โลดแล่นในแดนลาว
อ่าน: 21319รถพร้อม คนพร้อม เงินพร้อม คณะของเราก็เริ่มออกเดินทาง ผมเลือกที่จะนั่งกินลมชมทัศนียภาพ สูดอากาศบริสุทธิ์อยู่กระบะหลังกับเจ้าเบิ้ม คนที่โทรศัพท์ไปชวนผมตอนอยู่ที่เชียงใหม่นั่นแหละครับ
รถเคลื่อนตัวผ่านหมู่บ้านที่ปลูกเรียงรายไปตามถนนอาร์ 3 เอ ยิ่งไกลจากห้วยทรายเท่าไหร่หมู่บ้านก็เริ่มเล็กลง บางหมู่บ้านมีไม่ถึง 10 หลังคาเรือน ส่วนมากเป็นชาวเขา ผมสังเกตเห็นการใช้ภูมิปัญญาในการปลูกยุ้งข้าวรวมกันที่ท้ายหมู่บ้าน โดยตั้งเสาอยู่กลางหินเพื่อป้องกันปลวก ส่วนปลายของเสามีไม้แผ่นวงกลมคล้ายเขียงวางบนหัวเสา ก่อนที่จะวางคาน โครงสร้างชั้นบน เขาไม่นิยมใช้เสายาวจนถึงหลังคาเหมือนทางบ้านเรา
กลางหมู่บ้านจะมีน้ำที่ไหลซึมจากภูเขาข้างทาง ชาวบ้านจะใช้ไม้ไผ่ผ่าซีกเลาะปล้องในออก แล้วนำไปปัก เสียบบริเวณที่มีน้ำซึมจากภูเขา น้ำก็จะวิ่งมาตามรางไม้ไผ่ไหลเป็นประปาธรรมชาติของหมู่บ้าน ซึ่งจะมีชาวบ้านแวะเวียนไปซักผ้าบ้าง อาบน้ำบ้าง หรือคนที่ผ่านทางไปมา ได้ใช้ดื่มกินดับกระหายคลายร้อนจากการเดินทาง
นอกจากจะมีประปาภูเขาตามหมู่บ้านแล้วยังมีตามข้างทางเป็นระยะๆ เป็นจุดที่ชาวบ้านใช้แวะพักระหว่างเดินทางซึ่งต้องใช้เวลานาน เพราะส่วนมากเป็นการเดินเท้า และรถจักรยาน รถเจ้าทุ่งพ่วงท้าย (อีต๊อก) มีมอเตอร์ไซด์อยู่บ้าง นานๆ จะเห็นสักคัน ด้วยสภาพภูมิศาสตร์ที่เป็นภูเขาสูงและหุบเหว การเดินทางจึงเป็นไปอย่างช้าๆ รีบเร่งไม่ได้ การสร้างจุดพักระหว่างทางมีน้ำใสไหลซึมออกจากภูเขาผ่านรางไม้ไผ่ตกลงแอ่งน้ำเบื้องล่าง ดังจ๊อกๆ แค่เห็นก็คลายเหนื่อยแล้วครับ ยิ่งได้ดื่มได้ใช้ล้างหน้าลูบตัว แขนขา ก็แทบจะลุกเดินต่อได้ในทันที
รถแล่นมาถึงสามแยกนาเตยราว 3 โมงครึ่ง หากเลี้ยวซ้ายก็จะไปเมืองบ่อหาน เมืองหล้า เขตสิบสองปันนาของมณฑลยูนนานประเทศจีน จากสามแยกไปเพียงไม่กี่กิโลเมตรก็ถึงพรมแดนจีนแล้วครับ คณะของเราเลี้ยวขวาเพื่อไปเมืองอุดมไชยและหลวงพะบาง
รถเลี้ยวมาได้ประมาณ 10 เมตร อ้ายโนก็หยุดรถและเดินยิ้มกริ่มมาบอกผมว่า ได้เวลาเติมน้ำมันคนขับหมู่เจ้าจะเฮ็ดหยังก็เฮ็ดเด้อ ผมรีบตอบไปว่า เฮ็ดนำอ้ายโนนั่นแล้ว เจ้าเบิ้มงัวเงียขึ้นมาเสริมทันทีว่า มานำกันเฮ็ดนำกันแม้ พูดเสร็จก็กระโดดแผลวตามอ้ายโนไป สักพักก็หิ้วหัวเชื้อกระป๋องสีเขียวยี่ห้อ เขยลาว มาแจกคนละ 2 กระป๋อง ผมเปิดกระป๋องซดโฮกๆ จนหมดกระป๋อง อ้ายโนหันมาทำตาขวางถามว่า จะรีบร้อนไปไหน ค่อยๆ กินก็ได้ เหลือระยะทางอีกประมาณ 80 กิโลเมตรก็ถึงเมืองอุดมไชยแล้ว ผมตอบไปว่า ข้าน้อยกลัวบ่ทันอ้ายโน ส่งผลให้อ้ายโนหัวเราะชอบใจ ส่วนเจ้าเบิ้มหัวเราะลั่นสามแยกเลยครับ
เติมพลังคนขับและผู้โดยสารเสร็จแล้วก็เริ่มเดินทางต่อ ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลง ชาวบ้านเริ่มทยอยมารวมตัวกันตามลำห้วย ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งชายทั้งหญิง บ้างวิ่งเล่น บ้างอาบน้ำ บรรยากาศเริ่มสลัวด้วยแสงอาทิตย์แวะพักที่เหลี่ยมเขา แต่สายตากับหัวใจของผมกลับสว่างไสวยิ่งนัก ด้วยภาพสาวชาวบ้านป่านุ่งผ้าถุงอาบน้ำในลำห้วย โดยการถกผ้าถุงหนีนำขึ้นมาทีละน้อย จนกระทั่งผ้าถุงขยับขึ้นไปพันขมวดอยู่บนหัว พอตาสว่างปากเจ้าเบิ้มก็พลอยสว่างไปด้วย นินทาคนนั้นทีคนนี้ทีไล่ตั้งแต่คนขับและผู้โดยสารในตอนหน้ารถแล้วหัวเราะกันสนุกสนาน
ท้ายสุดเจ้าเบิ้มถามผมว่า ชาวบ้านเหล่านี้เป็นชาวเขาเผ่าไหนกันบ้าง ผมหันไปจ้องหน้าคนถามก่อนที่จะตอบไปว่า “ไม่รู้สิเบิ้ม แต่เท่าที่สังเกตดูหน้าตาคล้ายๆ เบิ้มทั้งนั้นเลย” ผมกับเจ้าเบิ้มระเบิดเสียงหัวเราะซะลั่นหุบเขาไปเลย จนคนที่อยู่หน้ารถต้องหันมามองแล้วค้อนขวับด้วยความหมั่นไส้
บันทึกนี้โพสต์เมื่อ วันที่ วันจันทร์, 24 พฤศจิกายน 2008 เวลา 2:53 (เย็น) และจัดไว้ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่. ติดตามอ่านการแสดงความเห็นได้ที่ฟีดนี้ RSS 2.0. คุณสามารถจะ ฝากความคิดเห็นไว้, หรือ แทร็กย้อนหลัง จากเว็บไซต์ของคุณได้.
#2:: สิทธิรักษ์ 25 พฤศจิกายน 2008 เวลา 10:16 (เช้า)
อิอิ……..ไปกับเจ้าเบิ้มนี่เอง นึกว่าใคร