จวนจะหกโมงเย็นแล้วเมื่อผมเริ่มเขียนบันทึกนี้ จากร่มไม้ชายหาดทะเลพุมเรียง บริเวณแหลมโพธิ์เมืองไชยา ถิ่นเก่า บ้านเกิดของตัวเอง
ในช่วงนี้มีอะไรดีๆ ให้ผมได้คิด ได้ทำ และที่สำคัญที่สุดคือได้พบ ได้สัมผัส ได้ช่วยเหลือ แบ่งปัน เชื่อมความสัมพันธ์กับกัลยาณมิตร เพื่อนร่วมแนวคิด และอุดมการณ์ได้มากมายจริงๆ แถมในเรื่องของ Timing แต่ละครั้งแต่ละเรื่องก็ช่างลงตัว เหมาะเจาะไปเสียหมด
ผมขอเล่าไปแบบสะเปะสะปะตามที่นึกได้ก็แล้วกัน หากช่วยกันปะติดปะต่อดีๆ เชื่อว่าจะได้เห็นปรากฏการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้ เข้าข่ายมหัศจรรย์ก็เป็นได้
1. วันก่อนผมขับรถเข้าปั๊มแก๊สแถวสุราษฎร์ พบรถ Ford รุ่นเดียวกันเติมแก๊ส LPG อยู่ข้างๆ ชายหนุ่มรุ่นน้องผู้ขับรถดังกล่าวลงจากรถและเดินมาหาผม ชวนคุยเรื่องปัญหาและประสบการณ์การแก้ไขอะไรบางจุดของรถสมรรถนะดีรุ่นนี้ คุยไม่กี่คำก็แยกย้ายกันไป รู้แค่ว่าเป็นคนนครสวรรค์ เขยไชยาและทำงานที่สนามบินสุราษฎร์ และเป็นสมาชิก Ford Club เหมือนกัน ท่านมีชื่อใน Net ว่า Morn
2. ผมเคย Post เรื่อง “วิชาผักพูม” ไว้ในบันทึกหนึ่งนานมาแล้ว มีคนมาอ่านและ Comment บ้างเล็กน้อย แต่พอไปสอนที่ มรภ.สฎ. และต้องมีกิจกรรมการสร้าง Blog ก็ให้บังเอิญไปพบว่าท้ายบันทึกดังกล่าวมีคนไปนำเสนอเรื่องราวเรื่องผักพูมไว้ยาวๆถึงสองสามครั้ง นอกจากจะแสดงความดีใจที่เห็นผมกลับมาอยู่บ้านและสนใจเรื่องผักพื้นบ้านแล้ว ยังเชิญชวนให้ไปหา และรับต้นกล้าผักพูมไปปลูกได้เต็มที่ตามที่ต้องการ ท่านใช้ชื่อในนั้นว่า “ภูผา ตาปี” สังกัดกลุ่ม “สายธารอนุรักษ์” ที่บ้านปากกิ่ว ต.ตะกรบ อ.ไชยา ซึ่งเป็นถิ่นที่ผมยังไม่เคยไปมาก่อน ทั้งที่อยู่อำเภอเดียวกัน จึงตั้งใจมุ่งมั่นว่าสักวันจะต้องไปหาและพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ให้ได้
3. อีกด้านหนึ่งผมได้พบคนดี ครูดี ที่ก้าวมาทำหน้าที่ผู้อำนวยการโรงเรียนเล็กๆ แต่คุณภาพคับแก้ว แห่งหนึ่งในอำเภอไชยา ท่านมีชื่อว่า ผอ.พรศักดิ์ อ่ำใหญ่ เขยไชยา เลือดกาญจนดิษฐ์ ผู้ที่ความดีความเสียสละ ความรักงาน และการทำหน้าที่ด้วยหัวใจของท่าน เป็นที่เลื่องลือ ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์มากมาย จนทำให้ชุมชน ผู้ปกครอง และนักเรียนต่างมีความรัก ความศรัทธาให้ท่านผู้บริหารคนนี้มาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน และเพราะน้อง Website ได้ย้ายจากกทม.มาเรียนต่อ ป.2 ที่โรงเรียนนี้ ผมจึงมีโอกาสเรียนรู้โดยตรงเพิ่มเติมด้วยตัวเองมากมายถึงความจริงดังกล่าว เมื่อได้เข้าไปสัมผัสสภาพจริงด้วยตัวเอง ได้พูดคุยกับคุณครูและท่านผู้บริหารบ่อยๆเข้า ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของที่นั่นไปโดยอัตโนมัติ
วันหนึ่งพอรู้ว่าโรงเรียนอันคับแคบแห่งนี้กำลังจะโชคดีที่มีผู้จะขายที่ดินติดกับโรงเรียนประมาณ 600 ตารางวาให้โดยคิดราคา 600,000 บาท ท่านผอ.ตื่นเต้น ดีใจยิ่งนัก แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาเงินมาจากไหน แต่ก็คิดอะไรไว้ในใจ แล้วจึงเชิญตัวแทนผู้ปกครองมาร่วมหารือ โดยมีผมเป็นแขกรับเชิญด้วยคนหนึ่ง
ในการประชุมครั้งแรกมีข้อสรุปว่าจะขอบริจาคจากผู้ปกครองตามศรัทธา และจะจัดหาทุนด้วยการจัดงานเลี้ยงน้ำชาเพื่อระดมทุนในวันเสาร์ที่ 26 มิย.53 อันเป็นวันที่ผมมีสอนที่ราชภัฏสุราษฎร์ ตั้งแต่ 8:30 - 14:30 น. และตั้งใจว่าสอนเสร็จจะบึ่งรถกลับไชยา ให้มาทันร่วมงานที่ รร.วัดแก้วให้ได้
4. ผมนำความดีของผอ.พรศักดิ์ และเรื่องการจัดซื้อที่ดินแพร่ข่าว ผ่าน บันทึก ใน Blog ด้วยหวังจะให้สหายและกัลยาณมิตรทั้งหลายได้มีโอกาสทำกุศลตามกำลังศรัทธา ปรากฏว่าได้ผลเกินคาดหมาย มีญาติๆในเครือข่ายโอนเงินมาให้หลายราย ตอนนี้รวมๆแล้วได้ น่าจะเกิน 15 ตารางวาครับ วาละ 1000 บาท ยกเว้น ป้าจุ๋ม ซึ่งในที่สุดป้าก็สามารถมาร่วมงานและพบท่านผอ.ได้ถึงโรงเรียน และสนับสนุนใส่ซองไป 3 ตารางวาเท่ากับของผม
ตอนประชุมครั้งสุดท้ายก่อนวันงานท่านผอ.รายงานว่า มีเงินเข้ามากว่า 4 แสนบาทแล้ว ไม่น่าจะรบกวนชาวบ้านอีกด้วยวิธีการอื่นๆ เพราะถึงวันงานน่าจะได้เงินรวมทะลุเป้า 6 แสนบาท วันนั้นผมแสดงความไม่เห็นด้วย โดยบอกว่าหากไม่มีอะไรไปกะเกณฑ์ บีบคั้นชาวบ้าน เงินบริจาคได้มาเกินเป้าเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น เพราะนอกจากจะได้นำเงินไปถมที่และจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่องานของท่านแล้ว ยังเป็นการสื่อให้คนทั่วไป โดยเฉพาะผู้บริหารสถานศึกษาอื่นๆได้งุนงง สงสัย และจะได้เรียนรู้ว่าที่นี่เขาเป็นอย่างไร ความร่วมมือจากชุมชนและกัลยาณมิตรจากต่างถิ่นแดนไกลจึงมีได้มากมายถึงเพียงนั้น
5. อีกด้านหนึ่ง ป้าจุ๋ม เสร็จภารกิจการร่วมงานแต่งงานลูกทีมวิจัยที่ชุมพรแล้ว สามารถเดินทางไปสุราษฎร์ ไปทานข้าวกลางวันกับผมที่ร้านที่ผมสุดประทับใจ ชื่อว่า ”อีสานเรือนไทย” และได้รู้จัก พบปะ พูดคุยกับ เพื่อนที่เป็นเพื่อนที่สุด ของผม แถมภาคบ่ายยังได้ “ร่วมสอน” นักศึกษาของผมผ่านการเล่าเรื่อง เกี่ยวกับประสบการณ์ที่มีค่ามากมาย ก่อนพากันบึ่งรถไปไชยา ร่วมงานที่โรงเรียนได้ทันเวลา ตามที่ตั้งใจไว้ทุกประการ
บรรยากาศที่โรงเรียนเต็มไปด้วยความสุข และความแจ่มใสทั้งในหมู่ผู้ต้อนรับและผู้มาเยือน โดยเฉพาะท่านผอ.ดูจะเก็บความปลื้มใจเอาไว้ไม่อยู่เมื่อมาบอกผมว่านึกไม่ถึงที่ยอดเงินรวมที่บริจาค ตอนนั้น เกิน 1.4 ล้านบาท แล้ว
… ยังมีต่อครับ หลานเหลน โขยงใหญ่ 7-8 คน กำลังขึ้นจากทะเลกันมา และมืดค่ำแล้ว จะมาเพิ่มเติมให้จบอีกครั้งครับ .. ขอสัญญา
มาแล้วครับ เพื่อเขียนต่อ (4:20 น. 28 มิย. 53)
6. เสร็จงานจาก รร.วัดรัตนาราม ผมพาป้าจุ๋ม คุณนง น้องเว็บไซต์ น้องนพพร และหลานจุมพล ตรงไปร้าน ราตรีซีฟู้ดที่ชายทะเลพุมเรียงได้ทันเวลาตามที่ตั้งใจไว้คือไม่ให้เย็นเกินไป ไปร้านนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ไม่เคยรู้ว่าเจ้าของเป็นพี่สาวของเพื่อนนักเรียนร่วมรุ่น ที่ปลีกเวลาจากกทม. ไปทำสวนใกล้ๆบ้านของผมที่ไชยา และเพิ่งพบกัน และได้ข้อมูลมาเมื่อสองวันก่อน วันนั้นเลยไปบอกเจ้าของร้านว่าเป็นเพื่อนกับคุณอัมพวัน ราคาอาหารเลยเปลี่ยนไปจากธรรมดาเล็กน้อย โดยไม่ตั้งใจ
7. ผมตัดสินใจให้ป้าจุ๋มนอนบ้านน้าทองมาก ผู้เป็นเหมือนพ่ออีกคนของผม เพราะผมอยู่กินที่นี่ ช่วยการงานที่บ้านนี้ มาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม และทุกคนที่นี่รู้สึกและปฏิบัติกับผมเหมือนสมาชิกครอบครัวคนหนึ่งตลอดมา น้าทองมากเคยเป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดธารน้ำไหล (สวนโมกข์) และใกล้ชิดท่านอาจารย์พุทธทาสมายาวนาน น้องนพพรก็รับช่วง เป็นครูอยู่ที่โรงเรียนนั้นจนปัจจุบันนี้ น้องขวัญจิตร น้องสะไภ้ที่เป็นเหมือนน้องจริงๆของผมก็เป็นครูสอนอยู่รร.ไชยาวิทยา หลานจุมพลนั้นเล่าก็วิศกรไฟฟ้าหนุ่มจากแถวๆหัวตะเข้า ลาดกระบัง ผู้เคยหิ้วกล้วยเล็บมือนางกว่า 10 หวีไปยื่นให้ป้าจุ๋มและคณะของครูบาสุทธินันท์ ที่ขบวนรถไฟ คราวที่กลุ่มดังกล่าวเดินทางไปทำกิจกรรมบางอย่างที่กระบี่เมื่อไม่นานมานี้
แผนผมสำเร็จทุกประการ เพราะเมื่อมาร่วมทานอาหารเช้าวันรุ่งขึ้น เห็นคุณป้าของเรา สนิทสนมพูดคุยและทำกิจกรรมอยู่ในห้องครัวกับหมู่ญาติของผม เหมือนสมาชิกในบ้าน และเห็นกอดกันตัวกลมเมื่อลาจาก ตอนเย็นเมื่อวานนี้ ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จัก พบเจอกันมาก่อน
8. เช้าเมื่อวานที่บ้านน้าทองมาก ผมไปร่วมทานอาหารเช้าโดยพกพาผักปลอดสารที่ปลูกเองรอบๆบ้านติดมือไปด้วย พร้อมทั้ง “น้ำชุบเคี่ยว” ของโปรดที่พี่สาวสุดสวาทของผมทำให้ เพื่อให้ป้าจุ๋มได้ทดลองชิม และเหนือกว่านั้นยังพกส้มโอปัตตาเวียลูกเดียวจากทั้งต้น ที่ผมมาปราบกาฝากจนสิ้นซาก และทนุถนอมเอาไม้ค้ำยันไว้ตั้งแต่เพิ่งย้ายมาอยู่ วันก่อนพอคุณป้าจุ๋มไปดู บอกว่ากำลังน่าทานพอดี ส้มโอผลเดียวจากต้นนี้ จึง “เสร็จป้าจุ๋ม” ไปเรียบร้อย (ความจริงท่านแค่ช่วยเก็บให้)
ทานข้าวเสร็จ จึงได้ทานส้มโอที่แสนอร่อยกันอีกด้วย ผักปลอดสารอันได้แก่มะเขือ ถั่วฝักยาวสีม่วง มะเขือพวง และยอดสะเดา เป็นต้น ได้รับการ “จัดการ” โดยป้าจุ๋มและพวกเรา ดูแล้วให้สบายใจยิ่งนัก
9. อิ่มแล้วผมลองเสี่ยงโทรหาคุณ “ภูผา ตาปี” ซึ่งเป็นใครก็ยังไม่รู้ เพราะได้ชื่อนี้มาจากการอ่าน Comment ท้ายบันทึกของผม ตามข้อ (2.) เมื่อสามสี่วันก่อน เห็นว่าเป็นกลุ่ม “สายธารอนุรัษ์” เพาะกล้าพืชผักที่ผมอยากได้ และเชิญชวนให้แวะเวียนไป ผมเห็นเจ้าแม่สมุนไพร มาเยี่ยมผม จึงอยากพาไปพบ ไปคุย ไปชมสิ่งที่ท่าน”ภูผา ตาปี” และสมาชิกทำดูว่าเป็นอย่างไร
เหลือเชื่อจริงๆครับ คุณ”ภูผา ตาปี” รับราชการอยู่กรุงเทพฯ แต่ลงมางานศพญาติที่ไชยา และตอนนั้นนั่งคุยกันอยู่ที่บ้าน เลยบอกผมว่าดีใจมากจริงๆที่จะได้พบกัน ผม ป้าจุ๋ม คุณนง และน้องนพพร จึงออกเดินทางสู่บ้านปากกิ่ว ต.ตะกรบ เพื่อพบญาติคนใหม่เป็นครั้งแรกทันที
เส้นทางยังไม่ชัดเจนนัก พอถึงหน้าโรงเรียนบ้านห้วยพุน ผมจึงหยุดรถ เพื่อจะโทรถามว่าไปยังไงต่อ แต่พอยกโทรศัพท์จะกดโทร ก็มีสายโทรแทรกเข้ามาก่อน คุณ”ภูผา ตาปี”นั่นเอง ถามว่า “อาจารย์ถึงไหนแล้วครับ ผมยืนรออยู่หน้าบ้านหัวหน้ากลุ่ม เลยแทงค์น้ำประปาไปนิดเดียว” ขับไปอีกราว 2 กม. เราก็ได้พบกัน
10. คุยกันมันมากครับ แลกเปลี่ยนควมรู้และประสบการณ์ และแนวทางที่จะช่วยกันทำให้ “โลกใบเก่ากลับมา” ด้วยการทำจริง จากสิ่งเล็กๆ โดย “เริ่มจากสิ่งที่มี ที่เป็น”
คุณ”ภูผา ตาปี” พาพวกเราเข้าบ้านเพื่อไปรับกล้าผักพูม และต้นไม้หายากอย่างอื่น และทานข้าวกลางวันด้วยกันที่นั่น มีการไปเก็บเห็ดเผาะ สดๆจากธรรมชาติมาล้างและแกงกันเดี๋ยวนั้นด้วย พอผมโม้ว่าพี่สาวรู้ว่าผมชอบผักพูม เลยทำให้กินหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ไชยาแค่ 2 เดือนกว่า โดยพี่จะนำยอดผักพูมมาทำเป็นกำเล็กๆ และมัดด้วยใบตะไคร้ ต้มกับกระทิสด ทานกับน้ำพริกกะปิ … แล้วในบัดดล หวานใจคุณ “ภูผา ตาปี” ก็ยกกับข้าวอีกจานมาเสริม มันคือ พักพูมต้มกระทิ ที่มัดด้วยใบตะไคร้ เหมือนที่ผมว่าไว้ทุกประการ .. อะไรจะขนาดนั้น
อิ่มแล้ว คุณ”ภูผา ตาปี” แจกแผ่น CD ผลงานเพลงแนวอนุรักษ์ที่ทำกันเอง ร้องกันเอง จะร่วมบริจาคสมทบเท่าไหร่ก็ไม่ยอม บอกแต่ว่ามอบให้ด้วยใจ แล้วก็พาพวกเราไปชมแปลงเพาะผักพูม และให้เราเลือกหยิบกล้าพืชผักจากแปลงเพาะ บอกให้เอาไปมากๆตามอัธยาศัย ผมก็ขอว่าไม่ต้องมากเกินไป มันจะได้กระจายไปหลายทิศทาง ให้หลายๆคน จากหลายๆที่จะดีกว่า กระนั้นก็ตาม หลังจากแบ่งให้ป้าจุ๋ม และน้องนพพรไปแล้วเล็กน้อย กล้าผักพูมของผมยังเหลือถึง 19 ต้น กะว่าจะแจกลูกหลานไปบ้าง เพื่อช่วยกัน “ทำให้คงอยู่” ในหมู่บ้าน และตำบลของเรา ก่อนกลับเรายังได้ไปเดินป่า ชมต้นผักพูมตามธรรมชาติที่เขาขึ้นเอง แบบอิงอาศัยร่มเงาพุ่มไม้ใหญ่ ทำให้ได้คิดว่าตอนไปปลูกต้องไม่ให้เขาอาบแดดมากเกินไป
11. ผมซื้อตั๋วรถไฟเตรียมส่งป้าจุ๋มกลับกทม.ตั้งแต่วันเสาร์ กะว่าจะพาป้าไปอีกสองสามที่ รวมทั้งดูผ้าไหมพุมเรียง แต่ข่าวดีกว่าก็คือ น้อง”ภูผา ตาปี” (ผมเปลี่ยน คุณ เป็น น้อง เพราะเราตกลง และรู้สึกอย่างนั้นกันเรียบร้อยแล้ว) จะเดินทางเข้ากรุงเทพวันนี้ โดยจะขับรถที่ “ทุกชีวิตปลอดภัยฯ” ไปคนเดียว ผมก็เลยบอกตัวเองว่า “ไม่เป็นไร ตั๋วรถไฟคืนได้ พี่ไปกับน้องเขานะ” ซึ่งป้าจุ๋มและน้อง”ภูผา ตาปี” ต่างก็ยินดียิ่งนัก
12. ผมนัดให้น้อง”ภูผา ตาปี” มารับป้าจุ๋มราว 16.30 น. ที่ร้าน นาโนแอร์ ของหลานจุมพลที่อยู่ข้างวัดเวียง ปากทางไปรร.ไชยาวิทยา โดยให้ป้าอยู่บ้านน้าทองมาก และอาบน้ำ แต่งตัวรอ ส่วนตัวผมเองทำหน้าที่ “ขนเด็ก” คือลูกหลาน 6-7 ชีวิตกลับไปบ้านที่โมถ่าย หลังจากมาเรียนพิเศษภาคบ่ายที่หน้าบ้านน้าทองมากกันแล้ว และมีคิวจะ “ขนคนเพิ่ม” เป็น 8-9 ชีวิตพาไปเล่นน้ำทะเลที่พุมเรียง เพราะไม่ได้ไปกันมานานแล้ว
ผมมาถึงบ้านกุน แวะร้านกรองจิตต์ไข่เค็ม คุณนงลงไปหิ้วมา 2 กล่อง ผมโทรถามน้อง “ภูผา ตาปี” ว่าอยู่ไหน คำตอบคือเพิ่งมาถึงหน้าวัดเวียง กำลังมองหาร้านนาโนแอร์อยู่ .. อ้อเจอแล้วครับ .. แล้วผมก็โทรหาป้าจุ๋มกลัวเขาจะมารอนาน อยากให้ป้าเดินออกจากบ้านมาตอนนั้น .. แต่ที่ไหนได้ ป้าก็ตอบแบบเดียวกันว่า .. “พี่มาถึงร้านแล้ว กำลังมองหาน้องเขาอยู่ .. อ้อๆๆ เจอแล้ว” ผมเลยบอกว่าผมอยู่ห่างพี่แค่ 1 กิโล รอแป๊บเดียวก็จะถึงแล้ว จนในที่สุด ผมก็พาเด็กๆ ทุกคนมาทัน ยกมือไหว้ Say Goodbye กับป้าจุ๋มและน้อง”ภูผา ตาปี” แถมยังได้ถ่ายรูปดีๆ “คนกอดกัน” ได้อีกหลายรูป ก่อนแยกย้ายกันไปคนละทาง (ผมไปทะเล - ป้าจุ๋มกลับกทม.)
อย่านึกว่าเรื่องดีๆจะจบลงง่ายๆแค่นี้นะครับ .. Shot สุดท้ายนี่ก็เหลือเชื่อจริงๆ นั่นคือพอเราจอดรถที่แหลมโพธิ์ คุณนงมองเห็น Escape สีดำคันหนึ่งจอดอยู่เบื้องหน้าห่างไปราว 10 เมตร พลันบอกว่า “โน่นเพื่อน” ผมดูแล้วก็เฉยๆ แต่สักครู่เมื่อเด็กๆและคุณนงลงทะเลไปแล้ว ผมก็หามุมสงบข้างพุ่มไม้ชายหาดแหลมโพธิ์ เปิดวิทยุ FM สวมหูฟังอันใหญ่ และกำลังเริ่มใช้ Notebook เปิดอินเตอร์เน็ต เข้า Ford Club ได้ไม่กี่นาที เพิ่งจะลอง Search หาอะไรบางอย่างด้วยคำว่า morn ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งหน้าคุ้นๆ เดินขึ้นมายกมือไหว้ ทันใดนั้นความงงก็เริ่มหาย ใช่เลยคนที่เราเจอกันแป๊บเดียวที่ปั๊มแก๊สเมื่อวันก่อน (ข้อ 1.) คุยกันต่ออีกมากมายจนรู้ว่าเป็นใคร ทำอะไรอยู่ที่ไหน และคิดอ่านทำอะไรเพื่อสังคมอย่างไร จนชายหนุ่มผู้น้องท่านนี้เรียกศรีภรรยาและลูกๆขึ้นมาจากชายหาด มา “ธุจ้า” กับผม ให้นามบัตร และขอ Mem. เบอร์โทรศัพท์ผมลงเครื่องที่ตรงนั้น หลายอย่างเราใจตรงกัน ในเรื่องความคิดสร้างสรรค์เพื่อหยิบยื่นเรื่องดีๆให้สังคม ผมได้น้องชายอีกคนแล้วครับ มีตำแหน่งเป็น วิศวกรบริหารระบบ อยู่ในรัฐวิสาหกิจ ที่เกี่ยวข้องกับการบิน .. ก่อนจากไปยังบอกว่า จะเดินทางโดยเครื่องบินอีกเมื่อไร ขอให้บอก เพราะจะมีอะไรๆพิเศษให้ .. ดีใจครับ แต่ที่ดีใจมากกว่าก็คือวันนี้วันเดียว ผมได้พบน้องชายคนเก่ง คนดีที่ร่วมอุดมการณ์ ถึง 2 คน แบบไม่คาดคิด
อะไรๆมันเป็นมาตามที่เล่ามาทั้งหมด อย่างนี้ ไม่เรียก “ธรรมะ จัดสรรค์” หรือ “บุญจัดสรรค์” จะให้เรียกว่าอย่างไรเล่าครับ
ขออภัยที่เป็นบันทึกที่ยาวมาก ตัดเป็นตอนๆก็น่าจะได้ แต่ไม่อยากทำ เพราะกลัวความไม่ต่อเนื่องครับ