เม.ย. 24

ที่มาของบันทึกนี้คือการไปคอมเมนต์ที่ “Middle Class Again” และควรอ่านบทความนี้ก่อนอ่านต่อ “เมื่อผู้กำกับ “รักแห่งสยาม” เขียนจดหมายตอบน้องเรื่องผลกระทบจากเหตุการณ์ 10 เมษายน”

ไม่คุยเรื่องประเด็นแนวคิดทางการเมืองที่ต่างกันนะครับ เพราะจุดยืนก็แตกต่างกันไปและถกกันบ่อยอยู่แล้ว เอาประเด็นที่ผมไม่สบายใจดีกว่า เพื่อเลี่ยงความกำกวมและลดความรู้สึก ผมขอเรียก middle class ที่ไม่มีจุดยืนว่า passive citizen ส่วน middle class ที่มีจุดยืนไม่ว่าแดงหรือเหลืองหรือหลากสีว่า active citizen ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าคนเสื้อแดงหรือคนชั้นล่างไม่ใช่ citizen

ผมชอบบทความของคุณชูเกียรตินะครับ อธิบาย mindset ของคนเสื้อแดงได้ครบถ้วนกระชับดีสมกับเป็นศิลปิน ใครอ่านก็จะเข้าใจความคิดของคนเสื้อแดงได้ไม่ยาก ส่วนที่ผมไม่ชอบ คือการใช้ความสามารถทางภาษา เช่นการประชดประชันเพื่อถ่ายทอดทัศนคตินอกเหนือไปจากความต้องการที่จะสื่อข้อมูล ผลร้ายคือหากคนเสื้อแดงอ่านก็ยิ่งตอกย้ำความคับแค้นใจและความเกลียดชังที่มีต่อคนชั้นกลาง ไม่ว่าจะ passive หรือ active

หากคนชั้นกลางอ่านก็จะรู้สึกคับแค้นใจที่ได้ทราบว่าในสายตาคนเสื้อแดงนั้นเหยียดหยามและดูถูกคนชั้นกลางคือพวกเขาขนาดนั้น คนเสื้อแดงบางคนอาจจะนึกภาพความรู้สึกนี้ไม่ออก แต่คนชั้นกลางที่อ่านอยู่คงเข้าใจดี มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับที่คนเสื้อแดงอธิบายว่าคนชั้นล่างจะรู้สึกเมื่อโดน passive citizen ดูถูก และผมยืนยันได้ว่า active citizen ที่พยายามทำความเข้าใจคนเสื้อแดงจะรู้สึกแบบนั้น เสียใจหรือไม่ก็โกรธ ผลคือเพิ่มความเกลียดชังที่มีต่อคนเสื้อแดงทั้งที่ตัวเองกำลังพยายามทำความเข้าใจเขาอยู่ ผมเชื่อว่าคุณชูเกียรติเขียนบทความเดียวกันโดยไม่รุนแรงในทางภาษาได้ แต่ด้วยอารมณ์กรุ่นตามเหตุการณ์ขณะเขียนก็ย่อมถ่ายทอดไปแบบนั้น หรือมันเป็นเทรนด์งานเขียนของคนเสื้อแดงก็ไม่แน่ใจ

ประเด็นของผมคือเหลืองได้ริเริ่มการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยอุดมการณ์ แต่อาศัยความเกลียดชังเป็นเชื้อเพลิง เหลืองจึงเคลื่อนมวลชนโดยสร้างความเกลียดชังต่อเป้าหมายอย่างรุนแรง เพื่อให้การจัดการสำเร็จ ซึ่งก็สำเร็จพร้อมกับความเกลียดชังที่เหลืองมีต่อแดงตามไปด้วย เมื่อแดงเริ่มต้นเคลื่อนไหว แทนที่จะปฏิเสธวิธีการของเหลืองกลับใช้วิธีเดียวกัน สร้างความเกลียดชังของมวลชนต่ออำมาตย์และคนชั้นกลาง วงจรลบนี้เมื่อหมุนไปเราจึงมาถึงวิกฤติ คนเสื้อแดงมักตำหนิฝ่ายตรงข้ามเสมอว่าใช้ทุกวิธีเพื่อสร้างความเกลียดชังต่อคนเสื้อแดง แต่คนเสื้อแดงโดยไม่รู้ตัวก็ทำแบบเดียวกัน มันไม่ทำให้การกระทำนี้ถูกต้องมากขึ้นด้วยการพูดว่าเหลืองก็ทำหรือเป็นคนเริ่ม ใครสร้างความเกลียดชังหรือเห็นค้วยกับความรุนแรงและการเสียชีวิตต่างก็ผิดเหมือนกัน

หากเลิกโทษว่าอีกฝ่ายสร้างความเกลียดชังต่อตัวเอง ระวังไม่ให้ตัวเองสร้างความเกลียดชังมากขึ้น วงจรบวกก็จะเริ่มต้นขึ้น อย่าถือว่าการที่เขาตำหนิข้อเสียของเราอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นการทำให้คนเกลียดชังเรา มิฉะนั้นการถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ก็จะเป็นไปไม่ได้เลย ผมยอมรับว่าในสถานการณ์รุนแรงแบบนี้ สิ่งที่ผมเสนอนั้นทำได้ยากแม้แต่ตัวผมเองหลังจากเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดเสื้อสีชมพู แต่เมื่อความตึงเครียดลดลง ในระยะยาวถ้าเชื่อมั่นในแนวคิดนี้ผมเชื่อว่าเป็นไปได้

ทุกคนรู้ดีว่าประเทศไทยจะไม่เป็นเหมือนเดิมอีก แต่จะดีขึ้นหรือเลวลงก็ขึ้นกับว่าพวกเราจะเปลี่ยนกรอบความคิดหรือจะทำไปตามเดิม