เก็บตกจากวัดป่า
อ่าน: 3290ทุกช่วงของการปิดเทอม ไม่ว่าจะปิดเทอมระยะยาวช่วงเมษายน หรือว่าระยะสั้น ดิฉันมักจะหาโอกาสแว้บไปบวชชีที่วัดทุก ๆ ปี และปีนี้ก็เช่นกัน ดิฉันเก็บกระเป๋าแต่งชุดขาวไปบวชชีพราหม์ที่วัดเชิงพนมดิน จังหวัดสุรินทร์ เป็นระยะเวลา 7 วัน
เนื่องจากเดินทางมาวัดตัวคนเดียว เตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ชุดขาวมาครบ ที่สำคัญ ดอกบัว ธูปเทียนสำหรับขอบวชมาเรียบร้อย จึงเป็นเรื่องแปลกสำหรับแม่ชี เพราะนานๆครั้งจะมีผู้หญิงอายุยังไม่เข้าขั้นวัยทอง เตรียมตัวมาบวชพร้อมขนาดนี้ และครั้งนี้ก็ไม่พ้นกับคำถาม อกหักหรือเปล่าที่มาบวช
เนื่องจากเป็นวัดป่าบริบทโดยรอบ จึงน่าอยู่น่าอาศัยเป็นอย่างมาก ต้นไม้ ดอกไม้ แข่งกันงามสะพรั่ง เหล่านกกาส่งเสียงร้องโดยรอบ อาคารใช้สอยกระทัดรัด เหมาะสำหรับผู้การบำเพ็ญภาวนา โดยเฉพาะอัธยาศัยไมตรีของแม่ชีทุก ๆ ท่าน ดิฉันปลาบปลื้มใจทุกครั้งที่หวลระลึกถึง
หลังจากที่ขอบวชกับหลวงพี่เรียบร้อย ดิฉันก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่ แม่ชี โดยทันที กิจวัตรประจำวันเริ่มจาก
04.00 - 05.30 ทำวัตรเช้า และนั่งสมาธิ
05.30 - 07.00 เช็ดถูปัดกวาดศาลา กวาดโรงครัว จัดเตรียมสำรับ( เหนื่อยมาก ๆ)
07.00 - 07.30 ฉันอาหาร
07.30 – 08.30 เก็บจานล้าง ทำความสะอาดโรงอาหาร บางวันจาน ชาม กองเป็นภูเขา
08.30 – 09.30 ทำภารกิจส่วนตัว ซักเสื้อผ้า กวาดห้องพัก กวาดบริเวณโดยรอบ
09.30 - 11.00 เตรียมสำรับสำหรับเพล วันไหนมีญาติโยมมาทำบุญเยอะ ก็คอยต้อนรับ
11.00 – 11.30 ฉันเพล
11.30 - 12.30 ล้างจานและเก็บกวาดโรงครัว
12.30 - 14.00 ช่วยแม่ชีทำงานโดยทั่วไป เช่น ปลูกต้นไม้ กวาดถู ศาลา
14.00 – 16.00 เป็นเวลาสำหรับภาวนาในห้องคนเดียว (ชอบมาก วันแรก ๆ หลับประจำ)
16.00 - 17.00 ทำวัตรเย็น นั่งสมาธิ
17.00 - 18.00 มานั่งภาวนาที่ห้องต่อ บางวันก็กวาดใบไม้รอบ ๆ ที่พัก
18.00 - 19.00 เดินจงกรม และนั่งสมาธิ รอบดึก พร้อม ๆ กัน
19.00 - 21.00 กลับมานั่งสมาธิ หรือไม่ก็เดินจงกรม บางวันเอาหนังสือธรรมะมานั่งอ่าน
21.00 เอนกายนอน พักผ่อนกายา
นี่คือกิจวัตรในแต่ละวัน เนื่องจากดิฉันเคยเป็นลูกเทวดา ตื่น 7 โมง มีอาหารตั้งอยู่บนโต๊ะ รับประทานเสร็จแล้วไปทำงานได้เลย เสื้อผ้าก็โยนลงเครื่องซัก งานหนัก ๆ ไม่เคยแตะต้อง เมื่อต้องมาอยู่วัด เหนื่อยแทบขาดใจ มือจับไม้กวาด มันพองเป็นปุ่มด้าน ๆ ปวดข้อมือ ปวดขา มันปวดจนขาสั่นไปหมด ปวดที่เอวมันเหมือนจะขาดออกจากตัว แต่ดิฉันไม่กล้าบ่น เพราะอาย แม่ชีแทบทุกท่านอายุมากกันทั้งนั้น ไม่เห็นท่านจะบ่นว่าเหนื่อย เห็นท่านทำไปยิ้มไป เพราะหลายคนอายุมากดิฉันเห็นท่านทำงานหนักนึกสงสาร เลยอาสาช่วยมันซะทุกเรื่อง มันก็ยิ่งเหนื่อย แต่ว่าได้คะแนนเอ็นดูทั้งแม่ชีทั้งพระ มาเกือบเต็ม 10
เมื่องานประจำหนัก เวลาในการเรียนรู้วิปัสนาที่เป็นเป้าหมายในการเข้าวัดมันก็น้อยลง แต่กลับรู้สึกว่าทุกครั้งที่นั่งสมาธิ รู้สึกสบาย ครั้นพอนั่งไปนาน ๆ เป็นชั่วโมง เริ่มรู้สึกปวดหรือที่เรียกว่ามีเวทนา ดิฉันเคยอ่านหนังสือพบว่า ให้นำใจไปจดจ่อที่บริเวณที่ปวด ตรงไหนปวดมาก เพ่งมันไปที่นั่น สักพักมันจะหายไป ดิฉันทดลองดูหลายครั้งมันก็หายปวดจริง ๆ แต่ทว่าพอตรงนี้หาย ตรงโน้นก็ปวด แถมปวดมากเสียด้วย พอเอาใจไปจดจ่อที่นู่น ที่นู่นก็หาย ที่โน้นก็ปวดขึ้นมาอีก อ้าว ! ดูเหมือนว่ากำลังวิ่งไล่จับลม มาปีนี้เริ่มเข้าใจ ไม่รู้่ว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า ดิฉันเข้าใจว่า การปวดหรือเวทนามันเป็นธรรมชาติของร่างกาย มันปวดได้มันก็หายได้ เหมือนคำว่า มีเกิดแล้วก็มีดับ หากเราไปสนใจเวทนาก็เสียเวลาเปล่า หลังจากวันนั้นดิฉันนั่งสมาธิได้นานขึ้นโดยที่อาการปวดก็ยังคงอยู่ แต่ไม่ได้ไปใส่ใจมัน สบายมากขึ้น จนนึกสงสัยว่าตนเองหลับในสมาธิหรือเปล่า กลับบ้านมาปฏิบัติต่อก็ยังรู้สึกสบาย บางวันเหนื่อยมาก ๆ ทุกครั้งจะหลับทันที กลับจากวัดเปลี่ยนนิสัยใหม่ เมื่อรู้สึกเหนื่อยนั่งขาขวาทับขาซ้าย หลับตาลง พุธโธ สักชั่วโมง ก็สามารถทำงานต่อไปปกติ โดยที่ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แอบหลับในสมาธิหรือเปล่าน๊า ข้อสงสัยนี้ดิฉันจะต้องหาคำตอบต่อไป
แง่คิดที่ดิฉันเอาเก็บมาคิดและจำได้ตลอดจากวัดคือแม่ชีท่านหนึ่ง ท่านจะเดินไปตลาดเพื่อซื้อของใช้เป็นประจำ ระยะทางไปกลับ 8 กิโลเมตร ยายชีแก่ ๆ เดินไปตามถนนที่แดดร้อน ๆ รถวิ่งกันขวักไขว่ไม่นั่งรถโดยสาร ไม่โบกรถง้อผู้ใด เดินไปเรื่อย ๆ ขากลับถือข้าวของพะรุงพะรังกลับมาจากตลาด ดิฉันเห็นแล้วตกใจ ถามท่าน ว่าทำไมไม่นั่งรถโดยสาร ท่านบอกขี้เกียจรอ อีกอย่างท่านเดินจนชินแล้ว ดิฉันเหลือบไปเห็นข้าวของในมือที่ถือมา ถุงหูหิ้วน้ำหนักมากพอดู ทำให้มีรอยแดง ๆ ในฝ่ามือ ดิฉันแอบน้ำตาซึม เหตุการณ์ครั้งนี้สะเทือนใจดิฉันอย่างแรง กลับมานั่งคิด คิดแล้วคิดอีก เดินไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวมันก็ถึง ทำไมจะต้องรอพึ่งคนอื่น ใครจะจอดรถรับหรือไม่ ไม่สนใจ ไม่อายที่จะเดิน ใช่แล้วดิฉันกำลังได้รับบทเรียน เพราะตลอดชีวิตของการทำงาน ต้องหวังพึ่งหรือสนใจเสียงรอบตัวเรื่อยมา เหนื่อยหน่อยไม่มีทางยอมทำ ทิ้งตั้งแต่คิดจะทำ น่าอายแท้ ๆ ดิฉันอายแม่ชีแก่ ๆ ท่านนี้ หากคิดเหมือนแม่ชีสักนิด ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็เสร็จ ใครจะช่วยหรือไม่ช่วย จะสนทำไม ทำเรื่องดี ๆ ไม่เห็นต้องอาย เข้าวัดครั้งนี้ดิฉันคุ้มเหนื่อยก็เพราะบทเรียน บทนี้ค่ะ
Next : ขอโอกาสให้คนดีคืนสู่สังคม » »
7 ความคิดเห็น
เป็นความตั้งใจที่น่ารักจังค่ะ( เจ้าของลานก็สวยน่ารักด้วย ^ ^) อนุโมทนาด้วยคนนะคะ
เห็นด้วยว่าถ้าเราไม่สนใจ เวทนาจะหายไปเองค่ะ เพราะเคยทั้งดูเวทนา กับไม่ดูเวทนาตามจิตไปเรื่อยๆพบว่าไม่ดูเวทนาสอดคล้องกับจริตมากกว่า
อนุโมทนาค่ะ ขอบคุณที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวดีๆให้ได้ติดตามไปด้วยอีกคนค่ะ : )
เก่งมากๆค่ะ ที่นั่งได้เป็นชั่วโมง เพราะเท่าที่ตัวเองเคยฝึก ครึ่งชั่วโมงก็รู้สึกนานมากๆแล้วค่ะ
มหาโมทนา
แต่
แต่ คนบ้าๆและกล้าดีอย่างคุณ
ถ้าเกิดเป็นผู้ชาย บวช ห่มผ้าเหลือง
และมีโอกาสนำเสนอในเวทีที่ “ดีๆ”
ป่านนี้อาจดังกว่าพระกำมะลอ ที่ดังๆ หลายคนไปแล้ว
หรืออาจดีกว่าแม่ชีกำมะลีที่รวยๆ ด้วยซ้ำ
นี่พูดแบบแรงๆ ให้มันสะเทือน เปื้อนโลกย์เล่นนะ