ก.พ. 08
สวัสดีครับ ผมชื่อเด็กชายต้า ชนพัฒน์ สายแก้วครับ พ่อผมชื่อหงา แม่ผมชื่อต้อม ผมจึงชื่อต้า (ต้อม + หงา) ไงครับ 3 วันที่ผ่านมา พ่อแม่และอาม่าพาผมไปฉีดวัคซีนที่ รพ ศรีนครินทร์ครับ ผมหนัก 6.6 กิโลกรัม และสูง 59 เซนติเมตรครับ ผมเจ็บนิดหน่อยและเป็นไข้นิดๆ อยู่ 1 วันครับ
ตอน นี้ผมมีความสุขกับการปั่นจักรยานเวลาผมนอน แต่ผมไม่ชอบนั่งหรือนอนครับ ผมชอบให้คนอุ้มพาผมเดินครับ ผมโชคดีที่มีหลายคนช่วยเลี้ยงผมครับ นอกจากพ่อและแม่แล้ว ผมก็มีอาม่าจิตต์ที่ช่วยเลี้ยงผมครับ อาม่าชอบพูด “อังกู” ให้ผมฟังตั้งแต่ผมเกิด ผมจึงพูดคำนี้ได้ตั้งแต่ผมอายุ 2 เดือนกว่า ก่อนหน้านี้หน้าผมเป็นรอยเพราะผมชอบข่วนตัวเองและเล็บผมก็ยาวครับ ตอนแรกอาม่าใส่ถุงมือให้ผม ต่อมาคนบอกว่าใส่ถุงมือแล้วไม่ดีกับพัฒนาการ พ่อแม่ และอาม่าจึงไม่ใส่ถุงมือให้ผม ผมก็เลยเอาเล็บคมๆ มาข่วนหน้าตนเอง พ่อและแม่ผมจึงพยายามตัดเล็บให้ผมบ่อยขึ้นครับ แล้วค่อยคุยกันใหม่นะครับ ผมเอารูปมาฝากครับ เป็นรูปที่ผมหลับอย่างมีความสุขครับ
ข้อคิดที่ได้จากบันทึกนี้สำหรับพ่อแม่มือใหม่คือ ไม่ควรใส่ถุงมือให้ลูก แต่ควรตัดเล็บและใช้ตะไบลดความคมของเล็บลูกเพื่อให้ลูกฝึกการใช้มือและไม่ข่วนตัวเองแล้วเป็นแผล
ก.พ. 08
บันทึกนี้ตั้งใจจะเขียนนานแล้ว แต่มีงานเตรียมสอนและงานเลี้ยงลูกเข้ามาก่อนเสมอ ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีเพราะลูกกำลังหลับอยู่ ส่วนเตรียมสอนก็ยังมีเวลาอีก 1 วันเพราะพรุ่งนี้เป็นวันมาฆบูชา
สืบจากการที่เข้าไปอ่านบันทึกของคุณตฤณซึ่งได้เขียนอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่ได้สอนในมหาวิทยาลัย จึงคิดว่าคงจะเป็นประโยชน์กับนักศึกษาไม่น้อยหากเชิญคุณตฤณไปพูดให้นักศึกษาฟัง ซึ่งคุณตฤณก็ได้ทำสรุปเกี่ยวกับบันทึกของตนไว้ที่ เก็บตกส่งท้ายที่ขอนแก่น แล้วคุณตฤณก็ได้รับเชิญจาก อ แป๋ว ให้ไปแลกเปลี่ยนกับนักศึกษาคณะเกษตรศาสตร์ มข และบันทึกไว้ที่ AAR การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่สวนป่า
บันทึกนี้พยายามจะไม่เขียนซ้ำกับที่คุณตฤณพูดไว้แล้วที่บันทึกของคุณตฤณ จะขอสรุปแง่คิดเป็นข้อๆ ดังนี้
1) ชีวิตที่เจริญได้ดีงามและรวดเร็วเกิดจากการมีกัลยาณมิตร จากการฟังที่คุณตฤณพูด ก็พบว่าคุณตฤณเป็นคนโชคดีมีครอบครัวและสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้คุณตฤณมีการเรียนรู้ในสิ่งที่คุณตฤณอยากรู้ โดยเฉพาะคุณพ่อจะสนับสนุนคุณตฤณเต็มที่ในการศึกษาเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ซื้อหนังสือภาษาอังกฤษให้อ่าน ซื้อเครื่องคิดเลขที่สามารถเขียนโปรแกรมได้
ณตฤณรู้ตัวเองดีว่าตัวเองไม่ชอบวิชาชีววิทยา แต่ก็เลือกเรียนกับพวกที่อยากเรียนแพทย์ เพื่อจะได้มีเพื่อนที่เรียนเก่งและตั้งใจเรียน อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี แต่ดร็อปวิชาพวกชีววิทยาไว้
2) กล้าในสิ่งที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์กับสังคม ในขณะที่คุณตฤณทำงานให้กับบริษัทคอมพิวเตอร์ชั้นนำของต่างชาติ คุณตฤณก็กล้าที่จะพูดว่าการรับรองสนับสนุนภาษาไทยยังไม่มี ซึ่งทำให้เกิดการสนับสนุนทำให้ใช้ภาษาไทยได้ และคุณตฤณมีส่วนช่วยทำให้เนคเทคช่วยพัฒนาระบบเครือข่ายในประเทศไทยให้มีการแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว
3) ยิ่งเราทำดีมากเท่าไหร่ ผลดีนั้นก็ยิ่งกลับมาหาเรามาก ในขณะที่คนส่วนใหญ่นอนหลับในตอนกลางคืน คุณตฤณก็ใช้เวลาในตอนกลางคืนทำงาน เพราะต้องทำงานกับต่างชาติ และช่วงที่ช่วยสร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้กับประเทศไทยนั้น เวลาทำงานในตอนกลางคืนก็เหมาะสมที่สุด เพราะคนยังไม่ค่อยใช้แบนด์วิดธ์กัน และทำให้ปรับปรุงระบบโดยไม่กระทบกับคนหมู่มาก ความพยายามและเวลาที่คุณตฤณทุ่มเทไปในฐานะอาสาสมัครที่ช่วยเนคเทคซึ่งคุณตฤณทำด้วยความบริสุทธิ์ใจนั้นกลายเป็นโอกาสทำให้คุณตฤณเป็นผู้บริหารของบริษัทแรกของคนไทยที่ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
4) การมีคนที่มีจิตอาสา เห็นแก่ประโยชน์ของสังคมจะทำให้สังคมเราน่าอยู่มากขึ้น นอกจากคุณตฤณมีจิตอาสาที่จะช่วยพัฒนาระบบเครือข่ายของประเทศไทยแล้ว คุณตฤณก็ช่วยทำให้คนที่ประสบภัยสึนามิและญาติของผู้ประสบภัยสึนามิโดยการรวบรวมข้อมูลของผู้ประสบภัยทำให้ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็ว และเป็นที่มาของโครงการ OpenCare
นอกจากนี้คุณตฤณมาพูดที่วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มข โดยไม่รับเงินสักบาท คุณตฤณบอกว่า การศึกษาเป็นการลงทุนของประเทศชาติ คุณตฤณอยากมีส่วนช่วยตรงนี้ ค่าเดินทางก็ไม่รับ ค่าที่พักก็ไม่รับ และค่าวิทยากรก็ไม่รับ และไม่รับเลี้ยงอาหารด้วย เพราะคุณตฤณมีคิวจองที่เพื่อนชาวเฮหลายคนอยากเลี้ยงข้าวและทานข้าวกับคุณตฤณด้วย ถ้าประเทศไทยมีนักธุรกิจที่เห็นแก่ประโยชน์ของสังคม เห็นความสำคัญของการศึกษามากๆ ประเทศไทยอาจจะเจริญกว่าสิงคโปร์
ต้อมเองรู้สึกโชคดีที่ได้รู้จักคุณตฤณและที่ได้รับความกรุณาจากคุณตฤณในการเสียสละเวลาและเงินในการมาพูดให้นักศึกษาฟัง ต้อมก็หวังว่าจะมีโอกาสได้เจอและแลกเปลี่ยน ฟังประสบการณ์จากคุณตฤณอีก
ก.พ. 01
โลกนี้จะเป็นอย่างไรถ้าหากว่าข้าราชการหรือพนักงานของรัฐทำงานโดยไม่ต้องทำรายงานว่าตัวเองทำอะไรไปแล้วบ้าง และทำงานเพื่อประโยชน์ของคนรับบริการอย่างเดียว โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะตรงกับ KPI หรือจะได้รับรางวัลหรือไม่
ที่ผ่านมา พอถึงเวลาที่คณะบอกว่าต้องส่งรายงานเพื่อรับค่าตอบแทนพิเศษ หรือเพื่อรับการประเมินว่าจะได้รับการพิจารณาให้ทำงานต่อไปหรือไม่ เสียเวลาทำรายงานนานมากมากจนคิดว่า น่าจะเอาเวลานั้นไปทำงานมากกว่า แล้วก็คิดว่า ยิ่งทำมาก ก็ยิ่งมาทำรายงานนานมากอีก
ข้อมูลที่เคยกรอก ก็ต้องกรอกแล้วกรอกอีก ทำให้ได้โครงการศึกษาด้วยตนเองให้นักศึกษาปริญญาโทได้หัวข้อหนึ่งว่า ข้อมูลที่เคยกรอกลงไปในระบบ ให้ดึงออกมาใช้ได้เลย ไม่ต้องมาทำการคัดลอก (copy), วาง (paste), และตัดต่อรูปแบบของข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่แต่ละฝ่ายต้องการแตกต่างกัน
งานก็มีอยู่เยอะแยะ งานบางงานทำแล้วจะทำให้ตัวเองได้คะแนน หรือมีผลทำให้ได้รางวัล แต่งานบางงาน เช่นตรวจรายงานของโครงการนักศึกษาอย่างละเอียด เพื่อให้นักศึกษาไ้ด้ปรับปรุงการเขียนให้ถูกต้องตามภาษาไทย ใช้เวลานานมาก แต่ถ้าหากพิจารณาดูแล้ว งานในส่วนนี้ไม่ได้มีผลต่อการประเมินตนเองเท่าไหร่ ถ้าอาจารย์ทุกคนคิดแต่จะทำงานเพื่อเป็นผลดีต่อการประเมินตนเองเท่านั้น ก็คงผิดหลักของการเป็นอาจารย์ อาจารย์น่าจะทำงานเพื่อช่วยพัฒนาความรู้ ความสามารถและคุณธรรมของลูกศิษย์มากกว่า
โลกนี้จะเป็นอย่างไรถ้านักศึกษาไม่ต้องสอบ เรียนเพราะอยากรู้ ทำเพราะอยากทำเป็น ไม่ต้องมีคะแนนมาบังคับ ไม่ต้องมีการแจกใบปริญญาเมื่อเรียนจบ แต่เมื่อเรียนจบแล้ว ก็สามารถทำงานได้เลย และมีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ใจจริงแล้ว ก็อยากเป็นอาจารย์ที่ไม่ต้องเช็คชื่อนักศึกษาตอนเข้าเรียน แต่ถ้าไม่เช็คชื่อ นักศึกษาก็มักไม่เข้าเรียน นักศึกษาบางคนเข้าเรียนก็มาแต่กาย ใจอยู่ที่อื่น ก็ต้องพยายามถามนักศึกษา พยายามกระตุ้นให้นักศึกษาสนใจในสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่ อยากให้นักศึกษาทำงานได้จริงตอนจบ ก็พยายามหาการบ้านหรืองานให้เขาฝึกหัดทำ เราเองก็ต้องทำให้ได้ก่อน ก็ต้องเสียเวลาศึกษา ทดลอง และแก้ไขปัญหางานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ไม่มีเฉลยในตำราหรือหนังสือใด มีแต่การค้นหาความรู้่จากอินเทอร์เน็ต และพยายามแก้ไขปัญหาหรือข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น จากการตั้งสมมุติฐานและพิจารณาแนวทางแก้ปัญหาเอง ถ้าบอกให้นักศึกษาทำ แต่ไม่ได้บอกว่า ทำไปแล้ว จะมีคะแนน ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีนักศึกษากี่คนที่ทำ ก็ต้องบอกว่ามีคะแนนนะ
โลกนี้ในยุคปัจจุบัน ความรู้และเทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว อยากให้นักศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเองได้ ไม่ใช่คอยถามเพื่อนหรือคนอื่นอย่างเดียว อยากให้เขาพึงพาตนเองได้ เขาจะรู้บ้างไหมว่า เขาควรจะฝึกฝนตนเองบ่อยๆ และเยอะๆ โลกข้างหน้าไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดถ้าเขาไม่มีทักษะในการเรียนรู้ด้วยตนเอง
เขียนตามจินตนาการแค่นี้ก่อนนะ ต้องกลับเขียนรายงานหลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อสนับสนุนการประิเมินผลการปฏิบัติงานของตนเองก่อนแล้ว ไม่ได้เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกที่บล็อกนี้ตั้งใจจะเขียนถึงเท่าไหร่ แต่ก็เกี่ยวบ้างว่าทำให้มีเวลาในการดูลูกน้อยลง โชคดีที่มีแม่ของต้อมช่วยดูลูกให้อยู่