ลงโทษด้วย…รัก
เช้า ๆ จะได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวของหลาน ๆ เด็ก 3 คนในบ้านที่ต้องรีบตื่น รีบล้างหน้าแปรงฟัน รีบทานข้าวเช้า รีบ ๆ ๆ ๆ ๆ เพื่อไปให้ทันโรงเรียนเข้า 8 โมงเช้า
เจ้าคนโต (12 ขวบ) และเจ้าตัวเล็กสุดในบ้าน (6 ขวบ) ไม่ค่อยมีปัญหา ตื่นขึ้นมาก็งัวเงียนิดหน่อย รอให้แม่โอ๋ แล้วก็นั่งหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่หน้าจานชามอาหารเช้าจนหมดไปได้ แต่คนที่มีปัญหามากที่สุดแต่ไหนแต่ไร คือ สาวคนกลาง (10 ขวบ)ที่ขึ้นชื่อว่ามีอารมณ์ ‘ติสต์ ศิลปินไร้สังกัดมาแต่ไหนแต่ไร ตื่นขึ้นมาจากเตียงแล้ว ต้องมานอนเกลือกกลิ้งทิ้งตัวอยู่หน้าห้องน้ำ ไม่ยอมล้างหน้าแปรงฟัน ต้องมีการทั้งดุทั้งปลอบของแม่เป็นระยะ ๆ สลับเสียงครางฮือ ๆ ไม่ได้ศัพท์แข่งกับนกขุนทองที่เลี้ยงไว้ แล้วเจ้าขุนทองนี้ก็เลยเลียนเสียงครางที่ว่านั้นเป็นที่สนุกสนานทุกวัน
บ้านนี้ไม่มีการตีลูกตีหลาน เคยมีญาติ ๆ วิจารณ์ว่า ตามใจเด็ก ๆ เกินไปจนเสียคน (รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตีนะ) เด็กบ้านนี้กล้าพูดกล้าเถียงผู้ใหญ่ ดูไม่ค่อยน่ารัก (เด็กน่ารักต้องว่าง่าย ไม่เถียง ไม่ดื้อไม่ซน) สมาชิกในครอบครัวเรามองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ ๆ พูดเกือบพร้อมกันว่า อ้อ…อาม่าสั่งไว้ว่าไม่ให้ตีลูกตีหลาน เราทำตามคำสั่ง
ญาติฟังแล้วอึ้ง เงียบไป คงด้วยไม่อยากขัดคอพวกเราหรือขัดใจ (คนพูด) จนไม่อยากพูดต่อ แต่อาจคิดต่อในใจ…บ้านนี้ประหลาดจริง
ตั้งแต่เกิดจนปัจจุบัน แม้แม่จากไปแล้ว ไม่เคยเห็นแม่ตีใคร มากที่สุดของคำดุคือ อ้าว ทำไมทำอย่างนี้ล่ะ? ในบรรดาพี่น้องจะรู้กันว่า แม่กำลังโมโหที่สุดแล้ว ควรหยุดพฤติกรรมที่กำลังทำอยู่ได้แล้ว แม่ไม่เคยตีลูกแต่มีวิธีที่ทำโทษได้ “เจ็บจำ” เสียยิ่งกว่าการตีเป็นไหน ๆ
ตอนอยู่ในช่วงวัยรุ่นอยากไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อนบ้าง แต่หากขอแม่ก็คงไม่มีสิทธิ์ แม่บอกว่าเป็นลูกผู้หญิงไปเที่ยวบ้านคนอื่นได้ยังไง ไม่ดีไม่ปลอดภัย (แต่ลูกผู้ชายไปได้) ขอหลายครั้ง ไม่เคยได้รับอนุญาต ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นเขาไปกันได้ จำเพาะเจาะจงต้องเราที่ไปไม่ได้ (ขัดข้องใจจริงหนอ) ในคราวหนึ่งจึงไปบ้านเพื่อนหลังเลิกเรียน โดยไม่บอกแม่ก่อน กลับถึงบ้าน 2 ทุ่ม (เลิกเรียน 5 โมงเย็น) รู้สึกดีเล็ก ๆ เพราะได้ทำตามที่ต้องการ โตแล้วนะ จะห้ามอะไรนักหนาเล่า พอเข้าประตูบ้าน เห็นหน้าแม่เท่านั้น …
…ใจหล่นวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม…
เห็นท่าทางที่แม่นั่งรอ ตาจับจ้องที่ประตู พอเห็นลูกสาวก้าวเข้ามา แววตาดีใจของแม่ก็แทบจะเปล่งแสงออกมาจนแทงกระทบใจ(ดำ) ไม่ดุว่าอะไรเลยสักคำ ละล่ำละลักถามว่า “กินข้าวหรือยัง แม่รอกินข้าวกับหนู…” (โห…ตอนนั้นคิดว่า ตีเราเสียยังดีกว่า)
จากครั้งนั้นเป็นต้นมา ไม่เคยคิดจะขัดคำสั่งของแม่อีกเลย การทำเช่นนี้ของแม่เป็นการลงโทษที่ยิ่งกว่าการลงโทษด้วยการดุด่าว่าตี เป็นการลงโทษที่มโนสำนึก และเป็นการลงโทษที่น่าจะได้ผลดีที่สุด เพราะเข้าไปเปลี่ยนที่ “จิตใต้สำนึก” ของเรา (เพราะตามหลักจิตวิทยาว่าไว้ว่า หากจะเปลี่ยนพฤติกรรม คนต้องเปลี่ยนที่ “ความคิด” และเปลี่ยนเพราะคนคนนั้นอยากเปลี่ยน ไม่มีใครบังคับใครได้) ดังนั้นพฤติกรรมที่ถูกพิพากษานั้น จะไม่เกิดขึ้นอีกเลย…
ในปัจจุบันน่าจะเรียกวิธีการนี้ว่าเป็น “วินัยเชิงบวก” ซึ่งเป็นฐานความเชื่อของการห้ามตีและใช้ไม้เรียวกับเด็กนักเรียนในโรงเรียน ส่วนตัวคิดแล้วยิ้ม ๆ ใครเรียกอะไรก็ตามที เราเรียกวิธีนี้ของแม่ว่า…
”การลงโทษด้วย…รัก”
แน่ล่ะ เป็นการลงโทษที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพและประสิทธิผล (สำหรับลูกหลานที่แม่เลี้ยง) เพียงแต่จะต้องใช้ทรัพยากรทั้งเวลา แรงใจแรงกาย ความรัก ความเมตตา ปรารถนาดีอย่างมหาศาล ต่างจากการลงโทษด้วยการดุด่าว่าตี ที่แม้เวลาผ่านไป บาดแผลความเจ็บปวดทางกายจะหายไปแล้ว แต่บาดแผลทางอารมณ์ในบางคนบางกรณี ก็อาจประทับทิ้งรอยแผลเป็นไว้ชั่วชีวิต
คิดเล่น ๆ แล้วอมยิ้ม ในโลกที่ยุ่ง ๆ นี้ หากเราลองใช้วิธี ลงโทษด้วยรักกันบ้าง
จะเป็นยังไงนะ…
« « Prev : เรื่องเล่าจากรถเมล์เล็ก
Next : แบ่งปัน » »
6 ความคิดเห็น
มีหลานเยอะ = มีความอบอุ่นแยะ
ลงโทษด้วยการคิดถึงมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ครูบาคะ
บ้านนี้ลูกเยอะ หลานแยะจริง ๆ
อบอุ่นจนอบอ้าวอยู่บ่อย ๆ ค่ะ
พี่สาวที่รัก
ลงโทษด้วยการคิดถึงมากกกกกก….. นี่ดีค่ะ
ยอมให้…ลงโทษ ค่ะ
;) ;)
อ่านแล้วทำให้คิดถึงคนที่อยู่บนฟ้าจังเลยค่ะ
คนที่อยู่บนฟ้า…
อยู่ที่ไหน ๆ คนที่อยู่บนฟ้า ก็อยู่ใน “ใจ” เรานี่เอง
คิดถึง ๆ เหมือนกันค่ะ