หนูหน้าโง่
อ่าน: 2951ในชั่วโมงการประชุมที่ยาวนานของโรงเรียน เป็นการประชุมที่โคตร….จะน่าเบื่อ (ทุกครั้ง) เมื่อไหร่ที่มีประชุม นักเรียนก็จะไม่ได้เรียน ถึงแม้เด็กหลายคนจะไม่ชอบเรียน แต่เมื่อครูประชุมบ่อย ๆ เด็กก็ทำหน้ามุ่ย กำลังร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ก็มีหนังสือมาเชิญครูประชุม กำลังเฉลยแบบทดสอบกันแบบลุ้นระทึก เดี๋ยวครูก็ต้องประชุม วันไหนนัดกันจะทำกิจกรรม วันนั้นครูจะต้องไปอบรม อ้าว! เมื่อไหร่ที่มีหนังสือเชิญประชุม เด็ก ๆ จะพร้อมใจพูดเสียงดังลั่นห้อง “ ประชุมดีประชุมเด่น เน้นประชุม “
คุณครูท่านหนึ่ง ได้ลุกขึ้นกล่าวรายงานถึงการอบรมโครงการกิจกรรมรักการอ่าน ที่ได้เข้าร่วมการอบรมในสัปดาห์ที่ผ่านมา สิ่งที่ท่านได้นำเสนอ ทำให้ดิฉันรู้สึกสนใจ เนื่องจากจุดประสงค์ที่จะให้คณะครูมองเห็นความสำคัญในกิจกรรม และช่วยเหลือโครงการนี้ ท่านจึงเริ่มต้นด้วยนิทานเรื่องหนึ่ง ซึ่งประธานได้เล่าในช่วงของการเปิดการอบรม นิทานเรื่องนี้มีความว่า
หนูตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านของชาวนาครอบครัวหนึ่ง แรก ๆ เมื่อมันตัวเล็ก ๆ อาหารที่ต้องการก็ไม่มากมายนัก เพราะฉะนั้นเศษอาหารในบ้านก็พอกินไปวัน ๆ แต่เมื่อหนูมีครอบครัว มันก็ต้องการอาหารที่มากขึ้น ดังนั้นเมื่อมันหาอาหารเพิ่มขึ้น ชาวนาก็เริ่มเดือดร้อน ชาวนาแก้ปัญหาด้วยการนำกับดักหนูไปวางในบริเวณที่หนูมันมากินอาหารประจำ เมื่อหนูเห็นดังนั้น มันจึงวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากไก่ ซึ่งเป็นเพื่อนกัน แต่ไก่กลับบอกว่า มันไม่ใช่ธุระของข้า แล้วก็ส่ายหน้า ไม่คิดหาทางช่วยเหลือ เมื่อไก่ไม่ช่วย หนูก็วิ่งไปหาหมู หมูก็ตอบมาทำนองเดียวกับไก่ ดังนั้น หนูจึงวิ่งไปหาวัว แต่วัวก็ตอบมาเหมือนกับไก่ และหมู สัตว์ซึ่งเป็นเพื่อนที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงกันไม่มีใครช่วยหนู แม้แต่ตัวเดียว อยู่มาไม่นาน ปรากฏว่ามีงูไปติดกับดักหนูเข้า ภรรยาของชาวนาเดินไปดูกับดักหนูที่ตนวางไว้ แต่เนื่องจากไม่ทันระวัง จึงโดนงูฉกเข้าทันที เมื่อชาวนามาเห็นเข้าจึงนำภรรยามารักษา เพื่อนบ้านได้ยินข่าว จึงทยอยกันมาเยี่ยม ชาวนาจำต้องฆ่าไก่ให้เป็นอาหารเลี้ยงต้อนรับเพื่อนบ้าน รักษานานวันภรรยาก็ยังไม่หาย คราวนี้ชาวนาจึงจำเป็นต้องฆ่าหมูที่เลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหารเลี้ยงต้อนรับเพื่อนบ้าน อยู่มาไม่นาน ภรรยาชาวนาก็เสียชีวิตจากพิษงู ในงานศพของภรรยา ชาวนาก็ฆ่าวัวที่เลี้ยงไว้เพื่อประกอบอาหารในพิธี ส่วนหนูกลับมีชีวิตรอดอาศัยอยู่ในบ้านชาวนานั่นเอง
นิทานเรื่องนี้ คุณครูท่านสรุปแง่คิดให้ว่า หากคนในองค์กรไม่ช่วยกัน โดยคิดว่างานที่ได้รับมอบหมายไม่ใช่ธุระ สุดท้ายก็จะประสบหายนะทั้งองค์กร
ดิฉันได้ฟังรู้สึกประทับใจ คิดว่าเมื่อประชุมเสร็จจะต้องบันทึกเรื่องนี้ไว้เล่าให้เด็ก ๆฟัง แต่เมื่อครั้นท่านผู้บริหารท่านกล่าวถึงเรื่องต่อมา นั่นคือ ท่านจะมีกรรมการมาประเมินวิทยฐานะในสัปดาห์ถัดไป เพราะฉะนั้นจึงขอความร่วมมือจากคณะครู ช่วยจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ เพื่อรองรับการประเมิน ท่านกล่าวว่า ถึงแม้มันจะเป็นงานของท่านเอง แต่เปรียบได้กับตัวท่านเป็นหนูในนิทานที่เพื่อนครูท่านหนึ่งเล่ามา เพราะฉะนั้นอยากให้ไก่ หมู และวัว ซึ่งเปรียบเหมือนคณะครูช่วยเหลือท่านด้วย มิเช่นนั้นตัวท่านอาจจะกลายเป็นหนูที่รอดเพียงตัวเดียว
ดิฉันได้ยินประโยคดังกล่าวรู้สึกเหมือนโดนอะไรกระแทกเข้าที่อกอย่างจัง สมองคิดตามทันที นั่นสินะ หากอยากจะรอด ไม่เห็นว่าหนูจะต้องทำอะไร แค่อยู่เฉย ๆ หากหนูวิ่งวุ่นที่จะแก้ปัญหาด้วยตนเองมันก็จะยิ่งยุ่ง ไม่แน่ว่า หนูอาจจะติดกับดักนั้นแทนงูก็เป็นได้
นิทานเรื่องนี้กลับให้แง่คิดอีกมุมหนึ่งกับดิฉัน ทุกครั้งที่ได้รับมอบหมายงาน เมื่อติดปัญหาดิฉันจะเข้าไปขอความช่วยเหลือจากผู้บริหาร แต่ท่านก็มักจะตอบคำถาม เหมือน ไก่ หมู วัว (แทบทุกครั้ง) ส่วนเพื่อนครู “ไม่รู้หรอกน้อง พี่ไม่รู้จะช่วยยังไงจริง ๆ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ ทิ้งไว้นั้นหล่ะ “ นั่นเป็นคำแนะนำที่ดูเหมือนนิทานเรื่องนี้จะสอนไว้ เพื่อนครูแนะนำถูกจริง ๆ เพราะสุดท้ายคนซวยไม่ใช่เรา แต่ดิฉันกลับเป็นหนูหน้าโง่ วิ่งซก ๆ เที่ยวแก้ปัญหา บางครั้ง กับดักหนูตกใส่ขาบ้าง ก็แอบมาคลุมโปงร้องไห้ในห้องนอนตนเอง ทำไมถึงไม่ได้ยินนิทานเรื่องนี้มาก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้ซินะ เฮ้อ !
แต่ถึงแม้จะรู้ว่าตนเป็นหนูหน้าโง่ แต่ก็ยังทำตัวให้ฉลาดขึ้นไม่ได้อยู่ดี เพราะยังนึกกังวลใจ ว่าลูกน้อยจะโดนกับดักหนูไปด้วยหรือเปล่า ก็ยังคงต้องวิ่งซกๆ ต่อไป
« « Prev : ขอโอกาสให้คนดีคืนสู่สังคม
7 ความคิดเห็น
ควรประชุมวันเสาร์ หรือ เย็นวันศุกร์
แต่คงยากส์เพราะผอ. ต้องไปกอกระดิม ริมสนามกอล์ฟ กะผู้ใหญ่หลายๆ ฝ่าย
ผมเสนอมานานแล้วว่า ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้การศึกษาไทยล้มเหลว คือ ระบบผอ. ที่เป็นตำแหน่งการเมือง
เราต้องถอยหลังลงคลอง หันไปหาระบบ ครูใหญ่ เหมือนเดิม
ผอ.มันไม่ต้องสอน เอาแต่ตีกอล์ฟ แต่ครูใหญ่ยังต้องสอนครึ่งเวลา อีกครึ่งเวลาเอามาบริหาร ก็ไม่เหลือเวลาเอาไปตีกอล์ฟ
เด็กๆ น่ารักมาก คุณครูก็น่ารักด้วยนะ
เด็กบ้านนอกเรา ยังไงเสียมันก็บริสุทธิ์และน่ารักมากๆ แต่พอโตขึ้นกลับเสียเน่าไปเสีย 90% เพราะการเมืองมันเน่า
ดังที่ผมเคยเขียนไว้แล้วว่า ถ้าหัวมันเน่าเสียแล้ว อย่าหวังเลยว่าหางมันจะไม่เน่า
ครูจบใหม่ ๆก็ใสซื่อบริสุทธิ แต่พอนานไป ก็ซื่อบื้อ หาลำไพ่ หากิน เห่อเหิมตามๆกันไป ส่งผลไปถึงนักเรียนแบบวงจรอุบาท (ไม่ต้องมี ว การันต์)
รูปแรก เจ้าเด็กผู้ชายยืนตรง เอามือมาเรียงชิดติดกัน ข้างริมขา มันน่ารักมากๆ …สงสัยติดมาแต่เรียนลูกหมา..เอ๊ยเสือ
เด็กบ้านนอกน่ารักค่ะ แต่หากรู้ข้อมูลว่าโตขึ้นเค้าจะเปลี่ยนไปจากคำว่าน่ารัก ตัวครูเองจะท้อใจค่ะ ดังนั้น เลือกรับรู้เฉพาะความน่ารักตอนนี้ที่เค้ามีอยู่ก็พอ
ระบบการศึกษาไม่รู้จะโทษว่าใครผิด แต่ดิฉันก็ขอยกมือรับผิดด้วยคนค่ะ จะพยายามแก้ไขเท่าที่ศักยภาพในตัวจะพอทำได้นะคะ
สาธุ คุณครู
ผมเคยเขียนไว้ว่า เกิดมาเลือกอาชีพครู ต้องกล้าจน ถ้าอยากรวยให้ลาออกแล้วไปขายก๋วยเตี๋ยว หรือ เต้าฮวยดีกว่า
(แล้วห้ามตั้งชื่อร้าน เป็น “ครัวครู X” ด้วยนะ..ถือว่าเอาความเป็นครูมาขายหากิน สร้างลอยมลทินให้ครูทุกคน บาปหนาที่สุดไอ้ครูเอี้ยพวกนี้)
ผมสอนมหาลัยก็ดีไปอย่าง เด็กมันโตแล้ว พอโขกสับได้มากหลาย ส่วนใหญ่ผมด่าเช็ด ไม่ต้องมาคอยเอาใจแบบเด็กๆ อิอิ…
วันหลังจะลองสรุปคำสอนของผมมาให้ฟังกันนะครับ
วันนี้เอะใจ กลับไปย้อนอ่านบันทึกก่อนๆของคุณครูที่ไม่ได้อ่าน (เพราะอะไรก็ลืมไปแล้ว อาจเป็นเพราะไม่รู้จัก ไม่มีชื่อเสียง) อ่านแล้ว รู้สึกประทับใจมากในหลากหลายมิติ
ขอให้ขยันเขียน ขยันคิด จะช่วยสังคมได้มากในกาลต่อไป เพราะสำนวน ลีลา เยี่ยมมาก ถ้าผมเป็นเจ้าของหนังสือวารสาร จะเทียบเชิญมาเป็นนักเขียนประจำแน่นอน
ตรรกะเรื่องหนู ไก่ วัว ของคุณครูยังไม่ลงตัวนัก แต่นั่นมันเรื่องศาสตร์ที่ปรับได้ไม่ยาก ส่วนเรื่องศิลป์และการเชื่อมโยงปัจจัยต่างๆเข้าด้วยกัน จนออกมาเป็นเนื้อเรื่อง..เยี่ยมครับ
ชอบมากคือ ขับมอไซค์ไปให้เปรตปะแป้ง กลางดิสโก้เธค