ้าต้องการค้นเฉพาะบางเว็บไซต์ เพิ่ม site: ตามด้วยโดเมนของเว็บนั้น เช่นถ้าค้น openoffice release จะได้ผลลัพธ์จากทุกๆ เว็บไซต์ ถ้าอยากได้เฉพาะที่ www.openoffice.org ให้เขียน openoffice release site:www.openoffice.org แต่หากต้องการผลลัพท์ที่เว็บใดก็ได้ที่ลงท้ายด้วย openoffice.org เช่น www.openoffice.org, download.openoffice.org, support.openoffice.org ให้เขียน openoffice release site:openoffice.org เท่านั้น
  5. ถ้าไม่ได้ต้องการหาหน้าเว็บ แต่ต้องการค้นหาไฟล์บางฟอร์แมตเช่น PDF, XLS, PPT, DOC ให้เขียน filetype: ตามด้วยชนิดของฟอร์แมตนั้นเช่น quotation-template filetype:pdf หรือ invoice filetype:xls
ส.ค. 09

ผมเริ่มตั้งสมมุติฐานอย่างหนึ่งว่าคนไทยมองความถูกผิดในลักษณะที่แตกต่างจากชาวตะวันตก แน่นอนว่าจริงๆ แล้วมันจะต้องต่างกันอยู่แล้วเพราะความแตกต่างทางวัฒนธรรม แต่ประเด็นตรงนี้คือคนไทย (สำรวจจากตัวเองด้วย) มองความถูกผิดเป็นเรื่องสัมพัทธ์เอามากๆ ทำให้เกิดพฤติกรรมแปลกๆ หลายอย่าง อย่างสำนวนที่ว่า “เกลียดตัวกินไข่” “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง” “เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม” “เดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด” หรือ นิทานที่แม่ปูสอนลูกปูให้เดินตรงๆ เป็นต้น

ต้องออกตัวบ่อยๆ ว่าที่เอาเรื่องพวกนี้มาคิดมาคุยกันทั้งที่เป็นเรื่องน่าเบื่อก็เพื่อที่จะทำความเข้าใจตัวเอง และปัญหาของทีมงานในบริษัท และการที่หัวข้อเป็นเรื่องนิสัยคนไทยเพราะว่ากำลังทำความเข้าใจปัญหาสากลของคนไทยที่ไม่ใช่ปัญหาสากลของชาวตะวันตก เพื่อใช้ในการปรับปรุงตัวเองและคนใกล้ตัว ไม่ใช่เป็นการมองว่าฝรั่งดีกว่าหรือแย่กว่าคนไทย แต่เพราะว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงข้อดีของคนไทย หรือข้อเสียของฝรั่ง ที่มีประโยชน์กว่าคือการเข้าใจข้อเสียของตนเอง และข้อดีของผู้อื่น อ่านต่อ… »

ส.ค. 08

ที่มา http://qa.buu.ac.th/form/common/QA2.ppt

ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง

คนไทยมักจะยึดติดกับความเคยชินแบบเดิมๆ เคยทำมาอย่างไรก็จะทำอยู่อย่างนั้น ไม่ค่อยมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง และถ้าฝรั่งเอาวิธีใหม่ๆ เข้ามาทำให้พวกเขาต้องทำอะไรที่ต่างไปจากเดิม ก็จะถูกมองว่าเป็นการสร้างความรำคาญให้พวกเขา มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่หรือไม่ก็ถึงกับถูกต่อต้านก็มี อ่านต่อ… »

ม.ค. 02

จะเขียนเรื่องนิสัยคนไทยแล้วก็พยายามรวบรวมความคิดอยู่พักหนึ่ง พอดีมีเรื่องไฟไหม้ซานติก้าผับ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 จึงได้โอกาสพูดเรื่องนิสัยแรก งานนี้ตายไปประมาณ 60 คนทันที บาดเจ็บอีกหลายร้อย เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นตอนกำลังเค้าดาวพอดี เพราะไหม้จากพลุเค้าดาวนั่นแหละ ผมรู้จากข่าววันรุ่งขึ้นเพราะหลับไปตั้งแต่สองทุ่มแล้ว

ผมวิเคราะห์ว่าคนไทยมีนิสัย ซึ่งเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อหนึ่งคือ “ไม่เป็นไร” อ่านต่อ… »

ต.ค. 19

สามปีแล้วที่บริษัทเราร่วมจัดงาน software freedom day โดยสองปีที่ผ่านมาจะจัดเป็นบูตภายในตึกคอมศรีราชา (ด้วยความเอื้อเฟื้อสถานที่โดยตึกคอมศรีราชา) ปีนี้เกิดอยากเกะกะด้วยอารมณ์แบบม็อบนิยมเลยไม่จัดบูต แต่ใช้เดินรณรงค์ แจกแผ่น โบรชัวร์ และพูดคุยอธิบายความหมายของซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สแทน เป็นรูปแบบตามจิตวิญญาณดั่งเดิมของ software freedom day โดยตระเวณกันภายใน ม.บูรพา และตึกคอมพัทยา เหตุเกิดขึ้นในวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา มีรูปที่ถ่ายเก็บกันไว้เป็นหลักฐาน

ต.ค. 18

ที่เกิดนึกจะเขียนบล็อกขึ้นมาทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยคืออย่างนี้ครับ ในช่วงสามปีที่ผ่านมาผมเริ่มบริษัทที่ปรึกษาเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ศรีราชา ทำหน้าที่ช่วยเหลือองค์กรในการเปลี่ยนไปใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส บริษัทมีเว็บหลายเว็บ แต่ผมไม่เคยคิดจะเขียนบล็อกเพราะมีความรู้สึกว่าไม่มีเวลาเขียนหนังสือ เพราะเขียนช้า จนกระทั่งพักหลังๆ สังเกตตัวเองว่ามีเรื่องบางเรื่องที่ชอบเล่าหรือบ่นให้พวกน้องๆ ในบริษัทฟัง ไปๆ มาๆ เลยกลายเป็นความหมกหมุ่นที่ทำให้สนใจในปัญหานี้ เพราะตัวผมเองก็มีปัญหานี้ น้องๆ ก็มีกัน ดูคนทั่วไปก็มี แล้วก็เป็นปัญหาในการทำงานมาก เรียกได้ว่าเป็นปัญหาเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ในที่ทำงานของผมเลย

ปัญหาที่ว่าคือเรื่อง “นิสัยคนไทย” ซึ่งแปลว่าปัญหาแบบนี้เป็นปัญหาเฉพาะในที่ทำงานหรือบ้านเมืองคนไทย ไม่ใช่ปัญหาสากลทั่วไป ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ใช่ว่าฝรั่งมันดีกว่าเรา หรือว่ามันไม่มีปัญหานะครับ แต่ว่าปรกติปัญหาสากลเราก็มักจะมีทางแก้ที่มีการเรียนรู้มาเป็นอย่างดี ปัญหาลักษณะนิสัยของฝรั่งก็มักจะมีหนทางแก้หรือไม่ก็แค่ทำความเข้าใจ แต่ปัญหาจาก “ความเป็นไทย” โดยเฉพาะในที่ทำงานดูจะเป็นอะไรที่ “ตามมีตามเกิด” องค์กรที่จัดการเรื่องนี้ได้ดีก็จะมาจากประสบการณ์ หรือเกิดจาก “ตัวบุคคล” ของผู้บริหารที่เข้าใจนิสัยคนไทย มากกว่าที่จะมีหลักการให้เลียนแบบได้

เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่น่าถกเถียง เลยขอยกขึ้นมาจั่วหัวไว้ก่อน ลองค้นดูในเน็ตพอจะมีข้อมูลให้อ้างอิงได้บ้างตามที่ลอกมาไว้ข้างล่าง อ่านต่อ… »