ม.ค. 19

สืบเนื่องจากทางโครงการพัฒนาเครือข่ายกลุ่มสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่” แผนกการพยาบาลสูติ-นรีเวชกรรม งานบริการพยาบาล โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้จัดประชุมวิชาการเรื่อง “เลี้ยงลูกอย่างไรให้ฉลาด” โดยวิทยากร นายแพทย์อุดม เพชรสังหาร ในวันที่ 17 มกราคม 2553 จึงได้มีโอกาสเข้าฟังการบรรยายนี้ น่าสนใจทีเดียว ขอบคุณผู้ที่จัดการบรรยายนี้ และขอสรุปสิ่งที่ได้ฟังเพื่อเป็นประโยชน์กับพ่อแม่ที่ต้องการเลี้ยงลูกให้ฉลาด

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า ฉลาดในที่นี้ไม่ได้หมายถึงได้เกียรตินิยม แต่หมายถึงเก่ง เอาตัวรอดได้  อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข คุณหมออุดมแสดงกราฟอัตราการเกิดรอยเชื่อมต่อในสมอง ซึ่งพบว่าจะเริ่มตั้งแต่ 7 เดือนในท้องแม่ และสูงในช่วง 2 ขวบแรก จากนั้นก็เริ่มลดลงและพอพ้นอายุ 5 ขวบก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นถ้าพ่อแม่อยากส่งเสริมความฉลาดก็ควรจะทำตั้งแต่ลูกอายุยังน้อย

คุณหมอได้สรุป 10 บัญญัติสมองดี กิจกรรมสร้างคนเก่ง ไว้ดังนี้

1. พ่อแม่คือแบบอย่างสร้างสมองของลูก อยากให้ลูกเป็นอย่างไรให้ทำอย่างนั้น เป็นไปตามทฤษฎีกระจกเงา เด็กเรียนรู้จากการดูและการเลียนแบบ

2. เครือข่ายครอบครัว เครือข่ายสมองลูก พ่อแม่มีกลุ่มเพื่อน และทำให้ลูกๆ ได้เจอกัน จะทำให้ลูกเห็นว่าเรามีเพื่อน มีการแบ่งปันกัน ทำให้เกิดญาติมิตร (Social network)

3. ยิ่งกอด สมองยิ่งเก่ง การกอดลูกหรือการสัมผัสที่ทำให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่รักเขา จะทำให้เขารู้สึกอบอุ่น มั่นใจ เห็นคุณค่าตนเอง ทำให้เกิด NGF (Nerve Growth Factor)  (จริงๆ แล้วพอพ่อแม่กอดลูก ก็ทำให้ลูกเลียนแบบ กอดพ่อแม่เหมือนกัน แล้วอย่างนี้พ่อแม่ก็ฉลาดขึ้นไหม :) อาจจะฉลาดขึ้น แต่ไม่มากเท่ากับเด็ก   น้องต้าชอบกอดทุกคนในบ้าน เดี๋ยวก็กอดอาม่า เดี๋ยวก็กอดแม่ เดี๋ยวก็กอดพ่อ  เมื่อวานไปห้าง ก็ไปกอดพ่อต่อหน้าคนขายของ คนขายของก็บอกว่าขี้อ้อนมากเลยเด็กคนนี้)

4.  กินดี สมองดี กินอาหารครบ 5 หมู่  กินอาหารเช้า กินแป้งที่มีโมเลกุลซับซ้อน ลดอาหารหวาน

5.  8 ทักษะธรรมชาติพัฒนาสมอง  8 ทักษะนี้ได้แก่ สงสัย สำรวจ สัมผัส สืบค้น สรุปผล สร้างสรรค์ สื่อสาร สั่งสม   ทำให้ลูกเห็นว่า เมื่อสงสัย ต้องแสวงหาความรู้ แรงจูงใจที่สำคัญที่สุดคือความอยากรู้

6. เมื่อลูกเล่น สมองลูกกำลังแล่น การเล่นมีหลายวิธี ไม่ใช่แค่เล่นกับของเล่นเท่านั้น ลูกควรจะได้เล่นเพื่อปรับตัวเข้าหากัน (เล่นกับพ่อแม่ เล่นกับครู เล่นกับเพื่อน) ถ้าเด็กทะเลากัน อย่าเพิ่งเข้าไปแก้ปัญหาให้เด็ก ให้โอกาสเด็กได้ฝึกทักษะในการแก้ปัญหาเมื่อทะเลาะกับพื่อน  การเล่นอย่างอื่นที่มีประโยชน์ เช่น เล่นบทบาทสมมุติ เล่นเล่าเรื่อง  เล่นเคลื่อนไหวร่างกาย (เมื่อวานพ่อน้องต้าบอกน้องต้าเดินบนทราย เล่นโยนก้อนหินเป็นชั่วโมง)

7. อ่านสร้างสมอง การอ่านทำให้มีความรู้ มีแบบอย่างการใช้ชีวิต ทำให้เกิดควาอยากรู้ เกิดนิสัยรักการเรียนรู้ ถ้าลูกรักการอ่าน จะมีสิ่งดีๆ ตามมาในชีวิตลูก  (แม่น้องต้าจึงพยายามเอาหนังสือให้ลูกดูและอ่านบ่อยๆ  ถ้าน้องต้าโตขึ้น น้องต้าก็อ่านหนังสือไป แม่ก็ทำงานไป)

8. ศิลปะ สร้างสุนทรียะ สร้างสมอง  ศิลปะทำให้เด็กมีความไวในการรับรู้ การแสดงความคิดเห็น  เห็นความแตกต่างในความคิดของคน ทำให้เอาใจเขา มาใส่ใจเรา มีคุณธรรม มีความเป็นมนุษย์  ควรจะฝึกให้เด็กดู ทำและแสดง ดู วิจารณ์ และฟังการวิจารณ์ของเพื่อน

9.  ตัวโน๊ตสร้างทำนอง ดนตรีสร้างสมอง  ควรจะฝึกให้เด็กได้เคลื่อนไหวตามทำนองจังหวะดนตรี  ให้เด็กทั้งฟังและเล่น ซึ่งจะทำให้เกิดคลื่นแกมมา ซึ่งทำให้เด็กมีความจำ มีสมาธิ สามารถแยกแยะรูปทรงต่างๆ และให้เหตุผลได้ดี

10.  พลังกีฬา ยาดีต่อสมอง  ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีความมั่นใจ ลดความเครียด  ทำให้เกิด NGT (Nerve Growth Factor) ทำให้เด็กเคารพในกฎ กติกา

ต้าและครอบครัวที่ร้านรูปที่ดูไป

ม.ค. 15

วันจันทร์ที่ผ่านมาไปทานข้าวที่ร้านอาหารประไพร มองไปมองมา เห็นน้องต้ายกมือไหว้ เลยงงว่าน้องต้าไหว้ใคร หันไปดูทิศทางที่น้องต้าไหว้ จึงเห็นว่าน้องต้าไหว้รูปหลวงปู่ไข่ที่ร้านอาหารนั้น น้องต้าชอบไหว้พระ เห็นเจ้าแม่กวนอิมที่บ้านก็ไหว้ เห็นรูปคุณตาทวดก็ไหว้ เห็นรูปพระก็ไหว้ เห็นรูปในหลวงก็ไหว้ เรื่องการไหว้นี้ ต้องขอบคุณอาม่าที่สอนน้องต้า เรื่องไหว้นี้เป็นเรื่องที่น้องต้าเชื่อและทำตามได้ง่ายที่สุด ตอนติดตามคุณพ่อน้องต้าไปนำเสนอผลงานที่ดูไบ พอน้องต้าได้ยินเสียงสวดมนต์ของชาวมุสลิม น้องต้าก็ยกมือไหว้ แต่น้องต้าไม่ค่อยไหว้คน ส่วนใหญ่มีแต่ไหว้พระทั้งพระในรูป และพระที่เดินให้เห็น

เรื่องที่ยากและกำลังคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรที่จะฝึกน้องต้าคือเรื่องพูด น้องต้าพูดได้แค่ 2-3 คำ เช่น นม และจ้ะ แต่ยังพูด พ่อ หม่า และ ม่าไม่ได้ หลายคนก็บอกว่าเด็กผู้ชายพูดช้า ให้รอจนถึง 2 ขวบก่อนแล้วค่อยดู หลายคนก็แนะนำว่าให้พูดช้าๆ และให้เค้ามองที่ปากเรา แต่น้องต้าไม่ยอมมองที่ปาก ตอนนี้คิดว่าจะเอาน้องต้าไปสถานที่เลี้ยงและส่งเสริมพัฒนาการเด็ก เช่น baby genius หรือ โรงเรียนสอนศิลปะในวันเสาร์หรืออาทิตย์

อีก 2 นิสัยที่อยากให้น้องต้าเลิกทำคือ การตี และ การโยน ตอนเค้าเล็กมาก คุณพ่อชอบตีเค้าเบาๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว และนั้นอาจทำให้เค้าชอบตี บอกให้เลิกตี เพราะทำให้คนถูกตีเจ็บ เค้าก็ยิ้มและหัวเราะ ตอนนี้พอเค้าตี เราก็เดินหนีจากเค้า ไม่อยากให้เค้าตีใครเลย

อีกอย่างหนึ่งก็คือเค้าชอบโยนของ ตอนนี้ถ้าเค้าโยนของ เราก็จะเก็บของนั้น ไม่ให้เค้าเล่น แต่ต่อไปก็จะพยายามอธิบายว่า การโยนของ จะทำให้ของเสีย

รูปที่ครอบครัวถ่ายหน้าตึก Burj Khalifa ซึ่งเป็นตึกที่สูงที่สุดในเดือนธันวาคม 2552
dubaiTrip

ต.ค. 31

น้องต้าเริ่มเดินได้เองตอนปลายเดือนตุลาคม น้องต้าเริ่มเดินได้ 2-3 ก้าวในวันแรกๆ หลังจากกลับจากแม่น้องต้าสอนวิชา Java Web Services ที่กรุงเทพในวันที่ 12-16 ตุลาคม  ในวันที่ 30 ตุลาคม น้องต้าก็เดินได้หลายก้าว เดินระหว่างแม่กับพ่อ ระหว่างแม่กับยาย   สาเหตุหนึ่งที่น้องต้าเดินได้ช้าคือเค้าชอบนั่งแล้วเอาเล่นอะไรด้วยมือมากกว่า เห็นอะไรก็จะสังเกตและทดลองจับ ทดลองเปิด ทดลองเขย่า อย่างเช่น เห็นรถคันใหญ่ เด็กคนอื่นก็ดูเฉยๆ  น้องต้าก็จะเดินให้จูงแขนดูรอบๆ แล้วเอามือไปแตะล้อ ให้อุ้มแตะตัวรถ เค้าทดลองเปิดปิดพัดลมเองจนเปิดปิดพัดลมเองได้  ชอบเล่นน้ำจนเสื้อผ้าเปียก  ตอนดื่มน้ำก็จะเอาปากเป่าน้ำให้เกิดเสียง

asTaWalks

มิ.ย. 13

เป็นเวลา 1 ปีแล้วที่ต้อมเป็นแม่น้องต้ามา  สิ่งหนึ่งที่ต้อมภูมิใจในฐานะที่เป็นแม่คือการให้แต่นมแม่กับน้องต้า  ตั้งแต่น้องต้าเกิดมา น้องต้ายังไม่เคยกินนมผสม น้องต้ากินแต่นมแม่มาตลอด  แต่การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายสำหรับแม่ทุกคน  สำหรับต้อมแล้ว การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่ต้อมฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆน้องต้าและต้อมผ่านอะไรมาเยอะ ช่วงแรกนม  ต้อมมาน้อยมาก น้อยจนน้องต้าตอนอยู่ รพ 10 วันเพราะน้ำหนักน้องต้าลดตลอดจนลดมากกว่า 10% ตัวก็เหลือง ส่องไฟแล้วส่องไฟอีก ได้ออกจาก รพ ตอนที่หมอเห็นว่านมเริ่มมามากพอและน้ำหนักน้องต้าเพิ่มขึ้น น้องต้าก็ร้องไห้เพราะหิวมาช่วงหนึ่ง ต้อมก็ไม่ได้นอนทั้งวันและคืนจนไม่สบาย เป็นไข้ การให้น้องต้าดูดนมเป็น 5-6 ชั่วโมงต่อครั้ง การทนฟังเสียงน้องต้าร้องไห้เวลาที่น้องต้าหิวแล้วนมไม่พอหรือมาน้อย  แล้วถ้าเป็นแบบนี้ ทำไมที่ผ่านมาต้อมพยายามที่จะให้แต่นมแม่ ไม่ให้นมผสม แล้วทำไมจึงไม่ให้นมผสมไปด้วยเลย เพราะว่าถ้าเริ่มให้นมผสมเมื่อไหร่ ลูกก็จะกินนมแม่น้อยลง และในที่สุดแม่ก็จะไม่มีนมแม่ให้ลูกกิน เริ่มตั้งแต่น้องต้าอายุประมาณ 9 เดือนก็ประสบปัญหาว่าน้องต้าจะเผลอกัดนมตอนเค้าหลับ และบางครั้งก็กัดเพราะมันเขี้ยว แต่ตอนนี้น้องต้าก็กัดน้อยลงแล้ว

ทำไมจึงอยากให้ลูกกินแต่นมแม่  เพราะข้อดีของนมแม่มีเยอะมาก นมแม่ เป็นอาหารที่วิเศษที่สุดของมนุษย์ เรามาดูข้อดีของนมแม่กัน

ประโยชน์สำหรับลูก

- เป็นน้ำนมที่สะอาดปราศจากเชื้อโรคร้าย

- อุดมสมบูรณ์ด้วยสารอาหารนานาชนิดที่เพียบพร้อมสำหรับการเจริญเติบโตของมนุษย์ โดยเฉพาะการเจริญเติบโตของสมอง

- มีภูมิต้านทานโรคจากแม่ จึงมีผลให้เกิดสุขภาพที่ดีแก่ลูกน้อย ช่วยให้ลูกน้อยแข็งแรง

- มีโอกาสติดเชื้อโรคต่ำกว่าการใช้นมผง

- ไม่มีการแพ้นมเหมือนการเลี้ยงลูกด้วยนมวัวอีกด้วย

- ทารกที่ดูดนมจากเต้านมของแม่นี้จะมีผลกระตุ้นพัฒนาการของฟันและขากรรไกรของเด็กที่ดีกว่าการดูดนมขวด

-ทารกมีความรู้สึกอบอุ่นทางใจจากแม่กอดสัมผัสลูกในเวลาที่ให้นม

ประโยชน์สำหรับแม่

- ช่วยให้ประหยัด สะดวก และรวดเร็วทันใจ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง เพราะไม่จำเป็นต้องเสียเงินในการซื้อหามา

- ไม่ต้องเตรียมขวดนมหลายๆ ใบ หลายๆ ขนาด

- ไม่ต้องเสียเวลาเตรียมน้ำสำหรับการชงนม เมื่อใดที่ทารกต้องการหรือหิวนม แม่ก็สามารถตอบสนองด้วยการป้อนนมให้กับลูกได้ทันทีและเพียงพอต่อความต้องการของลูกน้อยทุกเมื่อที่ลูกน้อยต้องการ

- ช่วยลดโอกาสการเป็นโรคมะเร็งในเต้านม มะเร็งในมดลูก

- ช่วยลดน้ำหนักของแม่

- แม่มีความรู้สึกดีที่ลูกจ้องหน้า เอามือมาเล่นหน้าตาของแม่ขณะดูดนม

จริงๆ แล้วที่น้องต้าได้กินนมแม่จนถึง 1 ขวบนั้น มีหลายคนที่มีส่วนทำให้น้องต้าได้กินนมแม่ ตั้งแต่ รพ ศรีนครินทร์ ขอนแก่น ซึ่งรณรงค์การให้นมแม่กับลูก  พอน้องต้าและต้อมออกจากห้องคลอด  พยาบาลก็เอาน้องต้ามาวางไว้บนหน้าอกต้อม เพื่อให้น้องต้าดูดนมและกระตุ้นให้นมมา  หมอหลายคน โดยเฉพาะหมอกุสุมาก็พยายามเข้ามาช่วยการแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งการจัดท่าให้นมที่ถูกต้อง และการปั๊มนมที่ถูกต้อง  พยาบาลหลายคนก็มาช่วยปลอบตอนน้องต้างอแง  คนที่สำคัญที่สุดก็คืออาม่าน้องต้าซึ่งอยู่กับต้อมตลอดที่ รพ และปลอบน้องต้าตอนน้องต้าร้องไห้  ช่วยทำให้ต้อมได้พักบ้าง  ถ้าไม่มีอาม่า น้องต้าคงไม่ได้กินนมแม่นาน และไม่เจริญเติบโตดีอย่างทุกวันนี้  กลับมาที่บ้าน อาม่าน้องต้าก็ทำอาหารสารพัดที่จะช่วยเพิ่มน้ำนม ทำงานบ้านสารพัดที่จะช่วยทำให้ต้อมได้พักผ่อน  พ่อน้องต้าก็ช่วยซักผ้าอ้อม ทำความสะอาดก้นน้องต้าเวลาน้องต้าอึ  อาบน้ำให้น้องต้า การที่แม่จะประสบความสำเร็จในการให้นมแม่ได้นั้น ต้องอาศัยการสนับสนุนจากคนรอบข้างทั้งทางกายและทางใจ   ตอนนี้น้องต้าก็เริ่มโตขึ้น ต้อมพยายามอ่านหนังสือให้น้องต้าทุกวัน เพราะอยากให้เค้าเป็นคนรักการอ่าน และจะพยายามสวดมนต์ให้เค้าฟัง  ให้เค้าสวัสดีและขอบคุณอาม่า  อยากให้น้องต้าเป็นคนดี   อยากให้เค้ารู้ซึ้งถึงความดีของคนอื่นที่ทำให้เค้า


พ.ค. 25

ช่วงวันที่ 13-16 พ.ค. ที่ผ่านมา ต้าไปเที่ยวภูเก็ตกับอาม่า คุณพ่อ และคุณแม่  คุณแม่ต้าได้ไปนำเสนอบทความ Developing Offline Web Applications ที่งานประชุมวิชาการ JCSSE 2009 ซึ่งจัดที่โรงแรม Laguna Beach Resort  ภูเก็ต ซึ่งคาราวานเพื่อนน้องต้าก็ได้ไปพักที่นั้น :)  ทุกคนชอบอาหารเช้าที่นั้นมากเพราะหลากหลายดี  ปกติแล้วค่าห้องพักจะประมาณ 4,600 บาทต่อคืน แต่ไปงานคราวนี้ จองในนามงาน พัก 3 คน เค้าคิด 2,700 บาทต่อคืน ซึ่งคุ้มทีเดียว    ไปกันหลายวันแต่หักวันเดินทาง ขอนแก่น-กรุงเทพ-ภูเก็ต ออกไป 2 วันก็เหลือวันที่ 14 ซึ่งคุณแม่ต้านำเสนอบทความและไปฟังบทความของคนอื่น จึงมีแต่วันที่ 15 ที่ได้ไปเที่ยวกัน  เริ่มแรกก็ไปเที่ยววัดฉลอง วัดหลวงปู่สุภา ดูตึกเก่าแถวถนนดีบุก จากนั้นก็ไปทานอาหารกลางวันที่แหลมหิน เพราะมีคนแนะนำมาว่าอาหารอร่อย และราคาไม่แพง  เมนูที่ทุกคนชอบคือผักเมี่ยงกุ้งเสียบ น้องต้าก็กินข้าวผัดหมูเกือบทุกมื้อ  ผลัดกันป้อนระหว่างอาม่าและคุณแม่น้องต้า หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จ ก็ไปที่จุดชมวิว ซึ่งจะเห็นทั้งหาดป่าตอง หาดกะตะ และหาดกะรน  จากนั้นก็ขับรถเข้าโรงแรมเกือบทุ่มหนึ่ง

การท่องเที่ยวครั้งนี้ต้าก็ไม่งอแงเท่าไหร่  จะงอแงก็เฉพาะตอนอยากกินนม  ซึ่งต้าก็ชอบกินนมแม่เป็นที่สุด :) การให้นมแม่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การเดินทางโดยมีลูกเล็กนั้นสะดวกมาก ไม่ต้องมีอุปกรณ์ในการชงนมหรือเก็บนมใดๆ =)ต้ากับแม่ต้อมบนเครื่องบิน

tacaravan09-05-14tamomgrandma09-05-15tagrandma09-05-14

เม.ย. 12

เนื่องจากแม่ของต้ามีอาชีพเป็นอาจารย์และต้าก็ยังกินนมแม่อยู่ ตอนกลางคืน ต้าจะกินนมแม่ก่อนแล้วค่อยหลับไปอย่างมีความสุข อาม่าน้องต้าบอกว่าแม่ต้าค้างคืนที่ไหนน้องต้าก็ต้องนอนด้วย แม่ต้าก็ยังคิดไม่ออกว่าต้าจะร้องไห้นานเท่าใดถ้าไม่ได้กินนมก่อนนอนหรือช่วงตื่นตอนกลางคืน ด้วยเหตุฉะนี้ ต้าจึงไ้ด้ไปไหนมาไหนกับแม่ต้าเวลาแม่ต้าออกไปทำงานนอกสถานที่  ที่แรกที่พักค้างคืนนอกขอนแก่น คือโรงแรมกฤษณ์ไทยแมนชั่น เป็นที่พักที่ราคาไม่แพงและอยู่ใกล้สยามพารากอนมาก  แม่ต้าจะต้องนำเสนอบทความเรื่องระบบบูรณาการสนเทศเวลาจริงใน IRPUSCon-01ในปลายเดือนมีนาคม 2552 เวลาต้าและแม่ต้าไปไหน ทั้งครอบครัวก็ยกขบวนไปกันทั้งหมด แต่ไปกรุงเทพคราวนี้มีน้าของต้าและลูกของน้าไปด้วย น้าต้าชื่ออี๊ภรณ์ และพี่ของต้าชื่อ เจ้ออม  อี๊ภรณ์และเจ้ออมมาเยี่ยมอาม้าน้องต้า และช่วยอุ้มและดูแลน้องต้าได้อย่างมาก  เจ้ออมไม่เคยไปกรุงเทพ แม่ต้าจึงชวนทั้งอี๊ภรณ์และเจ้ออมไปด้วย จากนั้นอี๊ภรณ์และเจ้ออมจึงกลับเชียงราย ซึ่งเจ้ออมก็จะไปเรียนพิเศษในวันถัดมา  ตอนที่ไปกรุงเทพต้าก็ได้เจออี๊ใจและครอบครัวและป้าแนนด้วย อี๊ใจให้เสื้อผ้าต้าหลายชุดในขณะที่ป้าแนนก็ให้ของเล่นชิ้นใหญ่ ขอบคุณครับ :) น้องต้ากับอี๊ภรณ์และเจ้ออม

การเดินทางครั้งที่ 2 ของน้องต้าเป็นการเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งก็คือประเทศลาว  แม่ต้าได้รับมอบหมายให้ไปช่วยสอนเรื่องการออกแบบระบบฐานข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าลาวผ่านความร่วมมือระหว่างการไฟฟ้าผลิตแห่งประเทศไทยและคณะวิศวกรรมศาสตร์ มข.  พ่อต้าและอาม่าก็ไปด้วย ได้ไปเวียงจันทร์   ต้าชอบกินข้าวต้มของโรงแรมที่เวียงจันทร์มาก กินได้เยอะ แม่ต้าก็เหนื่อยพอสมควรกับการสอน 2 วันเต็มและตอนกลางคืนก็อุ้มน้องต้าเป็นระยะๆ   ก่อนไปต้าก็ไปทำหนังสือเดินทางด้วย เพราะทุกคนจะต้องมีหนังสือเดินทางเวลาเดินทางระหว่างประเทศ ไม่เว้นแม้กระทั่งทารกอย่างต้า

เวลาเดินทาง ต้าก็ชอบกินนมแม่ และก็ได้แพ็คเอาอาหารและถุงนมแม่ใส่ไว้ในกระเป๋าเก็บความเย็นที่มี ice pack เพื่อให้เก็บความเย็นไว้นาน จากนั้นจึงค่อยนำไปเก็บไว้ที่ตู้เย็นในโรงแรม  ขนหม้อและอุปกรณ์ทำความสะอาดจาน ช้อน ส้อมไปด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าต้าไม่ท้องเสียระหว่างเดินทาง

น้องต้าบนตักแม่ในลาวกลุ่มเพื่อนน้องต้า

เม.ย. 06

เมื่อต้าอายุ 9 เดือน ฟันต้าก็เริ่มมีประมาณ 6 ซี่ ข้างบน 4 ซี่ ข้างล่าง 2 ซี่ แล้วต้าก็เริ่มกัดนมแม่ครับ :(  แม่ของต้าก็ทนเจ็บครับ ต้าเห็นแม่เมื่อไหร่ ก็มักจะอยากกินนม  แม่ให้กินจากขวด ต้าก็ไม่ยอมกิน  ตอนนี้แม่ต้าก็ทั้งสงสารตัวเองและสงสารตัวต้าเอง  แผลของแม่ก็ไม่หายสักที เพราะต้าก็ยังกินนมแม่อยู่เรื่อยๆ ถึงแม้อาม่าต้าจะพยายามป้อนข้าว ป้อนนมจากขวด ต้าก็ยังกินนมแม่แท้ๆ จากเต้าอยู่ดี  แม่ของต้าก็ยังอยากให้นมต้า  นมแม่มีประโยชน์ต่อลูกมาก ดังนั้น แม่ต้าก็พยายามที่จะให้นมแม่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้กับต้า  แม่ต้าก็บอกต้าแล้วว่าแม่เจ็บ อย่ากัด  อีกทั้งต้าก็มักจะชอบอ้าปากแคบๆ เวลาเอานมออกจากปาก ทำให้แผลไม่หายสักที  แต่แม่ต้าจะพยายามหาวิธีแก้ไขครับ หลากหลายวิธีที่แม่ๆ หลายท่านแนะนำเมื่อลูกกัดนมสามารถดูได้จาก ลูกกัดหัวนม แก้ไม่หายสักที ตอนนี้แม่ต้าก็ยังแก้ไม่หายครับ แต่จะพยายามต่อไปครับ

รูปผมตอนเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ครับ

ก.พ. 08

สวัสดีครับ ผมชื่อเด็กชายต้า ชนพัฒน์ สายแก้วครับ พ่อผมชื่อหงา แม่ผมชื่อต้อม ผมจึงชื่อต้า (ต้อม + หงา) ไงครับ 3 วันที่ผ่านมา พ่อแม่และอาม่าพาผมไปฉีดวัคซีนที่ รพ ศรีนครินทร์ครับ ผมหนัก 6.6 กิโลกรัม และสูง 59 เซนติเมตรครับ ผมเจ็บนิดหน่อยและเป็นไข้นิดๆ อยู่ 1 วันครับ

ตอน นี้ผมมีความสุขกับการปั่นจักรยานเวลาผมนอน แต่ผมไม่ชอบนั่งหรือนอนครับ ผมชอบให้คนอุ้มพาผมเดินครับ ผมโชคดีที่มีหลายคนช่วยเลี้ยงผมครับ นอกจากพ่อและแม่แล้ว ผมก็มีอาม่าจิตต์ที่ช่วยเลี้ยงผมครับ อาม่าชอบพูด “อังกู” ให้ผมฟังตั้งแต่ผมเกิด ผมจึงพูดคำนี้ได้ตั้งแต่ผมอายุ 2 เดือนกว่า ก่อนหน้านี้หน้าผมเป็นรอยเพราะผมชอบข่วนตัวเองและเล็บผมก็ยาวครับ ตอนแรกอาม่าใส่ถุงมือให้ผม ต่อมาคนบอกว่าใส่ถุงมือแล้วไม่ดีกับพัฒนาการ พ่อแม่ และอาม่าจึงไม่ใส่ถุงมือให้ผม ผมก็เลยเอาเล็บคมๆ มาข่วนหน้าตนเอง พ่อและแม่ผมจึงพยายามตัดเล็บให้ผมบ่อยขึ้นครับ แล้วค่อยคุยกันใหม่นะครับ ผมเอารูปมาฝากครับ เป็นรูปที่ผมหลับอย่างมีความสุขครับ ta 4 months

ข้อคิดที่ได้จากบันทึกนี้สำหรับพ่อแม่มือใหม่คือ ไม่ควรใส่ถุงมือให้ลูก แต่ควรตัดเล็บและใช้ตะไบลดความคมของเล็บลูกเพื่อให้ลูกฝึกการใช้มือและไม่ข่วนตัวเองแล้วเป็นแผล

ก.พ. 08

บันทึกนี้ตั้งใจจะเขียนนานแล้ว แต่มีงานเตรียมสอนและงานเลี้ยงลูกเข้ามาก่อนเสมอ ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีเพราะลูกกำลังหลับอยู่ ส่วนเตรียมสอนก็ยังมีเวลาอีก 1 วันเพราะพรุ่งนี้เป็นวันมาฆบูชา

สืบจากการที่เข้าไปอ่านบันทึกของคุณตฤณซึ่งได้เขียนอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่ได้สอนในมหาวิทยาลัย จึงคิดว่าคงจะเป็นประโยชน์กับนักศึกษาไม่น้อยหากเชิญคุณตฤณไปพูดให้นักศึกษาฟัง   ซึ่งคุณตฤณก็ได้ทำสรุปเกี่ยวกับบันทึกของตนไว้ที่ เก็บตกส่งท้ายที่ขอนแก่น แล้วคุณตฤณก็ได้รับเชิญจาก อ แป๋ว ให้ไปแลกเปลี่ยนกับนักศึกษาคณะเกษตรศาสตร์ มข และบันทึกไว้ที่ AAR การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่สวนป่า

บันทึกนี้พยายามจะไม่เขียนซ้ำกับที่คุณตฤณพูดไว้แล้วที่บันทึกของคุณตฤณ จะขอสรุปแง่คิดเป็นข้อๆ ดังนี้

1) ชีวิตที่เจริญได้ดีงามและรวดเร็วเกิดจากการมีกัลยาณมิตร จากการฟังที่คุณตฤณพูด ก็พบว่าคุณตฤณเป็นคนโชคดีมีครอบครัวและสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้คุณตฤณมีการเรียนรู้ในสิ่งที่คุณตฤณอยากรู้  โดยเฉพาะคุณพ่อจะสนับสนุนคุณตฤณเต็มที่ในการศึกษาเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ซื้อหนังสือภาษาอังกฤษให้อ่าน  ซื้อเครื่องคิดเลขที่สามารถเขียนโปรแกรมได้

ณตฤณรู้ตัวเองดีว่าตัวเองไม่ชอบวิชาชีววิทยา แต่ก็เลือกเรียนกับพวกที่อยากเรียนแพทย์ เพื่อจะได้มีเพื่อนที่เรียนเก่งและตั้งใจเรียน อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี  แต่ดร็อปวิชาพวกชีววิทยาไว้

2) กล้าในสิ่งที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์กับสังคม ในขณะที่คุณตฤณทำงานให้กับบริษัทคอมพิวเตอร์ชั้นนำของต่างชาติ คุณตฤณก็กล้าที่จะพูดว่าการรับรองสนับสนุนภาษาไทยยังไม่มี  ซึ่งทำให้เกิดการสนับสนุนทำให้ใช้ภาษาไทยได้  และคุณตฤณมีส่วนช่วยทำให้เนคเทคช่วยพัฒนาระบบเครือข่ายในประเทศไทยให้มีการแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว

3) ยิ่งเราทำดีมากเท่าไหร่ ผลดีนั้นก็ยิ่งกลับมาหาเรามาก ในขณะที่คนส่วนใหญ่นอนหลับในตอนกลางคืน คุณตฤณก็ใช้เวลาในตอนกลางคืนทำงาน เพราะต้องทำงานกับต่างชาติ และช่วงที่ช่วยสร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้กับประเทศไทยนั้น เวลาทำงานในตอนกลางคืนก็เหมาะสมที่สุด เพราะคนยังไม่ค่อยใช้แบนด์วิดธ์กัน และทำให้ปรับปรุงระบบโดยไม่กระทบกับคนหมู่มาก  ความพยายามและเวลาที่คุณตฤณทุ่มเทไปในฐานะอาสาสมัครที่ช่วยเนคเทคซึ่งคุณตฤณทำด้วยความบริสุทธิ์ใจนั้นกลายเป็นโอกาสทำให้คุณตฤณเป็นผู้บริหารของบริษัทแรกของคนไทยที่ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

4)  การมีคนที่มีจิตอาสา เห็นแก่ประโยชน์ของสังคมจะทำให้สังคมเราน่าอยู่มากขึ้น นอกจากคุณตฤณมีจิตอาสาที่จะช่วยพัฒนาระบบเครือข่ายของประเทศไทยแล้ว คุณตฤณก็ช่วยทำให้คนที่ประสบภัยสึนามิและญาติของผู้ประสบภัยสึนามิโดยการรวบรวมข้อมูลของผู้ประสบภัยทำให้ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็ว และเป็นที่มาของโครงการ OpenCare

นอกจากนี้คุณตฤณมาพูดที่วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มข โดยไม่รับเงินสักบาท คุณตฤณบอกว่า การศึกษาเป็นการลงทุนของประเทศชาติ  คุณตฤณอยากมีส่วนช่วยตรงนี้  ค่าเดินทางก็ไม่รับ ค่าที่พักก็ไม่รับ และค่าวิทยากรก็ไม่รับ  และไม่รับเลี้ยงอาหารด้วย เพราะคุณตฤณมีคิวจองที่เพื่อนชาวเฮหลายคนอยากเลี้ยงข้าวและทานข้าวกับคุณตฤณด้วย  ถ้าประเทศไทยมีนักธุรกิจที่เห็นแก่ประโยชน์ของสังคม เห็นความสำคัญของการศึกษามากๆ  ประเทศไทยอาจจะเจริญกว่าสิงคโปร์

ต้อมเองรู้สึกโชคดีที่ได้รู้จักคุณตฤณและที่ได้รับความกรุณาจากคุณตฤณในการเสียสละเวลาและเงินในการมาพูดให้นักศึกษาฟัง  ต้อมก็หวังว่าจะมีโอกาสได้เจอและแลกเปลี่ยน ฟังประสบการณ์จากคุณตฤณอีก

ก.พ. 01

โลกนี้จะเป็นอย่างไรถ้าหากว่าข้าราชการหรือพนักงานของรัฐทำงานโดยไม่ต้องทำรายงานว่าตัวเองทำอะไรไปแล้วบ้าง  และทำงานเพื่อประโยชน์ของคนรับบริการอย่างเดียว  โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะตรงกับ KPI หรือจะได้รับรางวัลหรือไม่

ที่ผ่านมา พอถึงเวลาที่คณะบอกว่าต้องส่งรายงานเพื่อรับค่าตอบแทนพิเศษ หรือเพื่อรับการประเมินว่าจะได้รับการพิจารณาให้ทำงานต่อไปหรือไม่  เสียเวลาทำรายงานนานมากมากจนคิดว่า น่าจะเอาเวลานั้นไปทำงานมากกว่า แล้วก็คิดว่า ยิ่งทำมาก ก็ยิ่งมาทำรายงานนานมากอีก

ข้อมูลที่เคยกรอก ก็ต้องกรอกแล้วกรอกอีก ทำให้ได้โครงการศึกษาด้วยตนเองให้นักศึกษาปริญญาโทได้หัวข้อหนึ่งว่า  ข้อมูลที่เคยกรอกลงไปในระบบ ให้ดึงออกมาใช้ได้เลย ไม่ต้องมาทำการคัดลอก (copy), วาง (paste), และตัดต่อรูปแบบของข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่แต่ละฝ่ายต้องการแตกต่างกัน

งานก็มีอยู่เยอะแยะ  งานบางงานทำแล้วจะทำให้ตัวเองได้คะแนน หรือมีผลทำให้ได้รางวัล แต่งานบางงาน เช่นตรวจรายงานของโครงการนักศึกษาอย่างละเอียด เพื่อให้นักศึกษาไ้ด้ปรับปรุงการเขียนให้ถูกต้องตามภาษาไทย  ใช้เวลานานมาก  แต่ถ้าหากพิจารณาดูแล้ว งานในส่วนนี้ไม่ได้มีผลต่อการประเมินตนเองเท่าไหร่  ถ้าอาจารย์ทุกคนคิดแต่จะทำงานเพื่อเป็นผลดีต่อการประเมินตนเองเท่านั้น ก็คงผิดหลักของการเป็นอาจารย์  อาจารย์น่าจะทำงานเพื่อช่วยพัฒนาความรู้ ความสามารถและคุณธรรมของลูกศิษย์มากกว่า

โลกนี้จะเป็นอย่างไรถ้านักศึกษาไม่ต้องสอบ  เรียนเพราะอยากรู้ ทำเพราะอยากทำเป็น ไม่ต้องมีคะแนนมาบังคับ  ไม่ต้องมีการแจกใบปริญญาเมื่อเรียนจบ  แต่เมื่อเรียนจบแล้ว ก็สามารถทำงานได้เลย  และมีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง

ใจจริงแล้ว ก็อยากเป็นอาจารย์ที่ไม่ต้องเช็คชื่อนักศึกษาตอนเข้าเรียน  แต่ถ้าไม่เช็คชื่อ นักศึกษาก็มักไม่เข้าเรียน นักศึกษาบางคนเข้าเรียนก็มาแต่กาย ใจอยู่ที่อื่น  ก็ต้องพยายามถามนักศึกษา  พยายามกระตุ้นให้นักศึกษาสนใจในสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่   อยากให้นักศึกษาทำงานได้จริงตอนจบ ก็พยายามหาการบ้านหรืองานให้เขาฝึกหัดทำ  เราเองก็ต้องทำให้ได้ก่อน  ก็ต้องเสียเวลาศึกษา ทดลอง และแก้ไขปัญหางานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ไม่มีเฉลยในตำราหรือหนังสือใด  มีแต่การค้นหาความรู้่จากอินเทอร์เน็ต และพยายามแก้ไขปัญหาหรือข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น จากการตั้งสมมุติฐานและพิจารณาแนวทางแก้ปัญหาเอง  ถ้าบอกให้นักศึกษาทำ แต่ไม่ได้บอกว่า ทำไปแล้ว จะมีคะแนน ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีนักศึกษากี่คนที่ทำ  ก็ต้องบอกว่ามีคะแนนนะ

โลกนี้ในยุคปัจจุบัน ความรู้และเทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว  อยากให้นักศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเองได้  ไม่ใช่คอยถามเพื่อนหรือคนอื่นอย่างเดียว  อยากให้เขาพึงพาตนเองได้  เขาจะรู้บ้างไหมว่า เขาควรจะฝึกฝนตนเองบ่อยๆ และเยอะๆ  โลกข้างหน้าไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดถ้าเขาไม่มีทักษะในการเรียนรู้ด้วยตนเอง

เขียนตามจินตนาการแค่นี้ก่อนนะ  ต้องกลับเขียนรายงานหลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อสนับสนุนการประิเมินผลการปฏิบัติงานของตนเองก่อนแล้ว  ไม่ได้เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกที่บล็อกนี้ตั้งใจจะเขียนถึงเท่าไหร่  แต่ก็เกี่ยวบ้างว่าทำให้มีเวลาในการดูลูกน้อยลง โชคดีที่มีแม่ของต้อมช่วยดูลูกให้อยู่