ลูกคนกลางกับการจัดการความรู้
อ่าน: 2634ในชีวิตการทำงาน ฉันเปรียบตัวเองเหมือนลูกคนกลาง
ที่เขาเปรียบว่า ลูกคนกลางมักต้องทำตัวเองให้เป็นที่ยอมรับของคนอื่น
จึงต้องพยายามทำตัวทำตามความต้องการของคนอื่น
หรือทำให้คนรอบ ๆ ข้างมีความสุขจนเกินขอบเขต
หากไม่เป็นดังที่คาดไว้ จึงมักจะลงโทษตัวเอง หรือมองตัวเองในแง่ลบเสมอ
ลูกคนกลางมักจะเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ทำชีวิตแบบเรียบง่ายไร้คลื่น
รักความสงบ (แต่ก็รบไม่ขาด….มีคนเขาบอก)
จะเป็นมิตรกับคนรอบข้างเสมอ จะเป็นนักฟังที่ดี
มีความตั้งใจอย่างจริงจังที่จะให้คนอื่นมีความสุข
……..
ฉันเปรียบตัวเองเป็นเชื่อมระหว่างพี่คนโตกว่าฉันหลาย ๆ คน (หัวหน้างาน/หัวหน้าหน่วย) กับน้อง ๆ คนเล็ก(เพื่อนร่วมงาน) ที่ยังต้องก้าวที่จะให้ทันพี่คนกลางและพี่คนโต ต้องการความเป็นเพื่อน ความรัก โอกาสที่จะเรียนรู้ที่จะอยู่กับพี่ ๆ อย่างมีความสุข
ในขณะที่ พ่อแม่ (ผู้บริหารระดับสูง) และลุง ป้า น้า อา (ครูบาอาจารย์ทั้งหลายในคณะ) ที่ยังมองเห็นพวกเราเป็นลูกหลานตัวเล็ก ๆ ที่ยังไม่รู้จักโต พยายามสอนให้เราได้เรียนรู้ในสิ่งที่ต้องไปให้ถึง
แต่….พ่อแม่ ให้แต่คัมภีร์ไว้และบอกว่ามันดีนะ อ่านสิแล้วเจ้านะรู้ว่าในคัมภีร์นี้ มีอาวุธดี ๆ ที่เราจะนำไปต่อสู้กับสิ่งต่าง ๆ ได้ เขาเรียกมันว่า “ดาบ”
แต่ดาบนั้นให้ไปหาเอาเองนะ
ฉันเคยเดินทางบุกป่าฝ่าดงไปคนเดียว เพียงเพื่อจะพบในสิ่งที่พ่อแม่หวังไว้ เพียงเพื่อฉันจะได้เป็นที่ยอมรับจากพี่ ๆ และน้อง ๆ แต่ฉันคิดว่า…ไม่ได้ …..ต้องมีพี่น้องฉันไปด้วย
ฉัน……..จูงมือพวกเขาไป เราวิ่งไปด้วยกัน วิ่งขณะที่เรายังมีไฟ และเราก็เริ่มหมดเรี่ยวแรง พี่บอกว่าพี่อายุมากไปแล้ว ไม่ไหว ให้น้อง ๆ เดินหน้าไปเถอะ พี่จะอยู่ข้างหลังคอยให้กำลังใจก็แล้วกัน พี่จะนั่งคอยอยู่ตรงนี้
ฉัน…….กับน้อง ๆ ดีใจที่พี่ไว้ใจ เรายังมีกำลังวิ่งด้วยกันเพื่อไปหาดาบที่คิดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตามคัมภีร์ที่ว่าไว้
เรา……..วิ่ง ๆ ๆ ไปด้วยกัน พอไปได้สักครู่ น้อง ๆ บอกฉันว่า เราจะหามันเจอไหม พ่อแม่ไม่เคยบอกอะไรเราเลย เราหลงทางมาหรือเปล่าพี่
ฉัน…..บอกน้อง ๆ ว่า เราไม่หลงทางดอก ให้เชื่อในสิ่งที่เราคิดว่ามันถูกต้อง ให้เชื่อในสิ่งที่เราคิดร่วมกันว่า มันมาถูกทางแล้ว
น้องบอกว่างั้นเปลี่ยนเป็นเดินก็แล้วกัน มันก็จะไปถึงเหมือนกันนะพี่ ไม่เหนื่อยด้วย แต่ฉันบอกน้องว่า มันไม่มีเวลาแล้ว เราต้องวิ่ง เอาเถอะ รวมพลังกันอีกครั้ง เห็นตรงหน้านั้นไหม พี่เห็นแสงสว่างของมัน มันน่าจะเป็น เงาของดาบที่เขาบอกว่าจะเป็นอาวุธสำหรับต่อสู้กับสิ่งต่าง ๆ ที่เขาบอกไว้ในคัมภีร์นั้น
ฉัน…….ดีใจ ฉันเริ่มวิ่งอีกครั้ง วิ่ง ๆ ๆ โดยที่ฉันไม่เหลียวมองมาข้างหลังเลยว่า น้อง ๆ จะตามฉันทันไหม ฉันวิ่ง ๆ ๆ ๆ และเหลียวกลับมามองข้างหลังอีกครั้ง
ฉัน……..ไม่เห็นใครเลย ข้างหน้าไม่มีพี่คอยนำ ข้างหลังไม่มีน้องคอยตาม
ฉัน……..นั่งอย่างหมดแรง
ฉัน……..น้ำตาฉันเริ่มคลอ
ฉัน……..รู้สึกเคว้งคว้าง
ฉัน………นั่งทบทวนตัวเองอย่างใคร่ครวญ
ฉัน………กำลังจะทำอะไรนี่
ฉัน………ทิ้งพี่ และน้อง ๆ ไว้ข้างหลัง เพียงเพื่อฉันอยากจะไปข้างหน้า อยากจะไปตามหาดาบที่คิดว่าเป็นอาวุธสำคัญสำหรับการต่อสู่กับสิ่งต่าง ๆ
ฉัน……..วิ่งไปคนเดียวเพียงเพราะว่าฉันอยากจะให้พี่ ๆ และน้อง ๆ ยอมรับฉัน หรือฉัน….วิ่งไปหามันเพียงเพื่อให้พ่อแม่ยอมรับในความเป็นฉัน
ฉัน………ทำอะไร
ฉัน………กำลังทำอะไร
ในห้วงแห่งสำนึก…ฉันคิดถึงวันที่ เรา พ่อแม่ ลูก ๆ เดินไปด้วยกัน เรามีความสุขร่วมกัน และฉันกำลังมองว่าในความสุขนั้น ฉันไม่เคยเห็นภาพ พ่อแม่จูงฉันและพี่ ๆ น้อง ๆ เลย เราเดินไปด้วยกันเหมือนมีความสุข แต่ความสุขนั้นเหมือนมีอะไรมากั้นความสัมพันธ์ระหว่างเรา แม้แต่ในความเป็นพี่น้อง เราไม่เคยเดินจับมือ เราไม่เคยกอด เราไม่เคยบอกรักกันเลย เพียงแต่เรารู้ว่าเรารักกัน
ฉันใจหาย…….
ฉันเริ่มผ่อนตัวเอง…..
และรอน้อง ๆ พร้อมกับตั้งใจว่าฉันจะรอพี่ ๆ
เราจะเดินไปด้วยกัน ไปหาดาบที่คิดว่าเป็นอาวุธ สำหรับการต่อสู้สิ่งต่าง ๆ ที่พ่อแม่เคยบอกไว้ และ เราจะร่วมกันทำให้พ่อแม่รู้ว่า ลูก ๆ ทำได้
และในวันนั้น เรา คงได้รับการโอบกอดจากพ่อแม่ อย่างที่เราตั้งหวังไว้
“การโอบกอด” จากพ่อแม่ คงไม่ใช่สิ่งที่เราฝันเกินไป
· ไม่เข้าใจวันนี้.. ก็ไม่เป็นไร
หวังแต่ว่า.. คุณจะเข้าใจ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง “
“เรา” พี่น้องจะร่วมจับมือเดินทางร่วมกันอีกไป เพื่อไปสู่จุดหมายที่เราคิดไว้ร่วมกัน
ฉันเริ่มรู้จักการ “รอ”
และการ “รอ” ก็ทำให้ฉันมีความสุข
ถึงแม้บางครั้งฉันจะเสียน้ำตา ก็ขอให้เป็นน้ำตาแห่งความเข้าใจในตนเองก็พอ
“ฉันบอกกับตัวเองเช่นนั้น”
« « Prev : สุนทรียสนทนา : กระบวนกรหัดขับ(เคลื่อน) : หัวหน้างาน (3)
Next : การจัดการความรู้ คู่กับการจัดการความรัก » »
9 ความคิดเห็น
มัวแต่วิ่งหา มันอยู่ข้างในมั๊ง ? อิอิ
เป็นลูกคนกลางและมีบ้างที่คอยวิ่งตามหา..คว้าเงา
งุนงง ว่างเปล่า มีเพียงเราหรืออย่างไร
จนได้ “ถ้อยคำทอง” ที่นำทาง
นำใจให้ก้าวย่างไปได้
” อย่ามุ่งเพียงผลที่บั้นปลาย มีความสุขให้เก็บเกี่ยวได้ตามรายทาง”
แม้ก้าวดังคืบทีละนิด แต่คิดเรียนรู้จากรอบข้าง
อุปสรรคอาจเป็นเครื่องชี้นำทาง ให้สร้างความกล้าแกร่งแก่ดวงใจ
ส่งกำลังใจมามากมายค่ะ
จากการพูดคุยกับ อ. วิศิษฐ์ วังวิญญู
…… กินทีละคำ เหมือนซูชิ (ข้าวปั้น) กินไปเรื่อยๆ ….
ปกติลูกคนกลาง (Wednesday Child) มักเป็นเด็กที่มีปัญหา เพราะคิดว่าพ่อแม่รักพี่และน้องมากกว่าตัวเอง อิอิ
จริง ๆ แล้ว ถ้ามองในแง่ดี การเป็นลูกคนกลาง เป็นการฝึกจิตอย่างดีที่สุด เพราะไหนจะต้องทำตัวและอารมณ์ให้อยู่ระหว่างกลาง ของทั้งพี่ และน้อง หากเราทำตัวไม่ดี ก็จะโดนว่าได้ว่า ทำไมไม่เอาอย่างพี่ หรือไม่ก็ อย่าทำตัวไม่ดีแบบนี้ ระวังน้องจะเลียนแบบ แต่หากทำตัวดี แทนที่จะได้รับคำชม อาจได้ยินเพียงคำว่า “อืม ก็ดี น้องจะได้มีไม่เลียนแบบในสิ่งที่ไม่ดี” แทนที่จะเป็นคำชม คือ ยังไงมันก็โดนวันยังค่ำ ของใหม่ ของเรา ก็จะเป็นของเก่าที่พี่ใส่ไม่ได้แล้ว แต่พอของเก่าของเรา ทำไมมันดันไม่กลายเป็นของใหม่ของน้องหละ แต่กลายเป็นว่า น้องกลับได้ของใหม่กว่า ด้วยเหตุผลว่า ของที่เราใช้นั้น ถูกใช้มานานแล้ว
มีไม่กี่คนหรอกค่ะ ที่จะมีโอกาสได้เป็นพี่คนกลางแบบเรา
สู้ๆๆๆ
ขอบคุณงามสำหรับกำลังใจทุกดวงนะคะ
…
ทุกอย่างมีเวลา
แต่..อยากเขียนให้เป็นบทเรียนไว้สอนตัวเองค่ะ
มันอยู่ที่การมองใช่มั๊ยน้อง เป็นการมองอย่างเข้าใจตัวตนของเรานะแหละดีที่สุด ณ เวลานี้ เพื่อเริ่มก้าวเดินต่อไปในมรรคาที่ควรเป็นไปตามกาล
ลูกคนกลางแลกเปลี่ยนกับลูกคนกลาง แล้วทำให้ลูกคนกลางเปลี่ยนร่างกำเนิดชีวิตใหม่ เป็นกุศลที่สร้างสมให้เหยียบย่างอยู่ในมรรคาที่ยังกุศลยิ่งนัก
เขาว่าลูกคนกลางถ้าดีก็ดีเหลือร้าย ถ้าร้ายก็ร้ายเหลือ
แต่ถ้าพี่น้องรักกัน ช่วยกันประคับประคอง เราก็เดินไปด้วยกันได้ ครอบครัวผมมี ๕ คน น้องสาวเป็นลูกคนกลาง แต่เราก็ประคับประคองกันเอง จนพ่อกับแม่นั่งยิ้มสบายใจ น้องสาวติดตั้งเคเบิ้ลทีวีไว้ให้แม่ได้ดูตลก ตอนนี้นั่งเชียร์แต่พันธมิตรกับพ่อสบายใจ.. อิอิ
อยากบอกว่าราณีก็ลูกคนกลางเช่นกัน เมื่อก่อนก็เคยคิดว่าเขาไม่รักแต่จริง ๆ แล้วเราเอาตัวรอดได้เขาเลยไม่ห่วงไง ตั้งแต่ราณีไปเรียนไกลบ้าน เลยรู้ว่าไม่มีใครรักเราเท่าพ่อแม่เราอีกแล้วค่ะ