ปลื้มใจที่เห็นคนไทย “เก่ง และ ดี”

1 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 30 มิถุนายน 2010 เวลา 3:23 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1207

   

    อ่านข้อความนี้  และทดลองเข้าไปใช้บริการลองดูแล้วเป็นปลื้มครับ  ปลื้มใจที่คนไทย เก่ง และใช้ความเก่งสร้างสรรค์ประโยชน์ด้วยใจ “รักผู้อื่น”

   ลองอ่านดูสิครับ

“  The virtual keyboard featured below was developed by a Thai student called Puttipan Polnyanunt. He is currently studying in the USA. You can use his virtual keyboard to type Thai even if you don’t have Thai fonts! You can then copy and paste them into any document on your computer. Visit his web site for another free download which turns English/Thai text into speech! A very talented person. He tells us that he has plans for a program for people who want to learn Thai. “

   มีปัญหาการพิมพ์ภาษาไทย ยามไปอยู่ต่างถิ่น แดนไกล ลองไปใช้บริการเขาได้ครับ .. สุดยอดจริงๆ

               ที่นี่ครับ …  http://www.learningthai.com/thaikeyboard/


ธรรมะจัดสรรค์มากมายอย่างนี้ ทำอย่างไรดีผมจะบันทึกได้หมดจด

2 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 28 มิถุนายน 2010 เวลา 6:45 (เช้า) ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้ #
อ่าน: 1412

   

   จวนจะหกโมงเย็นแล้วเมื่อผมเริ่มเขียนบันทึกนี้  จากร่มไม้ชายหาดทะเลพุมเรียง บริเวณแหลมโพธิ์เมืองไชยา ถิ่นเก่า บ้านเกิดของตัวเอง

   ในช่วงนี้มีอะไรดีๆ ให้ผมได้คิด ได้ทำ และที่สำคัญที่สุดคือได้พบ ได้สัมผัส ได้ช่วยเหลือ แบ่งปัน เชื่อมความสัมพันธ์กับกัลยาณมิตร  เพื่อนร่วมแนวคิด และอุดมการณ์ได้มากมายจริงๆ แถมในเรื่องของ Timing แต่ละครั้งแต่ละเรื่องก็ช่างลงตัว เหมาะเจาะไปเสียหมด 

   ผมขอเล่าไปแบบสะเปะสะปะตามที่นึกได้ก็แล้วกัน  หากช่วยกันปะติดปะต่อดีๆ เชื่อว่าจะได้เห็นปรากฏการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้  เข้าข่ายมหัศจรรย์ก็เป็นได้

    1. วันก่อนผมขับรถเข้าปั๊มแก๊สแถวสุราษฎร์ พบรถ Ford รุ่นเดียวกันเติมแก๊ส LPG อยู่ข้างๆ  ชายหนุ่มรุ่นน้องผู้ขับรถดังกล่าวลงจากรถและเดินมาหาผม ชวนคุยเรื่องปัญหาและประสบการณ์การแก้ไขอะไรบางจุดของรถสมรรถนะดีรุ่นนี้ คุยไม่กี่คำก็แยกย้ายกันไป รู้แค่ว่าเป็นคนนครสวรรค์ เขยไชยาและทำงานที่สนามบินสุราษฎร์ และเป็นสมาชิก Ford Club เหมือนกัน ท่านมีชื่อใน Net ว่า Morn

    2. ผมเคย Post เรื่อง “วิชาผักพูม” ไว้ในบันทึกหนึ่งนานมาแล้ว  มีคนมาอ่านและ Comment บ้างเล็กน้อย แต่พอไปสอนที่ มรภ.สฎ. และต้องมีกิจกรรมการสร้าง Blog ก็ให้บังเอิญไปพบว่าท้ายบันทึกดังกล่าวมีคนไปนำเสนอเรื่องราวเรื่องผักพูมไว้ยาวๆถึงสองสามครั้ง นอกจากจะแสดงความดีใจที่เห็นผมกลับมาอยู่บ้านและสนใจเรื่องผักพื้นบ้านแล้ว ยังเชิญชวนให้ไปหา และรับต้นกล้าผักพูมไปปลูกได้เต็มที่ตามที่ต้องการ ท่านใช้ชื่อในนั้นว่า “ภูผา ตาปี” สังกัดกลุ่ม “สายธารอนุรักษ์” ที่บ้านปากกิ่ว ต.ตะกรบ อ.ไชยา ซึ่งเป็นถิ่นที่ผมยังไม่เคยไปมาก่อน ทั้งที่อยู่อำเภอเดียวกัน  จึงตั้งใจมุ่งมั่นว่าสักวันจะต้องไปหาและพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ให้ได้

   3. อีกด้านหนึ่งผมได้พบคนดี ครูดี ที่ก้าวมาทำหน้าที่ผู้อำนวยการโรงเรียนเล็กๆ แต่คุณภาพคับแก้ว แห่งหนึ่งในอำเภอไชยา ท่านมีชื่อว่า ผอ.พรศักดิ์  อ่ำใหญ่ เขยไชยา เลือดกาญจนดิษฐ์ ผู้ที่ความดีความเสียสละ ความรักงาน และการทำหน้าที่ด้วยหัวใจของท่าน เป็นที่เลื่องลือ ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์มากมาย จนทำให้ชุมชน ผู้ปกครอง และนักเรียนต่างมีความรัก ความศรัทธาให้ท่านผู้บริหารคนนี้มาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน  และเพราะน้อง Website ได้ย้ายจากกทม.มาเรียนต่อ ป.2 ที่โรงเรียนนี้  ผมจึงมีโอกาสเรียนรู้โดยตรงเพิ่มเติมด้วยตัวเองมากมายถึงความจริงดังกล่าว เมื่อได้เข้าไปสัมผัสสภาพจริงด้วยตัวเอง ได้พูดคุยกับคุณครูและท่านผู้บริหารบ่อยๆเข้า ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของที่นั่นไปโดยอัตโนมัติ

    วันหนึ่งพอรู้ว่าโรงเรียนอันคับแคบแห่งนี้กำลังจะโชคดีที่มีผู้จะขายที่ดินติดกับโรงเรียนประมาณ 600 ตารางวาให้โดยคิดราคา 600,000 บาท  ท่านผอ.ตื่นเต้น ดีใจยิ่งนัก แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาเงินมาจากไหน แต่ก็คิดอะไรไว้ในใจ แล้วจึงเชิญตัวแทนผู้ปกครองมาร่วมหารือ โดยมีผมเป็นแขกรับเชิญด้วยคนหนึ่ง

   ในการประชุมครั้งแรกมีข้อสรุปว่าจะขอบริจาคจากผู้ปกครองตามศรัทธา และจะจัดหาทุนด้วยการจัดงานเลี้ยงน้ำชาเพื่อระดมทุนในวันเสาร์ที่ 26 มิย.53 อันเป็นวันที่ผมมีสอนที่ราชภัฏสุราษฎร์ ตั้งแต่ 8:30 - 14:30 น. และตั้งใจว่าสอนเสร็จจะบึ่งรถกลับไชยา ให้มาทันร่วมงานที่ รร.วัดแก้วให้ได้

   4. ผมนำความดีของผอ.พรศักดิ์ และเรื่องการจัดซื้อที่ดินแพร่ข่าว ผ่าน บันทึก ใน Blog ด้วยหวังจะให้สหายและกัลยาณมิตรทั้งหลายได้มีโอกาสทำกุศลตามกำลังศรัทธา  ปรากฏว่าได้ผลเกินคาดหมาย  มีญาติๆในเครือข่ายโอนเงินมาให้หลายราย ตอนนี้รวมๆแล้วได้ น่าจะเกิน 15 ตารางวาครับ วาละ 1000 บาท  ยกเว้น ป้าจุ๋ม ซึ่งในที่สุดป้าก็สามารถมาร่วมงานและพบท่านผอ.ได้ถึงโรงเรียน และสนับสนุนใส่ซองไป 3 ตารางวาเท่ากับของผม

    ตอนประชุมครั้งสุดท้ายก่อนวันงานท่านผอ.รายงานว่า มีเงินเข้ามากว่า 4 แสนบาทแล้ว ไม่น่าจะรบกวนชาวบ้านอีกด้วยวิธีการอื่นๆ เพราะถึงวันงานน่าจะได้เงินรวมทะลุเป้า 6 แสนบาท  วันนั้นผมแสดงความไม่เห็นด้วย โดยบอกว่าหากไม่มีอะไรไปกะเกณฑ์ บีบคั้นชาวบ้าน  เงินบริจาคได้มาเกินเป้าเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น  เพราะนอกจากจะได้นำเงินไปถมที่และจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่องานของท่านแล้ว  ยังเป็นการสื่อให้คนทั่วไป โดยเฉพาะผู้บริหารสถานศึกษาอื่นๆได้งุนงง สงสัย และจะได้เรียนรู้ว่าที่นี่เขาเป็นอย่างไร ความร่วมมือจากชุมชนและกัลยาณมิตรจากต่างถิ่นแดนไกลจึงมีได้มากมายถึงเพียงนั้น

   5. อีกด้านหนึ่ง ป้าจุ๋ม เสร็จภารกิจการร่วมงานแต่งงานลูกทีมวิจัยที่ชุมพรแล้ว สามารถเดินทางไปสุราษฎร์ ไปทานข้าวกลางวันกับผมที่ร้านที่ผมสุดประทับใจ ชื่อว่า ”อีสานเรือนไทย” และได้รู้จัก พบปะ พูดคุยกับ เพื่อนที่เป็นเพื่อนที่สุด ของผม  แถมภาคบ่ายยังได้ “ร่วมสอน” นักศึกษาของผมผ่านการเล่าเรื่อง เกี่ยวกับประสบการณ์ที่มีค่ามากมาย ก่อนพากันบึ่งรถไปไชยา ร่วมงานที่โรงเรียนได้ทันเวลา ตามที่ตั้งใจไว้ทุกประการ

    บรรยากาศที่โรงเรียนเต็มไปด้วยความสุข และความแจ่มใสทั้งในหมู่ผู้ต้อนรับและผู้มาเยือน โดยเฉพาะท่านผอ.ดูจะเก็บความปลื้มใจเอาไว้ไม่อยู่เมื่อมาบอกผมว่านึกไม่ถึงที่ยอดเงินรวมที่บริจาค ตอนนั้น เกิน 1.4 ล้านบาท แล้ว

     … ยังมีต่อครับ หลานเหลน โขยงใหญ่ 7-8 คน กำลังขึ้นจากทะเลกันมา และมืดค่ำแล้ว จะมาเพิ่มเติมให้จบอีกครั้งครับ .. ขอสัญญา

    มาแล้วครับ เพื่อเขียนต่อ (4:20 น. 28 มิย. 53)

   6. เสร็จงานจาก รร.วัดรัตนาราม ผมพาป้าจุ๋ม คุณนง น้องเว็บไซต์ น้องนพพร และหลานจุมพล ตรงไปร้าน ราตรีซีฟู้ดที่ชายทะเลพุมเรียงได้ทันเวลาตามที่ตั้งใจไว้คือไม่ให้เย็นเกินไป  ไปร้านนี้มานับครั้งไม่ถ้วน  ไม่เคยรู้ว่าเจ้าของเป็นพี่สาวของเพื่อนนักเรียนร่วมรุ่น ที่ปลีกเวลาจากกทม. ไปทำสวนใกล้ๆบ้านของผมที่ไชยา  และเพิ่งพบกัน และได้ข้อมูลมาเมื่อสองวันก่อน  วันนั้นเลยไปบอกเจ้าของร้านว่าเป็นเพื่อนกับคุณอัมพวัน  ราคาอาหารเลยเปลี่ยนไปจากธรรมดาเล็กน้อย โดยไม่ตั้งใจ

   7. ผมตัดสินใจให้ป้าจุ๋มนอนบ้านน้าทองมาก ผู้เป็นเหมือนพ่ออีกคนของผม  เพราะผมอยู่กินที่นี่ ช่วยการงานที่บ้านนี้  มาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม และทุกคนที่นี่รู้สึกและปฏิบัติกับผมเหมือนสมาชิกครอบครัวคนหนึ่งตลอดมา  น้าทองมากเคยเป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดธารน้ำไหล (สวนโมกข์) และใกล้ชิดท่านอาจารย์พุทธทาสมายาวนาน  น้องนพพรก็รับช่วง เป็นครูอยู่ที่โรงเรียนนั้นจนปัจจุบันนี้ น้องขวัญจิตร น้องสะไภ้ที่เป็นเหมือนน้องจริงๆของผมก็เป็นครูสอนอยู่รร.ไชยาวิทยา หลานจุมพลนั้นเล่าก็วิศกรไฟฟ้าหนุ่มจากแถวๆหัวตะเข้า ลาดกระบัง ผู้เคยหิ้วกล้วยเล็บมือนางกว่า 10 หวีไปยื่นให้ป้าจุ๋มและคณะของครูบาสุทธินันท์ ที่ขบวนรถไฟ คราวที่กลุ่มดังกล่าวเดินทางไปทำกิจกรรมบางอย่างที่กระบี่เมื่อไม่นานมานี้ 

     แผนผมสำเร็จทุกประการ เพราะเมื่อมาร่วมทานอาหารเช้าวันรุ่งขึ้น เห็นคุณป้าของเรา สนิทสนมพูดคุยและทำกิจกรรมอยู่ในห้องครัวกับหมู่ญาติของผม เหมือนสมาชิกในบ้าน  และเห็นกอดกันตัวกลมเมื่อลาจาก ตอนเย็นเมื่อวานนี้  ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จัก พบเจอกันมาก่อน

  8. เช้าเมื่อวานที่บ้านน้าทองมาก ผมไปร่วมทานอาหารเช้าโดยพกพาผักปลอดสารที่ปลูกเองรอบๆบ้านติดมือไปด้วย พร้อมทั้ง “น้ำชุบเคี่ยว” ของโปรดที่พี่สาวสุดสวาทของผมทำให้ เพื่อให้ป้าจุ๋มได้ทดลองชิม และเหนือกว่านั้นยังพกส้มโอปัตตาเวียลูกเดียวจากทั้งต้น ที่ผมมาปราบกาฝากจนสิ้นซาก และทนุถนอมเอาไม้ค้ำยันไว้ตั้งแต่เพิ่งย้ายมาอยู่ วันก่อนพอคุณป้าจุ๋มไปดู บอกว่ากำลังน่าทานพอดี ส้มโอผลเดียวจากต้นนี้ จึง “เสร็จป้าจุ๋ม” ไปเรียบร้อย (ความจริงท่านแค่ช่วยเก็บให้) 

    ทานข้าวเสร็จ จึงได้ทานส้มโอที่แสนอร่อยกันอีกด้วย ผักปลอดสารอันได้แก่มะเขือ  ถั่วฝักยาวสีม่วง มะเขือพวง และยอดสะเดา เป็นต้น ได้รับการ “จัดการ” โดยป้าจุ๋มและพวกเรา  ดูแล้วให้สบายใจยิ่งนัก

  9. อิ่มแล้วผมลองเสี่ยงโทรหาคุณ “ภูผา ตาปี” ซึ่งเป็นใครก็ยังไม่รู้ เพราะได้ชื่อนี้มาจากการอ่าน Comment ท้ายบันทึกของผม ตามข้อ (2.) เมื่อสามสี่วันก่อน เห็นว่าเป็นกลุ่ม “สายธารอนุรัษ์” เพาะกล้าพืชผักที่ผมอยากได้ และเชิญชวนให้แวะเวียนไป  ผมเห็นเจ้าแม่สมุนไพร มาเยี่ยมผม จึงอยากพาไปพบ ไปคุย ไปชมสิ่งที่ท่าน”ภูผา ตาปี” และสมาชิกทำดูว่าเป็นอย่างไร 

    เหลือเชื่อจริงๆครับ คุณ”ภูผา ตาปี” รับราชการอยู่กรุงเทพฯ แต่ลงมางานศพญาติที่ไชยา และตอนนั้นนั่งคุยกันอยู่ที่บ้าน เลยบอกผมว่าดีใจมากจริงๆที่จะได้พบกัน ผม ป้าจุ๋ม คุณนง และน้องนพพร จึงออกเดินทางสู่บ้านปากกิ่ว ต.ตะกรบ เพื่อพบญาติคนใหม่เป็นครั้งแรกทันที

    เส้นทางยังไม่ชัดเจนนัก  พอถึงหน้าโรงเรียนบ้านห้วยพุน ผมจึงหยุดรถ เพื่อจะโทรถามว่าไปยังไงต่อ  แต่พอยกโทรศัพท์จะกดโทร ก็มีสายโทรแทรกเข้ามาก่อน คุณ”ภูผา ตาปี”นั่นเอง  ถามว่า “อาจารย์ถึงไหนแล้วครับ ผมยืนรออยู่หน้าบ้านหัวหน้ากลุ่ม เลยแทงค์น้ำประปาไปนิดเดียว”  ขับไปอีกราว  2 กม. เราก็ได้พบกัน

  10. คุยกันมันมากครับ  แลกเปลี่ยนควมรู้และประสบการณ์ และแนวทางที่จะช่วยกันทำให้ “โลกใบเก่ากลับมา” ด้วยการทำจริง จากสิ่งเล็กๆ โดย “เริ่มจากสิ่งที่มี ที่เป็น”

    คุณ”ภูผา ตาปี” พาพวกเราเข้าบ้านเพื่อไปรับกล้าผักพูม และต้นไม้หายากอย่างอื่น และทานข้าวกลางวันด้วยกันที่นั่น มีการไปเก็บเห็ดเผาะ สดๆจากธรรมชาติมาล้างและแกงกันเดี๋ยวนั้นด้วย  พอผมโม้ว่าพี่สาวรู้ว่าผมชอบผักพูม เลยทำให้กินหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ไชยาแค่ 2 เดือนกว่า โดยพี่จะนำยอดผักพูมมาทำเป็นกำเล็กๆ และมัดด้วยใบตะไคร้ ต้มกับกระทิสด ทานกับน้ำพริกกะปิ … แล้วในบัดดล หวานใจคุณ “ภูผา ตาปี” ก็ยกกับข้าวอีกจานมาเสริม มันคือ พักพูมต้มกระทิ ที่มัดด้วยใบตะไคร้ เหมือนที่ผมว่าไว้ทุกประการ .. อะไรจะขนาดนั้น

    อิ่มแล้ว คุณ”ภูผา ตาปี” แจกแผ่น CD ผลงานเพลงแนวอนุรักษ์ที่ทำกันเอง ร้องกันเอง จะร่วมบริจาคสมทบเท่าไหร่ก็ไม่ยอม  บอกแต่ว่ามอบให้ด้วยใจ  แล้วก็พาพวกเราไปชมแปลงเพาะผักพูม และให้เราเลือกหยิบกล้าพืชผักจากแปลงเพาะ  บอกให้เอาไปมากๆตามอัธยาศัย  ผมก็ขอว่าไม่ต้องมากเกินไป มันจะได้กระจายไปหลายทิศทาง ให้หลายๆคน จากหลายๆที่จะดีกว่า  กระนั้นก็ตาม หลังจากแบ่งให้ป้าจุ๋ม และน้องนพพรไปแล้วเล็กน้อย  กล้าผักพูมของผมยังเหลือถึง 19 ต้น กะว่าจะแจกลูกหลานไปบ้าง เพื่อช่วยกัน “ทำให้คงอยู่” ในหมู่บ้าน และตำบลของเรา ก่อนกลับเรายังได้ไปเดินป่า ชมต้นผักพูมตามธรรมชาติที่เขาขึ้นเอง แบบอิงอาศัยร่มเงาพุ่มไม้ใหญ่ ทำให้ได้คิดว่าตอนไปปลูกต้องไม่ให้เขาอาบแดดมากเกินไป

11. ผมซื้อตั๋วรถไฟเตรียมส่งป้าจุ๋มกลับกทม.ตั้งแต่วันเสาร์ กะว่าจะพาป้าไปอีกสองสามที่ รวมทั้งดูผ้าไหมพุมเรียง แต่ข่าวดีกว่าก็คือ น้อง”ภูผา ตาปี” (ผมเปลี่ยน คุณ เป็น น้อง เพราะเราตกลง และรู้สึกอย่างนั้นกันเรียบร้อยแล้ว) จะเดินทางเข้ากรุงเทพวันนี้ โดยจะขับรถที่ “ทุกชีวิตปลอดภัยฯ” ไปคนเดียว  ผมก็เลยบอกตัวเองว่า “ไม่เป็นไร ตั๋วรถไฟคืนได้  พี่ไปกับน้องเขานะ” ซึ่งป้าจุ๋มและน้อง”ภูผา ตาปี” ต่างก็ยินดียิ่งนัก

12. ผมนัดให้น้อง”ภูผา ตาปี” มารับป้าจุ๋มราว 16.30 น. ที่ร้าน นาโนแอร์ ของหลานจุมพลที่อยู่ข้างวัดเวียง ปากทางไปรร.ไชยาวิทยา โดยให้ป้าอยู่บ้านน้าทองมาก และอาบน้ำ แต่งตัวรอ  ส่วนตัวผมเองทำหน้าที่ “ขนเด็ก” คือลูกหลาน 6-7 ชีวิตกลับไปบ้านที่โมถ่าย หลังจากมาเรียนพิเศษภาคบ่ายที่หน้าบ้านน้าทองมากกันแล้ว  และมีคิวจะ “ขนคนเพิ่ม” เป็น 8-9 ชีวิตพาไปเล่นน้ำทะเลที่พุมเรียง เพราะไม่ได้ไปกันมานานแล้ว

   ผมมาถึงบ้านกุน แวะร้านกรองจิตต์ไข่เค็ม คุณนงลงไปหิ้วมา 2 กล่อง ผมโทรถามน้อง “ภูผา ตาปี” ว่าอยู่ไหน คำตอบคือเพิ่งมาถึงหน้าวัดเวียง กำลังมองหาร้านนาโนแอร์อยู่ .. อ้อเจอแล้วครับ .. แล้วผมก็โทรหาป้าจุ๋มกลัวเขาจะมารอนาน อยากให้ป้าเดินออกจากบ้านมาตอนนั้น .. แต่ที่ไหนได้ ป้าก็ตอบแบบเดียวกันว่า .. “พี่มาถึงร้านแล้ว กำลังมองหาน้องเขาอยู่ .. อ้อๆๆ เจอแล้ว”  ผมเลยบอกว่าผมอยู่ห่างพี่แค่ 1 กิโล รอแป๊บเดียวก็จะถึงแล้ว  จนในที่สุด ผมก็พาเด็กๆ ทุกคนมาทัน ยกมือไหว้ Say Goodbye กับป้าจุ๋มและน้อง”ภูผา ตาปี” แถมยังได้ถ่ายรูปดีๆ “คนกอดกัน” ได้อีกหลายรูป ก่อนแยกย้ายกันไปคนละทาง (ผมไปทะเล - ป้าจุ๋มกลับกทม.)

    อย่านึกว่าเรื่องดีๆจะจบลงง่ายๆแค่นี้นะครับ .. Shot สุดท้ายนี่ก็เหลือเชื่อจริงๆ นั่นคือพอเราจอดรถที่แหลมโพธิ์  คุณนงมองเห็น Escape สีดำคันหนึ่งจอดอยู่เบื้องหน้าห่างไปราว 10 เมตร พลันบอกว่า “โน่นเพื่อน” ผมดูแล้วก็เฉยๆ  แต่สักครู่เมื่อเด็กๆและคุณนงลงทะเลไปแล้ว ผมก็หามุมสงบข้างพุ่มไม้ชายหาดแหลมโพธิ์ เปิดวิทยุ FM สวมหูฟังอันใหญ่ และกำลังเริ่มใช้ Notebook เปิดอินเตอร์เน็ต เข้า Ford Club ได้ไม่กี่นาที เพิ่งจะลอง Search หาอะไรบางอย่างด้วยคำว่า morn ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งหน้าคุ้นๆ เดินขึ้นมายกมือไหว้ ทันใดนั้นความงงก็เริ่มหาย  ใช่เลยคนที่เราเจอกันแป๊บเดียวที่ปั๊มแก๊สเมื่อวันก่อน (ข้อ 1.) คุยกันต่ออีกมากมายจนรู้ว่าเป็นใคร ทำอะไรอยู่ที่ไหน และคิดอ่านทำอะไรเพื่อสังคมอย่างไร จนชายหนุ่มผู้น้องท่านนี้เรียกศรีภรรยาและลูกๆขึ้นมาจากชายหาด มา “ธุจ้า” กับผม  ให้นามบัตร และขอ Mem. เบอร์โทรศัพท์ผมลงเครื่องที่ตรงนั้น หลายอย่างเราใจตรงกัน ในเรื่องความคิดสร้างสรรค์เพื่อหยิบยื่นเรื่องดีๆให้สังคม ผมได้น้องชายอีกคนแล้วครับ มีตำแหน่งเป็น วิศวกรบริหารระบบ อยู่ในรัฐวิสาหกิจ ที่เกี่ยวข้องกับการบิน .. ก่อนจากไปยังบอกว่า จะเดินทางโดยเครื่องบินอีกเมื่อไร ขอให้บอก เพราะจะมีอะไรๆพิเศษให้ .. ดีใจครับ แต่ที่ดีใจมากกว่าก็คือวันนี้วันเดียว ผมได้พบน้องชายคนเก่ง คนดีที่ร่วมอุดมการณ์ ถึง 2 คน แบบไม่คาดคิด

   อะไรๆมันเป็นมาตามที่เล่ามาทั้งหมด  อย่างนี้ ไม่เรียก “ธรรมะ จัดสรรค์” หรือ “บุญจัดสรรค์” จะให้เรียกว่าอย่างไรเล่าครับ

   ขออภัยที่เป็นบันทึกที่ยาวมาก  ตัดเป็นตอนๆก็น่าจะได้  แต่ไม่อยากทำ เพราะกลัวความไม่ต่อเนื่องครับ


ไปสอนแบบไม่ต้องเตรียม ที่มรภ.สุราษฎร์ธานี

ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 25 มิถุนายน 2010 เวลา 1:06 (เช้า) ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้, การศึกษา #
อ่าน: 1727

     เสาร์ 19 มิย.ที่ผ่านมา ผมมีรายการสอนเป็นครั้งแรกที่ม.ราชภัฏสุราษฎร์ธานี  งานนี้เริ่มจากที่ผศ.ดร.น้ำอ้อย มิตรกุล ประธานโปรแกรมเทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา คณะครุศาสตร์ได้ติดต่อขอให้ผมไปช่วยสอนโดยยอมขับรถไปปรึกษาหารือกันถึงไชยาเมื่อตอนหัวค่ำวันหนึ่งเมื่อสัปดาห์ก่อน

    สิ่งที่ทำให้ผมพอใจ และรับงานด้วยความสบายใจ คือ ได้สอนสิ่งที่อยากสอน กับคนหมู่มาก จำนวนหลายๆกลุ่ม  แทนที่จะเหมาทั้งเทอม ว่ากันทุกเรื่องให้กับหมู่เรียนใดหมู่เรียนหนึ่ง  ที่ว่าพอใจและสบายใจนั้นเพราะ อยากจะเผยแพร่สิ่งที่คิด และถ่ายทอดเรื่องราวที่ได้กลั่นกรองมาจากเรื่องที่คิดและทำมาด้วยตัวเอง เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนักศึกษาสายครูทั้งหลาย ผู้ที่จะออกไปเป็นผู้กำหนดอนาคตของชาติ

   ผมออกเดินทางไปตั้งแต่เย็นวันศุกร์ที่ 18 มิย. หลังจากทานยาระงับอาการเป็นไข้และปวดหัว เพราะหลงเพลิน กรำงานกลางแดดเปรี้ยงๆยาวนานมาหลายวัน และมาเจอฝนเข้าอีกเลยต้องเป็นไข้ครั้งแรกตั้งแต่ย้ายลงมาอยู่ไชยา

    คืนนั้นไปทานอาหารเย็นกับอ.ชัยรัตน์ และผศ.ดร.นิตยา กันตะวงษ์ คณบดีคณะครุศาสตร์ที่ ร้านอีสานเรือนไทย ที่ผมสุดแสนประทับใจทั้งบรรยากาศ รสชาติอาหาร และน้ำใจไมตรีจากท่านเจ้าของร้าน  อิ่มหนำแล้วก็กลับมานอนค้างที่บ้านพักของอ.ชัยรัตน์ และผศ.ดร.นิตยา เพื่อรอตื่นมาสอนตอนเช้าวันรุ่งขึ้น

    แต่แล้วก็เหมือนเช่นเคย ไม่ค่อยได้นอนหรอกครับ คุยกันเพลินจนดึกดื่น ประสาคนรู้ใจที่สุดที่นานๆเจอกัน  เข้านอนราว 5 ทุ่ม ตกตีสองผมก็ตื่นอีกแล้ว และรู้สึกว่านอนอิ่มแล้วด้วย  ลงมาข้างล่างพบอ.ชัยรัตน์ ครึ่งหลับครึ่งตื่น ให้นักฟุตบอลในทีวีดูอยู่ เลยชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ ต่อยอดความคิด แลกเปลี่ยนความรู้ จนเจ้าของบ้านบอกว่าไปนอนเสียหน่อยมั้ย ผมก็เห็นด้วย แต่พอดูนาฬิกา อีกราว 10 นาทีจะหกโมงเช้าแล้ว ขึ้นไปนอนๆไปก็ไม่หลับจึงลงมาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปสอน ตั้งแต่ 7 โมงครึ่งโดยประมาณ

   ผมคิดว่าจะเตรียมการสอน แต่แล้วก็ไม่ได้ทำ ดูจะเป็นครูที่แย่เอามากๆ  แต่จำได้ว่าหลายครั้งที่ผ่านมา ผมสอนโดยไม่เตรียมอะไรมาก มักจะทำได้ดีกว่าเตรียมเยอะๆ  เหตุน่าจะอยู่ที่สอนไปตามสถานการณ์ที่เป็นจริง  ให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้เรียน สื่อไปแบบธรรมชาติ เรียกว่าปล่อยคำพูดออกมาจากใจ  และที่สำคัญ พูดในสิ่งที่เราคิด และทำมาแล้วด้วยตัวเอง  วิธีนี้หากใครจะเอาไปใช้บ้างให้ระวังดีๆ โดยเฉพาะครูใหม่ทั้งหลาย  คนทำได้จะต้องผ่านโลกและประสบการณ์มาพอประมาณแล้วเท่านั้น และที่สำคัญ แม้ไม่ได้เตรียมในรายละเอียดที่จะพูด แต่เป้าหมายต้องชัดว่าจะใช้เวลาทั้งหมดทำกิจกรรมอะไรบ้าง เพื่อให้ได้ผลอะไรออกมาภายในเวลาที่กำหนด

    วันนั้นนอกจากผมจะได้ใช้เวลาพูดคุยกับนักศึกษา 100 กว่าชีวิต ชี้ชวน เสริมความคิดและนำนักศึกษาสร้าง Blog เพื่อใช้เป็น Social Network ส่งเสริมการเรียนรู้ และจัดการความรู้ของแต่ละคนแล้ว  ตอนเริ่มภาคบ่ายยังมีรายการพิเศษคือการ Phone in มาจาก ผศ.ดร.แสวง  รวยสูงเนิน  สหายร่วมอุดมการณ์จาก ม.ขอนแก่นด้วย

   การพูดคุยและเล่าประสบการณ์ของผม มีสาระสำคัญอะไรบ้าง  และ “ลุงแหวง” พูดอะไร  จำไม่ค่อยได้แล้ว เลยบอกว่าใครพอจำได้ให้บอกกันบ้าง

    นักศึกษาเขาก็ดีครับมาเขียนกันพอประมาณ รวมทั้งให้น้ำหวาน และโปรยยาหอมให้ผู้สอนด้วยล่ะ

   นี่ไงครับ หลักฐานส่วนหนึ่ง

    “   อาจารย์เป็นอาจารย์ที่ผมคิดว่าเป็นอาจารย์ที่แท้จริง ซึ่งจากการสอนของอาจารย์อาจารย์บอกว่าไม่ได้เตรียมเนื้อหาที่สอนเลย  แต่การที่เราจะสอนใครสักคนหรือหลาย ๆ คนนั้น เราต้องรู้เรื่องสิ่งที่เราจะสอนให้ดีเสียก่อนถึงจะถ่ายทอดความรู้ให้กับเขา  แต่สิ่งที่อาจารย์พินิจได้สอนกับ นักศึกษา ป.บัณฑิต นั้นเป็นสิ่งที่อาจารย์ได้ทำและปฏิบัติอยู่เป็นประจำเป็นเรื่องที่อาจารย์รู้แจ้งเห็นจริงซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ชำนาญอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องเตรียมการสอนอะไรมากมาย 

     หลังจากที่ได้เรียนกับอาจารย์ทำให้ทราบว่าสังคมแห่งการแบ่งบันมีประโยชน์มากมายในการที่เราจะแชร์ความรู้ร่วมกัน กับผู้อื่น ผมในฐานะลูกศิษย์ของอาจารย์คนหนึ่งที่ได้เรียนกับอาจารย์มีความภูมิใจและดีใจเป็นอย่างยิ่ง  และหวังว่าคงจะได้ความรู้จากอาจารย์อีกในวัน เสาร์ที่ 26 มิ.ย. นี้  

     “ คำพูดของอาจารย์แสวงที่ตรงใจมากที่สุด คือคำว่า ปัจจุบันนี้มี “ปริญญาของแท้ แต่คนเป็นคนปลอม” มันทำให้คิดถึงตัวเองว่า เราก็เป็นเช่นนั้น และไม่ต้องการให้เด็กไทยเป็นเช่นนั้น สำหรับตัวเองแล้ว ยิ่งได้เรียนวิชาชีพครู ที่ย้ำกับตัวเองว่าอยากจะทำ การศึกษาตามอัธยาศัยให้ลูก หรือที่คนมักจะเรียกว่า Home school

     หนูชื่อ นางสาวเกษมณี ศิริรัตน์ ค่ะ แวะมาชมเชยอาจารย์หน่อยค่ะ หนูเป็นนักเรียนห้องนี้ด้วยค่ะ มีความภาคภูมิใจมากที่ได้เรียนกับอาจารย์ค่ะ อาจารย์มีความรู้ความเข้าใจในการสอนมาก โดยอาจารย์ไม่ต้องเปิดในตำราเลยค่ะ หนูเป็นนักศึกษาในห้องนี้ด้วยค่ะ อาจารย์เก่งมากค่ะ อาจารย์สอนพวกเราให้เก่งเหมือนอาจารย์ด้วยนะค่ะ ขอบคุณค่ะ “

     ” สวัสดีคะอาจารย์ ถึงแม้ว่าอาจารย์จะไม่ได้เตรียมตัวมาแต่สอนได้ดีมากเลยเนื้อหาก็เข้าใจง่ายแถมยังสอดแทรกธรรมเล็กๆน้อยๆมาให้ลูกศิษย์ได้คิดอีกด้วย ขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์ด้วยนะคะ ( หนูก็เป็นคนไชยาเหมือนกันค่ะ) “

      “   สวัสดีครับอาจารย์ Handy   ผมขอขอบคุณอาจารย์มากครับที่อาจารย์สละเวลาให้กับพวกเราชาว ป.บัณฑิต มรส.  ความประทับใจของผมคือ การที่อาจารย์สละเวลามาสอนด้วยใจรัก เล่าประสบการณ์ต่างๆให้พวกเราฟัง และได้รับฟังสิ่งดีๆจากอาจารย์แสวง ผมเองก็คิดเหมือนอาจารย์แสวงครับ  

      แต่ของผมจะมองลงไประดับต่ำกว่า อนุบาล ประถม และมัธยม เหมือนกับว่ามันไม่ได้รับอะไรบางอย่าง  พอเด็กเหล่านั้นเข้ามหาลัยมันก็เลยขาดบางสิ่งบางอย่าง จบมหาลัยก็เลยขาดบางสิ่งบางอย่างไป  โรงเรียนที่ผมทำงานเปิดสอนตั่งแต่ระดับอนุบาลถึงมัธยมต้น ทุกเริ่มต้นเทอมใหม่สิ่งที่ผมมองเห็นตอนเช้า (ผมจะมาถึงโรงเรียนก่อน 07.00 น) จะเห็นเด็กชั้นอนุบาลร้องให้งอแงจะตามผู้ปกครองกลับบ้าน ก็ทำให้คิดไปว่า(คิดไปเองนะครับ) ว่าการที่เป็นพ่อแม่มีลูกพาลูกมาส่งโรงเรียน แน่นอนว่าเด็กระดับเล็กๆไม่รู้จักใครเลยอยู่ๆเอาเขามาทิ้งไว้กับใครไม่รู้ ที่อยู่ก็ไม่รู้ที่ใหน มาอยู่แล้วพ่อแม่ก็ไม่รู้ไปใหนซะแล้ว คล้ายๆกับเอามาทิ้ง ถ้าเจอครูดีๆสภาพแวดล้อมที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าตรงกันข้ามไม่รู้เป็นไง  สภาพจิตใจแบบนั้นจะยังติดตัวเขาไปใหม  พอโตขึ้นจะสนใจพ่อแม่ พูดคุยปรึกษากับพ่อแม่ใหม่ หรือว่าตามเพื่อน เพราะสภาพการใช้ชีวิตเขาจะอยู่กับเพื่อนเป็นส่วนใหญ่ พอได้ฝังอาจารย์แสวงพูดให้ฟังก็เลยฉุกคิดขึ้นมาครับ


คิดถึงท่านอาจารย์ (อีกแล้ว)

1 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 23 มิถุนายน 2010 เวลา 6:38 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1170

     ผมกลับไปอยู่ไชยามาตั้งแต่ต้นเดือนเมษาที่ผ่านมา  Say Goodbye กับชีวิตในเมืองอันแสนวุ่นวายอย่าง กทม. ที่ผมฝังตัวทนอยู่มากว่า 30 ปี

    ขอบคุณวิกฤติการณ์อันแสนเลวร้ายในชีวิตที่เป็นเสมือนข้อทดสอบ เพื่อตัดสินว่าผมสอบผ่านหรือไม่ในเรื่องของการนำธรรมะของท่านอาจารย์พุทธทาสมาใช้จัดการกับชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของจิตใจ แล้วผมก็ตอบได้แบบดังๆและไม่อายใครว่าผมสอบผ่านครับ

   สิ่งที่ไม่คาดคิดหลายอย่างเกิดขึ้นเมื่อผมกลับไปใช้ชีวิตใหม่ในบ้านเกิด เพราะผู้คนรู้จักเราเป็นอย่างดีว่าทำอะไรมาบ้าง มีประสบการณ์ด้านใด อย่างไร จึงมีเรื่องให้คิด ให้ทำ ให้ช่วยหลากหลายมาก  กลายเป็น “โจทย์วิจัย” รายวันไปก็ไม่น้อย แล้วคนอย่างเรามันเป็นโรค “ทนไม่ได้กับความไม่รู้” เสียด้วย  ก็เลยยุ่งยิ่งกว่าอยู่กรุงเทพฯเสียอีก

   สิ่งที่คิด อยากทำ หลายอย่างจึงต้องระงับ ชะลอ หรือเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด  เพราะมีสิ่งที่ ควรทำ มาแทรกมากเหลือเกิน อย่างน้อยสองเรื่องที่รู้สึกเสียดายที่ยังไม่ได้เริ่มคือการ ปลูกข้าวกินเอง และ การไปช่วยงานสวนโมกข์

   ขับรถผ่านหน้าสวนโมกข์แทบทุกวัน ไปสอนที่มรภ.สุราษฎร์บ้าง  ไปทำภารกิจส่วนตัวที่บ้านดอนบ้าง เกิดความรู้สึกตำหนิตัวเองในใจ คล้ายๆเป็นคนอกตัญญู  ที่เลือกเรื่องอื่นมาทำก่อน แต่ก็คิดอีกที  ถ้าท่านอาจารย์ล่วงรู้ด้วยญาณใดๆว่าผมไปทำอะไร กับใคร อย่างไร ด้วยเจตจำนงใด ที่ม.ราชภัฏสุราษฎร์ธานีในตอนนี้  ท่านคงยิ้มและเอ่ยคำว่า “ดีแล้ว ถูกต้อง พอใจ” เป็นแน่

   
     พูดถึงท่านอาจารย์พุทธทาส ผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณท่านมากเหลือเกิน เพราะได้ไปช่วยงานที่สวนโมกข์มาแต่ยังเป็นนักเรียนประถมปลาย ได้ยินได้ฟัง ได้อ่าน ได้เถียงในใจแบบเด็กๆ และได้ค้นพบภายหลังว่าเราโง่อย่างไร  ที่สำคัญได้ใกล้ชิดท่านอีกครั้งช่วงไปบวชและจำพรรษา และถูกตั้งให้เป็นหัวหน้าพระใหม่ที่นั่นเมื่อปี 31

    วิกฤติในชีวิตผมนั้นเลวร้ายยิ่งนัก ในสายตาผู้คน (ไม่เชื่อให้ถามท่าน อัยการชาวเกาะดู เพราะท่านรับรู้อย่างน้อยก็ 50 %) แต่การซึมซับสติปัญญาจากท่านอาจารย์พุทธทาสมายาวนาน ทำให้ผมปลอดภัยในทุกสถานการณ์ “เช่นนั้นเอง” ได้กับแทบทุกเรื่อง และไม่โง่จนปล่อยให้โลกมันทับและบีบคั้นตัวเรามากนัก สามารถมี “ชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ” ได้พอประมาณ

   ขอบคุณ สวนโมกข์ อีกครั้งครับ และกราบในใจงามๆ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาส ที่คำสอนของท่านช่วยให้ผมอยู่รอดปลอดภัย  ยังสามารถทำงานสร้างสรรค์ประโยชน์แก่โลกได้ แทนที่จะไปโง่ ไปบ้า “ฆ่าคนตาย” หรือ “ฆ่าตัวตาย

 

                                        


ที่แปลงนี้ดินดี น่าปลูกต้น “จาคะ”

12 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 15 มิถุนายน 2010 เวลา 2:09 (เย็น) ในหมวดหมู่ การศึกษา #
อ่าน: 1748

     การหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์พืชและการทำบุญกุศลมีส่วนคล้ายกันอยู่มาก  กล่าวคือพื้นที่หรือแหล่งที่เราหว่านลงไปมีผลมากต่อการเจริญเติบโตของต้นไม้ที่เราปลูก เจอดินที่แห้งผากหรือมีพิษเจือปนก็ยากนักที่จะได้เห็นผลจากการปลูก

    โรงเรียนวัดรัตนาราม หรือ วัดแก้ว อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี โดยการนำของท่านผอ.พรศักดิ์  อ่ำใหญ่  หากเป็นพื้นดินก็นับเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์มาก เหมาะอย่างยิ่งที่จะเพาะพันธุ์พืชที่เราอยากเห็นมันเจริญเติบโต และผลิดอกออกผล   ที่กล่าวเช่นนี้เป็นเพราะได้ยินได้ฟังมามากจากครูและผู้ปกครองนักเรียนในอ.ไชยา เกี่ยวกับการเอาจริงเอาจัง การอุทิศตนเพื่องานของผู้บริหารและคุณครูในโรงเรียนนี้  อันมีผลให้โรงเรียนเล็กๆแห่งนี้ผ่านการประเมินอยู่ในระดับที่ดีมาก  จนกระทั่งมีผู้ปกครองมากมายอยากย้ายบุตรหลานของตนมาเรียนในโรงเรียนวัดแห่งนี้  แต่น่าเสียดายที่หลายคนต้องผิดหวังเพราะ มีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่และอาคารสถานที่   ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อผมได้ไปเยี่ยมและพบปะพูดคุยกับท่านผอ.รวมทั้งการแอบฟังโดยไม่ได้ตั้งใจตอนที่ท่านประชุมครู ก็พบว่าเขาพูดกันแต่เรื่องงาน  เรื่องทำอย่างไรจะให้เด็กๆได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่

    ด้วยเหตุดังกล่าวผมจึงปวารณาตัวว่ายินดีจะให้ความร่วมมือช่วยเหลือท่านอย่างเต็มที่ ตามประสบการณ์และความรู้ความสามารถที่มี  แล้วก็มาถึงเรื่องข่าวดี ตามที่ผมเคยเกริ่นไว้ครั้งหนึ่งแล้วใน บันทึกก่อนหน้านี้  นั่นคือการที่มีผู้ยอมขายที่ดินติดกับโรงเรียนเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ครึ่ง เป็นเงิน 6 แสนบาทเพื่อให้ทางโรงเรียนได้ขยายพื้นที่และปลูกสร้างอาคารเรียนเพิ่มเติมให้เพียงพอ   ดูท่านผอ.จะตื่นเต้น ดีใจยิ่งกว่าถูกล๊อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งเสียอีก  วันที่ท่านเชิญตัวแทนผู้ปกครองมาขอคำแนะนำ ปรึกษาหารือเรื่องการหาเงินมาเพื่อซื้อที่ดังกล่าว ผมก็ได้มีส่วนร่วมรับฟังอยู่ด้วยตลอดรายการ  นอกจากวิธีการต่างๆที่เขานำเสนอกันแล้วผมได้แอบแจ้งข่าวถึงหมู่ญาติที่นี่ไปล่วงหน้าแล้ว และได้ปริ้นท์ หลักฐานการตอบรับของบางท่านให้ท่านผอ.ได้ทราบไปแล้ว  และบอกท่านว่าคงมีความร่วมมือเพิ่มเติมมาอีกจากบรรดาหมู่ญาติมิตรที่ผมมีอยู่นเครือข่ายอินเตอร์เน็ต

    จากวันนั้นมาผมก็ได้รับการทวงถามจากหลายท่านว่าจะให้ส่งเงินไปที่ไหน อย่างไร  ตอนแรกก็คิดจะใช้เลขบัญชีของตัวเองสะสมเงินได้แล้วค่อยรวบรวมส่งให้ทางโรงเรียน  แต่ตอนนี้มีทางออกที่ดีกว่าแล้วครับ  นั่นคือท่านผู้มีใจศรัทธาอยากร่วมบริจาคเงินให้ดำเนินการง่ายๆดังนี้ครับ

  1. โอนเงินของท่านเข้าบัญชี “กองทุนซื้อที่ดิน โรงเรียน วัดรัตนาราม” ธนาคารออมสิน สาขาไชยา บัญชีเลขที่  020017419738

  2. แจ้งวัน เวลา และจำนวนเงินที่โอนไปให้ผมทราบทาง e-mail : pinit99@hotmail.com  หรือโทร. 081-487-1652 หรือทั้งสองทาง

  3. ผมจะรวบรวม ยอดเงินรวม ที่ท่านทั้งหลายในเครือข่ายของพวกเราช่วยกันบริจาคมาแจ้งให้ทราบเป็นระยะ จนกระทั่งถึงรอบสุดท้าย ก็จะได้นำไปประกาศที่เวทีงานระดมทุนและร่วมดื่มน้ำชา กาแฟ ในวันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน 2553 เวลา 09.00 - 17.00 น.ณ โรงเรียนวัดรัตนาราม ครับ

    ใครจะร่วมปลูกต้นไม้ชื่อต้น “จาคะ” เพื่ออนาคตของชาติคือเด็กนักเรียนโรงเรียนวัดรัตนาราม  เชิญได้เลยครับตามความสะดวกและศรัทธา  ส่วนท่านที่ยังไม่สะดวกด้วยประการใดๆก็ไม่ต้องกังวลครับ  ที่ที่เหมาะแก่การปลูกต้น “จาคะ“ยังมีอีกมากมาหลายที่ และหลายโอกาสครับ

         ข้างล่างนี้คือสาระจากหนังสือเชิญชวนร่วมบริจาคเงินจากทางโรงเรียนครับ …

 

                                  รวมสร้างกุศลครั้งสำคัญเพื่ออนาคตของชาติ

     ด้วยโรงเรียนวัดรัตนาราม อำเภอไชยา จังหวัด สุราษฎร์ธานี  มีพื้นที่คับแคบ (2ไร่ 92 ตารางวา) ทำให้โรงเรียนขาดแคลนสถานที่ในการก่อสร้างอาคารเรียน  สภาพปัจจุบันโรงเรียนมีอาคารเรียน 1 หลัง 8 ห้องเรียน (จัดเป็นห้องเรียน 6 ห้อง ห้องพักครู 1 ห้อง และห้องวิชาการ 1 ห้อง) อาคารเอนกประสงค์ 1 หลัง ห้องสมุด 1 หลัง ซึ่งสร้างด้วยเงินบริจาค

    หลายปีผ่านมาจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ปีการศึกษา 2553 มีนักเรียน 315 คน ต้องใช้อาคารอเนกประสงค์เป็นห้องเรียน ๔ ห้อง โดยใช้บังตาเป็นผนังกั้นห้อง ค่อนข้างจะเป็นปัญหาต่อการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนมีคุณภาพ โรงเรียนขาดห้องเรียนพิเศษสำหรับจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เต็มศักยภาพ และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ขาดสถานที่สำหรับให้นักเรียนได้เรียนรู้นอกห้องเรียน ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย ด้วยการวิ่งเล่น การเล่นกีฬา ตามธรรมชาติของเด็กในวัยนี้
 
     ด้วยเหตุผลดังกล่าว โรงเรียนวัดรัตนารามโดยคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครอง ชุมชน ศิษย์เก่า ผู้บริหารและคณะครูได้ขอความอนุเคราะห์จากเจ้าของที่ดินซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกัน เพื่อขายให้กับโรงเรียน และ ได้รับความอนุเคราะห์ตามความต้องการ 

     ดังนั้นโรงเรียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถานศึกษาขึ้นพื้นฐาน จึงจัดให้มีกิจกรรมระดมทุนเพื่อจัดซื้อที่ดินดังกล่าวในราคา 600,000 บาท ดังนี้

       *    ขอรับบริจาคเป็นที่ดินตามศรัทธา ในราคาตารางวาละ  1,000.- บาท
       *    เชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาเป็นเจ้าภาพเพื่อช่วยระดมทุน
       *    ขอรับบริจาคตามศรัทธา
    
         จึงเรียนมาเพื่อขอความอนุเคราะห์จากท่านโปรดสนับสนุนเพื่อจัดซื้อที่ดินตามที่เห็นสมควร

                            กำหนดระดมทุนและร่วมดื่มน้ำชา กาแฟ

    วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน 2553 เวลา 09.00 - 17.00 น. ณ โรงเรียนวัดรัตนาราม
   
           ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดอำนวยพรให้ท่านจงประสบแต่ความสุขความเจริญตลอดไป
    
                                           กราบขอบคุณด้วยความเคารพ
      คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครอง ชุมชน  ศิษย์เก่า ผู้บริหารสถานศึกษา
                         คณะครูและบุคคลากรทางการศึกษาโรงเรียน วัดรัตนาราม
                               โทร . 077 431-537 โทรสาร. 077-431-537

  บัญชี “กองทุนซื้อที่ดิน โรงเรียน วัดรัตนาราม” ธนาคารออมสิน สาขาไชยา บัญชีเลขที่  020017419738



Main: 0.91136002540588 sec
Sidebar: 0.1198251247406 sec