ชีวิตเฉกเช่น…การเดินทาง

โดย freemind เมื่อ 24 กันยายน 2010 เวลา 1:56 (เย็น) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2868

ทุกวันนี้เราต่างมี ชีวิต ที่เปรียบได้กับ การเดินทาง

@@@ เมื่อเดือนที่แล้วเปิดชม ยูบีซี ช่องหนังดีเอเชีย เจอภาพยนตร์จีน ซึ่งคงฉายไปได้สักพักหนึ่งแล้ว เสียดายว่าเปิดช้าไปหน่อยและยิ่งเสียดายหนักเข้าไปอีกที่ไม่รู้แม้ชื่อของภาพยนตร์เรื่องนี้…

@@@ฉากที่เปิดไปเจอคือ โจรที่ปล้นผู้โดยสารบนรถประจำทาง (ระหว่างมณฑล) คืนเงินที่ปล้นไปทั้งหมดให้ผู้โดยสาร เนื่องจากโดนใจกับคำตอบอะไรสักคำหนึ่งของคุณลุงซึ่งจะพาเพื่อน (ที่เป็นศพและนั่งอยู่ข้าง ๆ) กลับบ้าน (ของเพื่อน) ตามสัญญาที่ให้กันไว้

@@@ ชมต่อมาโดยไม่กระพริบตา ไม่ลุกอีกเลยจนจบ จึงประติดประต่อได้ว่า คุณลุงเป็นกรรมกรในโรงงานแห่งหนึ่ง ไม่มีลูกเมีย มีเพื่อนสนิทซึ่งสัญญากันว่าหากใครเป็นอะไรไปก่อน อีกคนจะต้องพาอีกคนกลับบ้าน (สะท้อนถึงความลำเค็ญของกรรมกรจีนในยุคหลังปฏิวัติประเทศ) เมื่อเพื่อนจากไปก่อน คุณลุงจึงทำตามสัญญาที่ให้ไว้ โดยส่งเพื่อนไปยัง บ้านเกิด ซึ่งคงไกลโข ประกอบกับการคมนาคมไม่สะดวกนักในยุคนั้น คุณลุงซึ่งเป็นกรรมการจน ๆ หาเช้ากินค่ำ ไม่มีความรู้ ไม่มีเงินทองและพวกพ้องเส้นสาย จึงตัดสินใจพาศพเพื่อนขึ้นรถประจำทางไปด้วยกัน ต้องรอนแรมและต่อรถอีกหลายต่อ (ด้วยการแบกศพเพื่อนไป ใครถามก็บอกว่าเพื่อนป่วยเดินไม่ไหว จะพาไปส่งบ้านเพื่อน)

@@@ เนื้อเรื่องต่อจากนั้น เป็นการผจญภัยของคุณลุง ซึ่งได้พบคนต่าง ๆ ทั้งคนดีมีน้ำใจและคนฉ้อฉล  คนที่ตามหาความฝันของตัวเองอย่างไม่ยอมแพ้  พบทั้งเศรษฐีมีเงินที่ต้องจ้างคนมาร้องไห้ในงานศพที่จัดให้ตนเองก่อนตายจริง เจอคนยากจนเก็บขยะคนจรจัดต้องขายเลือดแลกเงินซื้อหาอาหารแต่น้ำใจงดงามยิ่งใหญ่ การเดินทางไปในเส้นทางที่กว่าจะถึงจุดหมายปลายทางคือบ้านเกิดของเพื่อนนั้น ก็ทำให้คนดูต้องยิ้มและหัวเราะ และบางครั้งอดจะน้ำตาคลอไปกับชะตากรรมของตัวละครด้วยไม่ได้

@@@ภาพยนตร์จบ แต่ความคิดกลับไม่จบ หากรอนแรมเรื่อยเปื่อยต่อไป… ในฐานะของคนเสพอรรถรสของภาพยนตร์และไม่ใช่นักวิจารณ์ภาพยนตร์ ก็คงคิดเพียงว่า วิวทิวทัศน์ในภาพยนตร์นี้แปลกตางดงาม เนื้อหาสะท้อนถึงความคิด วัฒนธรรม ประเพณีของคนจีนในยุคนั้นได้ดี แม้เรื่องราวจะไม่ค่อยสมจริงสมจังนัก ใครกันจะคิดง่าย ๆ ตื้น ๆ ว่าแบกศพเพื่อนไปส่งบ้านเกิด ตั้งหลายวันศพก็ยังไม่เน่าส่งกลิ่นเหม็น (แต่ในภาพยนตร์ก็พยายามสร้างความเป็นไปได้ด้วยการให้คุณลุงพบเศรษฐีซึ่งมียาทำให้ศพเน่าช้า-ยืดเวลาออกไป)

คิดต่อไปว่า สมมุติว่าเราเป็น คุณลุง ที่เป็นเพียงกรรมกร หาเช้ากินค่ำ ไม่มีความรู้ ไม่มีเงินทอง ไม่รู้จักใคร … เราจะยังคงรักษาสัญญากับเพื่อนในวงเหล้าที่ก็จากไปแล้ว มาทวงสัญญาไม่ได้แล้วนั้นหรือไม่? เราคงเลือกที่จะทำอย่างอื่นมากกว่า (สำหรับตัวเองนะ)

…แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเสน่ห์ก็ตรงที่ คุณลุง คนนี้ได้เลือกและใช้วิธีการที่ซื่อสัตย์ต่อ “คำสัญญา” ที่ให้ไว้กับเพื่อน…มิใช่หรือ?

@@@ ดูหนังดูละครแล้วให้ย้อนดูตัว…ชีวิตก็เฉกเช่นเดียวกับการเดินทาง …บางคนเดินทางด้วยการเดินเท้าด้วยเกวียน บ้างไปด้วยจักรยานด้วยรถ ด้วยเครื่องบิน บางคนเดินทางอย่างสะดวกสบาย หรูหรา บางคนต้ิิองเหน็ดเหนื่อยเลือดตาแทบกระเด็น และไม่เว้นเลยที่…ล้วนแต่ประสบพบเห็นสิ่งต่าง ๆ แตกต่างหลากหลายกันไปตามเหตุและปัจจัย…

@@@ อมยิ้มคนเดียวคิดต่อไปว่า…บางวันของการเดินทางก็น่าสนุกตื่นเต้นเร้าใจ บางวันกลับเหนื่อยเหน็ดระอาใจกับผู้คนและสิ่งที่ไม่พึงใจ บางคนมีเป้าหมายที่แน่ชัด บ้างกำลังคลำหาเป้าหมาย บ้างก็ไปเรื่อยเปื่อย บางคน……

ชีวิตเฉกเช่น…การเดินทาง คือเช่นนี้เอง

;-)

« « Prev : ครูของฉัน… “ถวัลย์ มาศจรัส”

Next : เวลาจะรักษาใจ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

3 ความคิดเห็น

  • #1 silt ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 กันยายน 2010 เวลา 3:05 (เย็น)

    เมื่อไม่นานมานี้ เหมือนเคยได้ยินเรื่องราวที่ญาติพาร่างไร้ลมหายใจกลับบ้านที่อีสานโดยการเหมารถแท็กซี่ทำเป็นนั่งหลับไปเหมือนกัน
    แต่ที่พบกับตัวเอง เมื่อสิบกว่าปีก่อน เมืองหงสายังไม่มีไฟฟ้า มีโรงแรมเพียงสองแห่ง
    ประมาณตีสองนอนหลับสนิทอยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกรีดเสียง ร่ำเรียกขอความช่วยเหลือจากแม่ค้าจากฝั่งไทยที่มาส่งของ
    มืดก็มืด กลัวก็กลัวว่าจะเป็นการจี้ปล้นกันหรือไม่
    พอจับประเด็นได้ยินคำว่า ไม่หายใจแล้ว เลยรู้ว่าเป็นการเจ็บป่วย ด้วยวิญญานพยาบาลเก่าเลยเปิดประตูห้องออกไปช่วยเขา CPR เป็นเด็กหนุ่มหลานชายเขาที่หัวใจวายเฉียบพลัน ปั๊มอย่างไรก็ไม่ขึ้น ม่านตาไม่ตอบสนองแล้ว จึงไปปลุกเจ้าของโรงแรมช่วยพาไปเก็บที่โรงหมอ
    สมัยนั้นยังไม่เป็นด่านสากล การนำร่างไร้ลมหายใจกลับนั้นยุ่งยากมาก
    เจ้าของรถผู้สามีจึงตกลงใจนำร่างกลับตั้งแต่ตอนตีห้าโดยใช้ผ้ามัดให้นั่งคู่คนขับออกชายแดนไป

    ส่วนข้าวของที่นำมาส่ง เอากองไว้หน้าตลาด พวกเราคนไทยต้องนั่งเฝ้าเป็นเพื่อนกับเจ้าของรถผู้ภรรยาที่ยังขวัญเสียจนฟ้าแจ้ง
    ทุกวันนี้มองห้องเบอร์นั้นยังเหมือนกับว่าเกิดเหตุการณ์ผ่านไปไม่นาน
    หากท่านใดมาหงสา จะจัดห้องนั้นให้พัก อิอิ

  • #2 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 กันยายน 2010 เวลา 3:43 (เย็น)

    ยอดเยี่ยมจริงๆ โหล อ่านแล้วได้ความรู้สึก ได้จินตนาการ ได้ชีวิต และความหนักแน่นแข็งแกร่งของความสัมพันธ์คนกับคน

    มาอ่านของเปลี่ยน เข้าทำนองเดียวกันเลย สะท้อนความเป็นจริงที่เป็นไปในสังคมเชิงซ้อนปัจจุบันนี้

    การเดินทางไกลของกลุ่มอาจารย์โคทมก็น่าสนใจ อาจารย์คงเขียนหนังสือเล่มใหญ่

    และการเดินทาง 1000 กิโลเมตรของอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ จากมหาวิทยาัลยเชียงใหม่สู่เกาะสมุย ด้วยเวลา 66 วัน หากจิตใจไม่มั่นคง หนักแน่น แข็งแกร่งจริง หนังเรื่องนั้นคงไม่เกิดขึ้น การเอาศพข้ามประเทศคงไม่เกิด การเดินทาง 66 วันคงล้มเหลว

    คารวะท่านผู้มีจิตใจที่สูงส่งเช่นนั้น

  • #3 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 25 กันยายน 2010 เวลา 11:04 (เช้า)

    สวัสดีค่ะคุณลุงเปลี่ยน/พี่บู๊ด

    อ่านคอมเม้นท์ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว รู้สึกอิ่มใจ อิ่มความรู้สึก จนไม่อยากตอบอะไร… เพราะคิดคล้าย ๆ พี่ชายทั้งสองท่านค่ะ คอมเม้นท์ไปก็เป็นการเออออกันเองเปล่า ๆ

    วันนี้มาอ่านอีกครั้งเกิดความรู้สึกใหม่ ๆ …
    จากที่คุณลุงเปลี่ยนเล่า เลยไ้ด้ทราบว่าเป็นพยาบาลมาก่อน…คารวะรุ่นพี่ค่ะ ^_^ ในชีวิตเคยทำ CPR 3 ครั้ง สองครั้งเป็นการทำให้คนไข้ที่ ward ซึ่งเราแค่เป็นผู้ช่วยสลับกับคุณหมอและพี่ ๆ แล้วคนไข้ก็รอดชีวิต…อีกครั้งหนึ่งทำให้ “แม่” คนซึ่งรักที่สุดในชีวิต แต่…ช่วยไม่ได้ เป็นบาดแผลเรื้อรังที่คิดถึงทีไร ยังเจ็บปวดอยู่ทุกครั้ง ช่วยคนอื่นได้ แต่ช่วยแม่ตัวเองยังทำไม่ได้เลย…

    ส่วนหนังสือของอ.ประมวล เพ็งจันทร์ที่พี่บู๊ดกล่าวถึงนั้นน้องอ่านแล้ว อ่านหลายครั้ง อ่านทุกครั้งก็ได้ความรู้สึกใหม่ ๆ อ่านครั้งแรกนั้น บางตอนบางช่วงน้ำตาไหล ไม่ใช่เพราะเศร้าอะไร แต่เป็นความรู้สึก “ปิติ-ปลาบปลื้ม” เพราะได้ระลึกและตระหนักรู้ถึง “ความงดงาม” ในใจของผู้คนที่ยังมีอยู่ในสังคมอันซับซ้อนนี้ เป็นน้ำใจที่ให้กับคนซึ่งไม่มีที่พึ่ง ไม่รู้ว่าคนที่เขาหยิบยื่นความช่วยเหลือ/น้ำใจให้นั้นเป็นใครด้วยซ้ำไป ให้เพราะใจที่รักและเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์เท่านั้น… นั่นคือความงดงามที่ทำให้เกิดปิติในใจขณะอ่านหนังสือของอ.ประมวล ส่วนหนังสือของอ.โคทม จะรอและต้องอ่านให้ได้ค่ะ

    ในภาพยนตร์เรื่องที่กล่าวถึงในบันทึกนี้ยังมีรายละเอียดบางอย่างที่อยากบันทึกไว้ด้วย เพราะสังเกตได้ว่าในสถานการณ์คับขันของชีวิต หากเราไม่กลัวไม่ถอดใจเสียก่อนในการทำตามสิ่งที่มุ่งมั่นรับปากไว้แล้ว จะมี “มือแห่งความเมตตากรุณา” ยื่นมาโอบอุ้มเราเสมอ

    ข้อดีของภาพยนตร์เรื่องนี้อีกข้อหนึ่ง…ที่แตกต่างจากภาพยนตร์สะท้อนชีวิตและสังคมก็คือการเแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าคนยากจนข้นแค้นต่ำต้อย หรือ คนร่ำรวยมั่งมีขนาดไหน ก็มีแง่มุมของความเมตตากรุณามีน้ำใจ และแง่มุมที่เป็นมุมมืด อัปลักษณ์เห็นแก่ตัว … เหมือน ๆ กันเสมอ (ซึ่งต่างจากบางเรื่องที่ชมแล้ว รู้สึกเกลียดความเห็นแก่ตัวของคนร่ำรวยมั่งมี)
    (^___^)


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.09187388420105 sec
Sidebar: 0.043058156967163 sec