ชีวิตขาลง
ได้คุยกับเพื่อน เพื่อนเล่าว่า ตอนนี้ตกงาน ฟังแล้วอดจะรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ ในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ บ้านก็ต้องผ่อน พ่อแม่ก็ต้องดูแล ลูก 2 คนก็ต้องเรียน ยังดีที่แฟนไม่ตกงานด้วยอีกคน แต่เสียงเล่าสบายใจแกมหัวเราะ ๆ ทำให้ต้องถามอย่างข้องใจ
ถาม ตกงานแต่…ทำไมดูสบายใจจังล่ะ
เพื่อน ก็ไม่มีอะไร ออกจากงานได้เงินมาก้อนนึงด้วย พูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
สังเกตเห็นว่าเพื่อนดูหน้าตาสดใส มีน้ำมีนวลกว่าแต่ก่อนเสียอีก
ถาม สงสัยคงได้มาเยอะสิ เลยไม่เดือดร้อน… รู้งี้ก็สบายใจหน่อยไม่ต้องห่วงแล้ว
เพื่อน ได้ไม่เยอะหรอก ลงทุนอะไรก็ไม่ได้…
ถาม อ้าว… มีอะไรให้ช่วยมั๊ย จิตวิตกเริ่มปรุงแต่งอีกแล้ว
เพื่อน ไม่มีร๊อก… ขอบใจจ้า รู้มั๊ย ตกงานนี่นะ มันเปรียบเหมือน “ชีวิตช่วงขาลง” นะ
ถาม ยังไงหรือ ชีวิตขาลงมันเป็นไงน่ะ ถามต่อด้วยอยากให้เพื่อนได้ระบาย
ความอัดอั้นตันใจบ้าง
เพื่อน ชีวิตขาลง ก็… ดีจะตาย ไม่ต้องรีบตื่นเช้า ๆ ตาลีตาลานไปทำงานให้ทัน
แปดโมงครึ่ง มีเวลาดูแลลูกส่งไปโรงเรียนเอง ได้คุยกับป๊าม๊าบ้าง
ดูแลพาแกไปไหว้พระ ได้ดูต้นไม้ใบหญ้า เล่นกับหมากับแมวที่สำคัญ
ได้มีเวลาบอกรักสวีทกับสามีสุดที่รักหลังจากไม่ค่อยได้สนใจกันมา
ตั้งแต่เกือบ 20 ปีที่ทำงานมา
ถาม ฮ้า… ขนาดนั้นเลยนะ ฟังไปทึ่งไป อือออไปด้วย
เพื่อน ดีออก “ชีวิตขาลง” น่ะ เหมือนตอนลงเขาไง ไม่มีแรงต้านไม่ต้องสู้
กับแรงโน้มถ่วงของโลก ลงคล่อง สะดวก
ถาม อือ…ก็จริงนะ แล้วเงินพอใช้เหรอ ถามแบบเกรงใจ ๆ
เพื่อน แค่ไหนเรียกว่าพอล่ะ… ตอนนี้ฉันเหลือเงินมากกว่าตอนทำงานอีกนะ
อาหารก็ทำกินเองไม่ต้องซื้อ สะอาดด้วย ไม่ต้องกลุ้มใจว่าจะจ้างคน
มาทำงานบ้านดี ๆ ได้ที่ไหน ในบ้านก็มีความสุข เครื่องสำอางค์ กระเป๋า
รองเท้าก็ไม่ต้องซื้อ ภาษีสังคมก็เกือบไม่มี แฟนฉันบอกว่าเขาจะหางานพิเศษ
ทำเพิ่ม ฉันไม่ต้องทำงานหรอก อยู่บ้านดูแลบ้านช่อง พ่อแม่ ลูก ๆ แล้วกัน…
ตอนนี้นะ เลยมีความสุขกว่าตอนที่ยังทำงานเยอะเลย
ฟังเพื่อนแล้ว “ชีวิตขาลง” ของเพื่อนก็ไม่เลวนัก ไม่ยุ่งยาก ลำบากอะไรเกินไป เพราะชีวิตขาลงนี่ขึ้นอยู่ที่เราจะยอมรับ ปรับตัวปรับใจได้แค่ไหนอย่างไรต่างหาก ถ้า “ลงเป็น” เข้าใจและรู้หลักแล้ว “การลง” ก็ไม่น่าเกลียด น่ากลัวอะไรเลยนี่นา
คิดเล่น ๆ พลางพึมพำ ๆ … ชีวิตขาลงนี่…ก็ไม่เลวนะ
« « Prev : คนสองคน
6 ความคิดเห็น
ก็คงเหมือน น้ำขึ้น น้ำลงนั่นแหละ
แต่คนเรามักจะสนใจเฉพาะขาขึ้น
ตั้งหน้าตั้งตาตะบึงเบง แบกโลก แบกทุกอย่าง
โลกทั้งใบเป็นของข้าคนเดียว
ไม่ค่อยได้ยั่งคิด เว้นห่างโลกความจริง
อยู่กับโลกเสมือนจริงตะบี้ตะบัน
พอใส่เกียร์ถอย ก็พลอยได้ฉุกคิด
ว่าที่แล้วๆมาใส่เกียร์เดินหน้าพาชีวิตลุยสุดโหด
ไม่ค่อยได้หยุดซ่อมแซมสภาวะธรรม(ทำ) อิอิ
พอได้จังหวะขาลง ถึงรู้สึกผ่อนคลาย ปล่อยวาง ใจ-สังขาร-สมองก็เบา
อะไรที่เบาๆมักจะสบาย
ถ้าคิดได้ก็เบาได้
แค่ถอยคันเร่ง ก็ประหยัดน้ำมันและปลอดภัยมากขึ้น
ถอยเมื่อไหร่ได้กำไรเมื่อนั้น
พอไปเจอไฟแดง ก็หยุดถอนใจ อย่าไปหงุดหงิด
ไม่นานหรอก เดี๋ยวไฟเขียวก็มา
ต้องขอขอบคุณเพื่อนคนนี้นะ ที่ให้แง่คิดสบายๆเป็นธรรมะชีวิตดีเหลือเกิน
เธอตกหล่มชีวิต ตอนนี้ปีนหลุมขึ้นมาได้แล้ว
อยากติดตามดูเธอขึ้นสวรรค์
ฝากบอกเธอด้วย มีคนแอบขื่นชม..อิ อิ..
ขอบคุณครูบาค่ะ
อ่านแล้ว ได้ปัญญา ตกลงทุกวันนี้เราอยู่กับ “โลกเสมือน” จนเว้นห่างจาก “โลกความจริง” จริงด้วยสิคะ
โลกความจริงอาจไม่ได้ต้องการ “เฟอร์นิเจอร์” อะไรมากมายเลย
ข้าวปลา อาหาร อากาศบริสุทธิ์ กัลยาณมิตร ความคิดดี ๆ ที่ถูกต้องตามธรรม (ชาติ) ก็ล้วนแต่ธรรมดา ๆ ไม่ได้เลิศเลออะไร
อ่านที่ครูบาเล่า ก็เห็นสาระของชีวิต…
จะนำไปให้เพื่อนอ่าน และขอบคุณความชื่นชมเธอค่ะ
มีมุมมองและแนวคิดที่ดีมากค่ะ สำหรับบางคนคงต้องทุกข์ใจ อ่านแล้วก็มีความสุขตามค่ะ ขอบคุณสำหรับเรื่องดี ๆ ใครๆ ได้เข้ามาอ่าน คงมีกำลังใจขึ้นเยอะเลยที่เดียวค่ะ
คุณnuaorคะ
ความคิดเห็นของคุณnuaorทำให้คิดต่อไปว่า สุข-ทุกข์ของคนเรานั้น แท้ที่จริงแล้ว อยู่ที่การเปรียบเทียบด้วยส่วนหนึ่ง เราเห็นคนทุกข์กว่าเรา จึงตระหนักว่าความทุกข์เรานั้น ไม่ได้มากมายใหญ่โตกว่าคนอื่น ๆ เลย
และในทางกลับกัน หากเรามอง ความสุขที่กำลังได้ประสบอยู่ เช่นมองความทุกข์บ้าง…คงดีไม่น้อยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
การมองให้เห็นความสุข ก็เป็นความสามารถนะคะ ชื่นชมทั้งคนต้นเรื่อง..และคนนำเรื่องมาแบ่งปันค่ะ ^^
ขอบคุณคุณ dd_l ที่มาทักทายค่ะ
ต้องขอบคุณเพื่อนที่แบ่งปันเรื่องดี ๆ ของเพื่อน…
น่ายินดีกับเธอจริง ๆ ค่ะ