๒. เจ้าเป็นไผ…คิมเห่ย : คนป่าเข้าเมือง…คนเมืองเข้าป่า
อ่าน: 1928ระยะแรก ๆ ของการไปอยู่ที่บ้านพักครู ครูใหม่ทุกคนจะคิดถึงบ้าน กลับบ้านกันทุกวันศุกร์ตอนบ่าย ๆ โดย
เดินเท้า ๓ ก.ม.ไปขึ้นรถสองแถวที่บ้านสามเรือน (มีเรือนอยู่หลายหลัง) และขึ้นรถไฟ หรือจะขึ้นรถเมล์ประจำทาง
ก็ได้ ในสมัยนั้นการโดยสารรถไฟสะดวกกว่า และนัดพบกันที่หน้าสถานีรถไฟพิษณุโลกก่อนเที่ยงวันอาทิตย์เสมอ
เพราะต้องกลับเข้าโรงเรียนพร้อมกัน (สามเณรยังไม่แก่วัด) ส่วนครูเก่าส่วนมากมีครอบครัว ถึงแม้จะอยู่ต่างอำเภอ
ต่างจังหวัดนาน ๆจะกลับบ้านครั้งหนึ่ง
การเดินทางในฤดูฝนโหด มัน ฮา สุด ๆ รถสองแถวจะวิ่งรับส่งแค่สามแยกบ้านท่ามะขาม (ตรงไปสันติ
บันเทิงและอำเภอสากเหล็ก พิจิตร เลี้ยวขวาไปอำเภอเมือง พิจิตร) พวกเราจะถือรองเท้าเดินตัวเปล่าแต่ก็เกือบเอา
ชีวิตไม่รอด เพราะถ้าหากเท้าข้างใดข้างหนึ่งไม่ถนัดพื้นก็จะถมลงไปในดินโคลน เพื่อน ๆ ต้องช่วยฉุดดึงแขนกัน
ขึ้นมา บางครั้งถอดรองเท้าไม่ทันต้องสละรองเท้าไว้ในดิน ไม่สามารถเอาขึ้นมาได้ ครูผู้ชายหรือสามีครูต้องหาบ
หิ้วสิ่งของสัมภาระแทนพวกครูผู้หญิง เดินบนเส้นทางแบบนี้ประมาณ ๘ ก.ม. และอีกทางหนึ่งคือลงเรือหางยาว
จากคลองคอสะพานบ้านท่ามะขามไปถึงท่าวัด หน้าโรงเรียน ครูผู้หญิงบางคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นท่าทางเกรงแทบไม่
หายใจหายคอ และหิ้วปีกเรือจนไหล่แทบหลุด กลัวเรือจม ตัวเลอะเทอะมอมแมมไปถึงโรงเรียนเป็นเรื่องธรรมดาที่
แสนสนุก แต่การแต่งกายของพวกเราในฤดูลำบากเช่นนี้ ไม่ว่าครูชายหรือหญิงมีความจำเป็นต้องนุ่งกางเกงขาสั้น
รองเท้าแตะฟองน้ำแบบคีบเท่านั้น แบบอื่นปลอดภัยน้อยกว่า หลายครั้งที่พวกเรากลับบ้านและเวลาเป็นอุปสรรค
ทำให้พวกเรามีความจำเป็นต้องวิ่งขึ้นรถไฟไปแบบเลอะเทอะมอมแมม ถือรองเท้าขึ้นไปด้วย เดินผ่านพวกผู้ลาก
มาดีเขาก็สมเพชและอมยิ้มอย่างเวทนา
ฉันและเพื่อน ๆ ต่างปรับตัวได้ไม่ลำบาก ตอนเย็นพระทำวัตรก็แอบไปเล่นน้ำในคลอง หรือไปอาบน้ำในบ่อ
ข้างทาง ว่ายน้ำเล่นอย่างสนุก(ชาวบ้านเรียกบ่อหลา เพราะการขุดบ่อจ้างกันเป็นหลา) น้ำใสสะอาดมากมองเห็น
ปลามาเกยฝั่ง ไม่มีใครจับปลาไปกิน เพราะชาวบ้านรอกินปลาตัวใหญ่และลำคลองมีน้ำเต็มฝั่ง มีปลาชุกชุม บาง
วันก็ไปเก็บผักบุ้งยอดอ่อน ๆ มาทำอาหาร
ครูผู้ชายมีกิจกรรมตามแบบฉบับที่ชอบเช่นไปหาปลา ทอดแห ตกเบ็ด ต่อนกเขา และหากบเขียดเวลาฝนตก
ฉันได้ฝึกตกปลาเป็นครั้งแรก รู้สึกเพลินและมีความสุขมากที่ปลามากินเหยื่อ จนเหยื่อหมดกระป๋องก็ไม่เคยได้ปลา
แม้แต่ตัวเดียว ส่วนคนอื่น ๆ ได้ปลาแทบทุกวินาที
คืนวันหนึ่งครูผู้ชายไปหากบ ครูผู้หญิงบอกว่าถ้าทิ้งให้เฝ้าบ้านพักครูก็กลัวผี ครูคนอื่นกลับบ้านกันทุกครอบ
ครัว เหลือแต่ครูหนุ่มสาวอยู่กัน ครูผู้หญิงจึงได้ติดตามไปช่วยหากบ กางร่มไปด้วยเมื่อเห็นกบมาก็ดีใจ ตื่นเต้น
ร้องเสียงหลง ทำให้กบกระโดดหนีเข้าป่าไป วันต่อมาครูผู้ชายก็ออกอุบายว่าไม่อยากไปหากบอีก แต่พากันเข้า
นอนหัวค่ำ ครูผู้หญิงรวมทั้งฉันก็เข้านอนเช่นกัน เมื่อตื่นเช้าฉันสังเกตเห็นตะข้องกระตุก จึงพบว่ามีกบตัวใหญ่ ๆ
อยู่เต็มตะข้อง มีเครื่องมือหากินวางอยู่ด้านนอกด้วย แต่ที่ไม่เหมือนใครก็คือการจับกลุ่มในเวลากลางคืนเล่นผีถ้วย
แก้ว เล่นผี ตะเกียบ เล่าเรื่องสารพัดสาระเพ บางคนก็ร้องลิเก และบ่อยครั้งที่คุยกันจนถึงสว่าง
ครูผู้ชายมักจะไปชอบพอกับสาว ๆ ในหมู่บ้านทำให้พวกเราถูกรับเชิญแบบติดตามไปด้วยอย่างไม่เต็มใจนัก
ไปทานข้าวฟรีจากชาวบ้าน ไปช่วยชาวบ้านทำงานขุดดิน ทำหน่อไม้ดอง ทำผักกาดดอง สอยผ้า ดำนา เกี่ยวข้าว
ทุกคนเป็นชาวนาฝึกหัดไม่มีใครเคยทำนามาก่อนเลย ฉันลงมือดำนาอย่างตั้งใจเมื่อดำนาเสร็จต้นข้าวที่ฉันปลูก
เขียวกว่าเพื่อน เพราะฉันกลัวมันตายจึงปลูกกอใหญ่กว่าคนอื่น เจ้าของนาใจดีมากไม่ยอมถอนของฉันทิ้งและ
บอกว่าให้ฉันไปดูแลบ่อย ๆ ด้วย เมื่อข้าวเริ่มออกรวงพบว่าต้นข้าวของฉันมีรวงน้อยมาก พอแก่จัดเม็ดข้าวก็ลีบ
และไม่สมบูรณ์เหมือนคนอื่นๆ (เพราะนิสัยของฉันเป็นคนดื้อรั้น เป็นทุนเดิม) หลังจากดำนาเสร็จพวกเราไม่มีโอกาส
เป็นคุณนายเพราะเล็บเป็นคราบดำเหลือง ไม่มีอะไรรักษาปล่อยมันยาวและค่อย ๆ ตัดออก เมื่อถึงคราวเก็บเกี่ยว
พวกเราได้พากันไปช่วยชาวบ้านเกี่ยวข้าว ฉันพบว่าการเกี่ยวข้าวลำบากกว่าการดำนามาก เพราะฉันไม่สามารถ
เกี่ยวข้าวให้เป็นระเบียบได้ อีกอย่างฉันถนัดซ้าย เขาก็หาเคียวแบบคนถนัดซ้ายให้
วรรณกรรมชีวิตได้ปรากฏขึ้น ชาวบ้านจะนิยมนวดข้าวกลางคืนเดือนหงายเสมอ เป็นบรรยากาศดีมาก ได้ยิน
เสียงคนหัวเราะเฮฮาเป็นระยะ ๆ เมื่อพวกเราเดินไปถึงชาวบ้านชายหญิงก็ออกมาห้ามไม่ให้เข้าใกล้บริเวณนั้น ให้ไป
อยู่อีกแห่งหรือกลับบ้านพักครู เพราะพวกเรานุ่งกางเกงขาสั้น แต่พวกเราไม่เคยสังเกตว่าทำไมทุกคนคลุมหน้า
คลุมตาตอนนวดข้าว เพื่อนของฉันคนหนึ่งมองเห็นกองฟางคิดว่าอ่อนนุ่มน่านั่งเล่นนอนเล่น เธอกระโดดเข้าใน
กองฟางนั้นคงเหมือนฟองน้ำ กองฟางยุบลงมองไม่เห็นตัว เธอยังไม่รู้สึกอะไรเมื่อเธอออกมาจากกองฟางใหม่ ๆ
ระหว่างเดินกลับบ้านพักครูเธอบ่นปวดแสบปวดร้อน พวกเราให้เธอไปอาบน้ำได้ยินเสียงเธอร้องไห้โฮลั่นห้องน้ำ
ต้องไปตามอาจารย์ใหญ่พาไปส่งและนอนโรงพยาบาลในคืนนั้น
เมื่อมีความสนุกเข้าก็ไม่กลับบ้าน เดือดร้อนพ่อแม่ต้องไปตาม แม้กระทั่งครูผู้ชายคนหนึ่งบ้านอยู่ที่อุตรดิตถ์
แรก ๆ ก็พากันกลับบ้านเหมือนที่เล่าข้างต้น วันหนึ่งเขาก็ถูกแม่มาตาม เมื่อเขาเห็นแม่มาตามเขาร้องไห้มากมาย
แม่เขาเตือนสติว่าเป็นลูกผู้ชายและโตเป็นครูแล้วไม่ต้องร้องไห้อายคนอื่น ๆ บ้าง ส่วนฉันกลับบ้านสัปดาห์ละครั้ง
เป็นเดือนละครั้ง สองเดือนครั้ง (เกินกว่านี้ไม่ได้) อยู่โรงเรียนไม่ใช้เงินทอง ยิ่งตอนหลัง ๆ นี้ไปช่วยชาวบ้านทำ
งานทานข้าวและนอนค้างบ้านเขาอีกด้วยกลับบ้านตอนเช้าก็ทาน ข้าวก่อน กลางวันชาวบ้านมีข้าวมาส่งให้อีก
เมื่อกลับบ้านทีก็เหมือน…คนป่าเข้า เมือง ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า อาหารจำเป็น ของฝากชาวบ้าน เสื้อผ้า
รองเท้านักเรียน (สงสารที่เขาไม่สวมรองเท้า) และนัดพวกญาติ ๆ วัยเดียวกันเที่ยวเตร่ยามค่ำคืน ดูหนัง ฟังเพลง
กลับบ้านดึกดื่น
ความยากจนของชาวบ้านมีมากกว่าคนพออยู่พอกิน เด็กนักเรียนของฉันคนหนึ่งเรียนดี ประพฤติดี เรียนจบ
แล้วเขาบอกว่าจะไม่เรียนต่อ เพราะไม่มีเงิน การเดินทางไปโรงเรียนในอำเภอก็ไม่สะดวก ฉันได้ไปช่วยอธิบายให้
พ่อแม่เขาเข้าใจและยอมสละรถจักรยานคันเก่า ๆ ของฉันให้เขาขี่ไปโรงเรียน เขาจึงได้เรียน ผลการเรียนดีได้รับ
ทุนการศึกษาของโรงเรียนและ..สุดท้ายเรียนจบที่ มหาวิทยาลัย..ดินแดนบรรยากาศสวยงามของภาคเหนือ
ปัจจุบันทำงานระดับผู้บริหารขององค์การหนึ่ง
ครูเก่า ๆ ย้าย ครูใหม่เข้ามาแทน ฉันก็จึงเป็นครูเก่าในปีต่อมา และได้รับคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่โรงเรียนเล็ก
ๆ ใกล้อำเภอ คราวนี้ฉันเดินทางไป กลับโดยรถไฟ เป็นชีวิตที่สนุกสนานอีกแบบ และฉันก็คุยให้เพื่อนฟังว่า “ฉัน
เบื่อหน่ายโรงเรียนนี้มาก สอนน้อย ครูเยอะเกินไป กินเงินเดือนฟรีไปวัน ๆ” ต่อจากนั้นไม่เกินสัปดาห์ฉันถูกเรียกไป
พบบนสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอ หัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอบอกว่าได้ยินฉันพูดบ่นบนรถไฟ แล้วฉันก็
ได้รับคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่โรงเรียนประถมประจำอำเภอที่มีเด็ก มากห้องละ ๔๐-๕๐ มีมากเช่นกัน และฉันก็พอ
ใจที่นี่มากที่ได้ใช้วิทยายุทธ์เต็มเวลา
ชีวิตมีการเคลื่อนไหวไปตามจังหวะก็อาจว่าได้ ฉันได้ย้ายติดตามครอบครัวไปอยู่ที่อำเภอนครไทย ในฐานะ
ครูช่วยราชการเช่นกัน ประมาณปีกว่า ๆก็ย้ายไปช่วยราชการอีกเช่นกันหลาย ๆ จังหวัดในภาคอิสานเป็นเวลาเกือบ
๑๐ ปีขาดความเป็นครูแต่อาชีพครู เพราะไม่ได้สอนในโรงเรียนแต่ไปทำงานในสำนักงานฯ แทน เมื่อได้กลับมา
อีกครั้งต้องกลับมาอยู่โรงเรียนเดิมที่อำเภอบางกระทุ่ม แต่ฉันขอย้ายไปอยู่ที่อำเภอนครไทย เพราะบรรยากาศดี มี
ป่า มีธรรมชาติสวยงามอากาศเย็นสบาย ฤดูร้อนก็ไม่ร้อนจัด อีกประการหนึ่งชาวนครไทยจิตใจดี และมีความเป็น
กันเองสูง
โรงเรียน…แห่งนี้ฉันมีตำแหน่งจริงไม่ต้องช่วยราชการเหมือนที่ผ่าน มา โรงเรียนอยู่ห่างจากจังหวัด
พิษณุโลก ๑๒๕ ก.ม. ฉันเดินทางไปกลับทุกวัน (๒๕๐ ก.ม.) ถนนหนทางก็ไม่ดีเหมือนสมัยนี้ เมื่อมีการพิจารณา
ความดีความชอบ ปรากฏว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้รับพิจารณาเลือนขั้นเงินเดือน ๑.๕ ขั้น ที่โรงเรียนแห่งนี้ ก่อน
หน้านั้นมีการพิจารณาเงินเดือนปีละ ๑ ขั้นหรือ ๒ ขั้น ตอนนั้นฉันไม่เคยรู้รสชาติว่าการได้รับเงินเดือนตามความดี
ความชอบ ๒ ขั้นนั้นเป็นอย่างไร (เพราะเขาอ้างว่าช่วยราชการ) ฉันอยู่ ที่โรงเรียนนี้ ๖ ปี เนื่องจากอัตราครูเกิน
เกณฑ์ จึงมีสิทธิ์เลือกโรงเรียนได้ตามความพอใจ แต่ศึกษาแล้วเห็นว่าโรงเรียนวิทยสัมพันธ์ มีอัตราครูต่ำเกณฑ์
มากและขาดครูสอนภาษาอังกฤษ ฉันขอเลือกลงที่โรงเรียนนี้เมื่อปีการศึกษา ๒๕๔๖ เดินทางไปกลับทุกวันเช่นกัน
ระยะทาง ๑๕๖ ก.ม. ใคร ๆ ว่าฉันเป็น..คนเมืองเข้าป่า