ค้นด้วยส้นเท้า Learn not to think
อ่าน: 47105คิดด้วยส้นเท้า
วันนี้ ขอนำเสนอ นิทาน ผมคิดได้เอง เมื่อกี้นี่เอง เลยรีบเขียนบันทึกมาฝาก พวกเรา พี่ๆน้องๆ เป็นเรื่อง ปัญญาสามฐาน คือ กาย ใจ และ คิด
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เศรษฐี ท่านหนึ่ง รวยมาก และ ก็คิดว่าตนเองฉลาดมาก แต่จริงๆแล้ว หารู้ไม่ว่า เป็น ความคิดแบบจิตไม่ว่าง กายไม่ผ่อนคลาย เป็นปัญญาเฉโก
วันหนึ่ง ออกไปสั่งงานลูกน้อง ซึ่งเรียนมาน้อย แต่จิตใจดี ขณะกำลังสั่งงานนั้น ลูกน้องก็นำเสนอไอเดียบางอย่างขึ้นมา ด้วยความซื่อๆ เจ้านายเศรษฐี ก็ จี๊ดขึ้นมา จิตเกิดอาการ แต่ ไม่รู้ตัวว่าจิตเกิดอาการ ร่างกานตึงเครียด เกร็ง แต่ ก็ไม่รู้ตัวว่า เมื่อจิตเกิดอาการ กายจะเกร็งๆ เศรษฐีจึง ด่าลูกน้อง ว่า “คิดโง่ๆแบบนี้ได้ไงเนี่ย เรื่องแค่นี้ เอาส้นเท้า (จริงๆ คือ ส้นตี..น) คิดก็คิดได้แล้ว”
ลูกน้อง เมื่อได้ยิน งงๆ แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไร และ ด้วยความซื่อของเขา เขาก็เลย ออกไปคิดว่า ทำไงหนอ เอาส้นเท้าคิด
ในที่สุด ก็เลยคิดว่า เมื่อคิดไม่ออก เราควรปรึกษากัลยณมิตร ปรึกษาบัณฑิต ดังนั้น จึงไปกราบ พระเถระ ที่วัด
เมื่อเล่าเรื่องที่เศรษฐีให้ใช้ “ส้นเท้าคิด” ให้พระเถระฟัง ท่านก็อมยิ้ม และ สอนเรื่องปัญญาสามฐาน ท่านสอนว่า ปัญญาที่เกิดได้ที่ฐานกาย ฐานใจ และ ฐานคิด
เจ้าลอง เดินแบบหยุดคิด (เลิกใช้สมองคิด) แต่ให้ เอาความรู้สึก (sensing) ไปจับ ที่ความรู้สึกที่ส้นเท้า กระแทกพื้นแรงเบาหนัก ก็ตามรู้ เวทนาเจ็บ สบาย หนาวร้อน ก็ตามดู รู้ๆๆ ที่ ส้นเท้า เดินไปกลับไปมาที่ ทางเดินจงกรม ฝึกหยุดคิด (ด้วยสมอง) ก็จะรู้เอง ถ้ายังคิดด้วยสมองอยู่ก็จะไม่รู้
ด้วยความซื่อและศรัทธา ลูกน้องคนนั้น ก็เริ่มหัดเดิน จงกรม แบบสิ้นคิด (ฐานสมอง)
วันหนึ่ง เจ้านายเดินผ่านมา เห็นลูกน้องกำลังเดินกลับไปกลับมา ไม่รู้ว่านี่คือ จงกรม ท่านก็ถามว่า “ของหายหรือไง เดินไปมาอยู่ได้ เจ้าคิดบ้าๆอะไรอยู่หรือ” ลูกน้องก็ตอบว่า “กำลังใช้ส้นเท้าคิดครับนาย” เจ้านายพอได้ยิน รีบใช้ปัญญาฐานคิดเฉโกทันที จึงโกรธจัด นึกว่า ลูกน้องลองดี ทะลึ่งมาใช้คำด่าว่า “ส้นเท้า” ก็เลย สั่งขับไล่ออกจากบ้านไป
ลูกน้อง ก็เลย ไปทำงานอยู่ที่วัดของท่านพระเถระ และ ก็ฝึกๆๆ ใช้ปัญญาฐานกาย
ด้วยการทำซ้ำๆๆๆๆ โดยไม่คิดมาก จนในที่สุด เกิดความรู้ (สติ) ที่ส้นเท้า จากส้นเท้าก็ ขยายไปรู้ (มีสติ)ไปยังอวัยวะอื่นๆของร่างกาย จนทั่วทั้งกาย รู้ที่ลมหายใจ รู้ทุกๆอิริยาบท นั่ง เดิน ยืน นอน เดินจงกรมหรือไม่เดินจงกรมก็ได้ทั้งนั้น & ;nbs p;
เขาฝึกๆๆๆ ซ้ำๆๆๆ ไม่ใช้สมองคิดมาก ตัดความคิดบ้าๆออกไป มุ่งเน้นอารมณ์เดียว อยู่ที่ ตัวรู้ ที่ฐานกาย
จากฐานกายเขาก็พัฒนาขึ้นไปค้นพบ ตัวรู้ที่ฐานใจได้ไม่ยาก รู้ว่ากายเป็นตัวฟ้องให้เรารู้ว่าจิตเป็นอย่างไร เมื่อฝึกๆ จนรู้เท่าทัน ฐานใจ ฐานกาย รู้ว่า หากกายใจไม่ปกติ ความคิดต่างๆเป็นเฉโก ดังนั้น ไม่ต้องคิด ไม่ต้องคิดด้วยฐานสมอง ย้อนลงมาสร้างตัวรู้ๆๆๆ ที่ฐานกาย ฐานใจ
ในที่สุด ก็ ปิ๊งๆๆๆๆ ได้ปัญญาฐานคิดที่แท้จริง คือ คิดเมื่อจิตว่าง ซึ่งการที่เราจะรู้ว่าจิตว่างหรือไม่ ก็ให้ดู (มีสติ)ที่ร่างกาย
ฝึกจนตัวรู้(สติ) จากน้อยๆ ในที่สุด เป็นสติมากๆ เป็นมหาสติ สติติดเนื้อติดตัวอย่าง เป็นอัตโนมัติ ในที่สุด หลายปีผ่านไป ท่านได้เป็น พระเถระ ที่มีชื่อเสียง และ ยังนึก ขอบคุณเสมอว่า คิดด้วยส้นเท้านี่ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีจังหนอ
วันหนึ่ง เศรษฐีทำธุรกิจผิดพลาด เครียดจัด จึงมาที่วัดแห่งนี้ มาเจอพระเถระ แต่ เศรษฐีก็จำไม่ได้ว่าเคยทำงานที่บ้านท่านมาก่อน
ท่านก็ถามว่า จะแก้ปัญหา อย่างไรดี พระเถระ ก็ตอบว่า “เรื่องง่ายๆแค่นี้ ลองเอาส้นเท้าคิดดูสิ”
นิทานสร้างเอง เรื่องนี้ สอนให้เรารู้อะไรบ้าง รู้สึกอย่างไรบ้าง และ สติอยู่ที่ไหน
เราโดนฝึกมาให้ คิดก่อนพูด แต่ จริงๆแล้ว ควรจะเป็น มีสติ ดูกาย ดูใจ ว่าปกติไหม แล้วค่อยคิด ค่อยพูด พวกเราโดนสั่งสอน ให้เริ่ม จาก เฉโก ก่อนเสมอ จึงได้ทะเลาะกันเรื่อยๆ เรื่องน่ารัก เล็กๆน้อยๆ ก็งอนกันได้ ลองดูนะ กลับไปเริ่มใช้ “ส้นเท้า” คิดดูบ้างนะ สาธุ