เจ้าเป็นไผ โดย คนไร้กรอบ
อ่าน: 5299เจ้าเป็นไผ ….
บันทึก(ไม่ลับ)จากคนไร้กรอบ
ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้เชิญให้มาร่วมเขียนในหนังสือเล่มนี้ ขอกราบขอบพระคุณครูบา ฯ ด้วยความเคารพรัก และ ขอขอบคุณชาวเฮฮาศาสตร์ทุกท่าน
ผมก็เป็นเด็กบ้านนอกเกิดที่ สุโขทัย ตอนเกิดมา คงปวดฉี่มาก คุณแม่บอกว่า ออกมาก็พุ่งฉี่ใส่หน้าคุณพยาบาลเลย ฮ่า ๆๆๆ
เกิดได้ ๒ ปี ก็โชคดี ครอบครัวล้มละลาย คุณพ่อไปประกันให้เพื่อน แล้วโดนเพื่อนทำสะแทบจะต้องฆ่าตัวตาย ระหกระเหินหนี มาอยู่ หมู่บ้านเศรษฐกิจ หมู่บ้านจัดสรรแห่งแรกของประเทศไทย ที่ฝั่งธนบุรี
พ่อแม่เปลี่ยนศาสนาไปเป็นคาธอลิก ผมก็ต้องเข้าโรงเรียนคาธอลิก อย่างแบบเด็กยากจน
พ่อแม่จนมาก แม่ออกไปหาบข้าวหมากขายที่ตลาดบางแค พ่อขายโอเลี้ยงหน้าประตูโรงเรียน พี่สาวคนโตไม่เรียนต่อ เพราะ ต้องออกมาขายข้าวแกง เลี้ยงน้องๆ ๔ คน
เข้าเรียนโรงเรียนอนุบาล ก็โดนครูตี เพราะ ไปบอกครูสาวว่า “ไม่สวย” นอนดิ้นพาดๆ ไม่ขอกินข้าว …
โห อะไรมันจะขนาดนั้น
ผมได้ เรียน ครึ่งราคา ที่ รร อัสสัมชัญ ธนบุรี ผมได้เรียนในห้องเรียนแบบ “ชายเซ็นเตอร์” เป็นรุ่นแรก เพราะ ท่านบราเดอร์อธิการวิศิษย์ ศรีวิชัยรัตน์ ท่านกำลังร้อนวิชา เรียนโทเรื่องนี้อยู่ที่ประสานมิตร
ผลปรากฏว่า รุ่นผม แสดงฝีมือ สไตรค์ไม่เข้าห้องเรียน ประท้วงครูที่สอนแบบเผด็จการ ผมสมัยนั้น ไม่ใช่ หัวโจกนะครับ ตอนเล็กๆ เรียบร้อย พูดไม่เก่ง อ่านหนังสือเยอะมาก
ผมอ่าน จิตวิทยาจบตั้งแต่ปอเจ็ด (มอหนึ่ง สมัยนี้) มีวันหนึ่ง ครูตีเพื่อนผม ผมก็บอกครูว่า “ครูน่าจะใช้หลักจิตวิทยานะครับ” … ครูมองหน้าเลยครับ
มานั่งดูอดีต เราเป็นใครเนี่ย ทำไม ผ่านชีวิตประหลาดๆแบบนี้หว่า
นึกถึงสมัยก่อน จนมาก บางวัน ทานข้าวต้มกับน้ำปลา ก็มีครับ ถ้าของหายในโรงเรียน ทั้งห้องจะโทษว่าผมเป็นคนเอาไป เพราะ บรรดาเพื่อนลูกเศรษฐี เชื่อว่า “คนจนต้องเป็นโจร”
บางที พ่อแม่ จ่ายค่าเทอมไม่ทัน ฝ่ายบัญชีของโรงเรียน เขาจะประกาศชื่อคนไม่จ่ายค่าเทอม ออกอากาศทางไมโครโฟน ดังลั่นไปทุกห้อง ทุกวัน จนกว่า พ่อแม่จะเอาเงินมาจ่าย … สมัยนั้น เล่นกันหนักแบบนี้เลย
โชคดีเรียนพอใช้ได้ สอบเข้า วิทยาศาสตร์ จุฬา ฯ แบบไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คณะนี้ จบไปแล้ว จะทำมาหากินอะไรได้ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว เรียนจนจบ เคมีเทคนิค
ประคองตัว ให้เกรด บี และ ซี เท่าๆกัน เรียนไป สนุกสนานไป เปิดโลก ผจญภัย เข้าชมรมต่างๆมากมาย จนสาวๆ ที่ผมหมายปอง เธอแซวว่า “วรภัทร์ เธอคนเป็นคนไม่มีจุดยืน”
โชคดี พ่อแม่ ฐานะดีขึ้นโดยลำดับ
ผมไปฝึกงาน ตอนปีสาม ผมเริ่มขึ้น เรียนมาสายวิศวกรรมเคมี แบบนี้ จบออกไป ทำงานอะไรหว่า ดูรุ่นพี่ๆ หนีไม่พ้น ดักดานในโรงงานแน่ๆ ทำงานกินเงินเดือน เป็นขี้ข้าเถ้าแกโรงงาน ผมค้นพบตนเอง ข้อที่หนึ่ง ” มีเจ้านายไม่ได้ ” ขอดิ้นรน หนีไปอเมริกาดีกว่า ผมตั้งเป้าขอไปอยู่อเมริกาตลอดชีวิต บายบาย…ประเทศไทย โกงกินกันสะขนาดนี้ เผ่นดีกว่า
บอกพ่อแม่ว่า อะไรก็ไม่เอา ขอเงินก้อนหนึ่ง ไปเมืองนอกดีกว่า ขอเลียนแบบคุณปู่ ที่มาจากเมืองจีน เสื่อผืน หมอนใบ ยังเอาตัวรอดในเมืองไทยได้เลย ขอผมไปเผชิญโชคที่อเมริกา
คุณแม่ให้ เงินมาแค่ ๓๐๐๐ ดอลล่าร์ เท่านั้นเอง พอสำหรับ ค่าเครื่องบินขาไป และเรียน เทอมหนึ่งเท่านั้น แต่ผมก็ต้องไป …. ค้นพบตนเองข้อที่สอง “มุ่งมั่น แบบกระทิงจริงๆ”
โชคดี ได้ I-20 ไปเรียนอะไรก็ช่าง ขอลุยไปก่อน เหินฟ้าไปเรียนที่ มหาวิทยาลัยเล็กๆ ที่มลรัฐโอไฮโอ (Youngstown State University) เกรด แค่ 2.62 ได้ เรียนก็บุญแล้วครับ
บุญหล่นทับ ดันตั้งใจเรียน ไม่มีกิจกรรม ดันเรียนได้ เจ๋ง เพราะ เพื่อนร่วมรุ่นไม่เก่งนั้นเอง แถม รักครูอินเดียที่ปรึกษามาก ช่วยท่านทำงานในห้องแล็ป (Laboratory) โห … ได้ทุนเรียนฟรี แถมมีเงินเดือนด้วย เป็นผู้ช่วนสอน สอนนิสิตปีหนึ่ง …. ว้าว
กระเหรี่ยงอย่างผม ได้สอนผิวขาว ผิวดำ แขก จีน เต็มห้อง มันส์ จริงๆ
ก่อนจะจบ อาจารย์อินเดีย ท่านไปติดต่อ NASA และ ดัน เข้าไปทำงานที่ NASA แบบช็อคโลก เขามารับไปที่ ออฟฟิศ NASA สัมภาษณ์ และ ให้ติดสินใจเดี๋ยวนั้นเลยว่า จะทำงานไหม ชี้โต๊ะให้ดูด้วย นั่งตรงนี้ เจ้านายคือคนนี้ ได้เงินเท่านี้ แต่ ต้องเรียนปริญญาเอกที่ มหาวิทยลัย Cleveland State University นะ ทำวิจัยเรื่องนี้ ใช้อาจารย์ที่ปรึกษาคนนี้ … โห เจอแบบนี้ เอาก็เอา เข้าเป้าเราเลย
ทำงาน NASA อยู่ 4 ปี โชคดี บุญเก่าส่งมา ดันไปได้รางวัล The Best Paper Award จากการประชุมวิชาการด้านเครื่องยนต์ไอพ่นนานาชาติ เฉยเลย มั่วๆนะเนี่ย ได้ที่หนึ่งได้ไงเนี่ย
ตอนนำเสนอวิทยานิพนธ์ ไม่มีใครกล้าให้สอบตก เพราะ ผลงานได้รางวัลไปแล้ว โห .. ชีวิตทำไม มันไหลลื่นแบบนี้
จริงๆแล้ว ด้านเรียน ผมได้ผลบุญเยอะ แต่ ด้านสุขภาพ โรคหลังรุมเร้า ปวดหลัง เข้า โรงพยาบาลบ่อยๆ แต่ ก็มีโรคเดียวนี้แหละ หลังแข็งเป็นไม้ไผ่ (Bamboo back)
คุยกับพี่ๆ ชาวไทย ที่อยู่อเมริกา พบว่า ชีวิตแย่มาก มีเงิน แต่เหงา สังคมแบบโดดเดี่ยว เป็นประชากรส่วนเกินของประเทศเขา ประชาชนชั้นสามว่างั้นเถอะ
โชคดี เจอแฟน ก็เลย ตามเขากลับมาเมืองไทยดีกว่า ไม่ต่อสัญญาทำงานแล้ว โครงการสนุกๆ ที่ NASA ไม่เอาแล้ว อาจารย์อินเดีย ท่านก็บอกว่า “ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะกลับเมืองไทย ฉันเคยไปเมืองไทย ดีมากๆ แต่นี่ ฉันเป็นอินเดีย ฉันกลับประเทศฉันไม่ได้ กลับไปเถอะ”
เจอรุ่นพี่ชาวไทยหลายๆคน คุณหมอชาวไทย ที่ไปทำงานสมัยแพทย์อเมริกาขาดแคลน ยุคสงครามเวียดนาม ท่านก็บอกผมว่า กลับไปเถอะ ลูกหลานที่โตที่นี่ เป็น banana (ผิวนอกเหลือง แต่ ข้างในขาว) คิดแบบฝรั่ง และ ค่อนข้างดูถูกพ่อแม่
ก็เหมือนลูกจีนในไทย ที่รำคาญอาม่า อาม้า นั่นแหละ …
ผมกลับมาเมืองไทย ตั้งใจจะเข้าเป็นอาจารย์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬา ฯ แต่ หัวหน้าภาค ท่านมาสาย เผอิญเพื่อนที่ คณะวิศวะ จุฬา เดินผ่านมา บอกว่า เขาจะลาออก ช่วยไปแทนหน่อย ตำแหน่งว่างพอดี … โห บุญหล่นอีกแล้ว
เป็นอาจารย์ จุฬา ได้ ๖ ปี ก็ติดงานสอน นอกคณะเยอะมาก เลยตัดสินใจ ออกดีไหมเนี่ย มองดูเด็กๆแล้ว ท่าทาง มาเรียนทำไมยังไม่รู้จักตนเองเลย ออกไปช่วยคนนอก ช่วยคนทำงานดี น่าจะ ส่งผลกระทบได้แรง ได้ไกลกว่า ประกอบกับ คืนก่อนลาออก มี พระภิกษุชรา ผอมสูง ท่านมาในฝัน มาชวนให้ไปเป็นพุทธ ผมก็งง พระพุทธ มายุ่งอะไรกับผม ท่านบอกว่าผมกำลังจะตาย แล้วจะเกิดใหม่
ตื่นขึ้นมาตกใจ พอไปทำงาน เจอหัวหน้าภาคเรียกมาคุย “วรภัทร์ เธอทำงานให้ข้างนอกมากไปแล้ว” ผมเลยเขียนใบลาออกสายวันนั้นเลย เป็นที่งงๆ กันที่ภาควิชา ผมเองก็งงครับ แต่ ก็คิดว่า “ชีวิตนี้ ต้องทำเพื่อคนหมู่มาก” จะมาจมกับเด็กๆ พวกนี้ทำไม ช่วยในวงกว้างดีกว่า อีกหน่อยพวกเขาเรียนจบ พวกเขาเข้าทำงาน ก็ต้องไปเรียนกับผมอยู่ดีนั้นแหละ
รู้จักตนเองมากขึ้นว่า “จิตอาสา” ครับ ทำเพื่อพลิกโลก สร้างบ้านเมืองใหม่ เข้าไปช่วย ดร รุ่ง แก้วแดง แต่ ก็ช่วยได้สักพัก มองบรรดาท่านผู้ยิ่งใหญ่ทางการศึกษาแล้ว ขอกราบลาดีกว่า ประเทศไทยไปไม่รอดแน่ๆ
ท่าน ศ สุมล อมรวิวัฒน์ มากระซิบผม นอกห้องประชุม “วรภัทร์ เธอพูดแบบนี้ ศัตรูจะเยอะนะ” ผมได้ยินจากท่าน อาจารย์แล้ว ผมก็เลย มั่นใจครับ หันหน้า เข้าหาพระธรรมดีกว่า ผมเตรียมตัวไปบวช ค้นพบตนเองอีกแล้วว่า สู้ทางโลกมันยาก หันมาสู่กับโลกภายในดีกว่า มุ่งหน้าสู่พระธรรม เจอการศึกษาที่แท้จริงดีกว่า .. บาย บาย
บวชแค่ ๑๕ วัน แต่เตรียมตัวล่วงหน้า ๓ เดือน ทานมื้อเดียว เดินจงกรม นั่งสมาธิ ทุกวัน เข้าหา หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย จ พิจิตร
ขณะบวช ลูกสาวคนสุดท้อง (คนที่ ๒) อายุแค่ ๓ เดือน ผมตั้งใจฝึก จนหลวงปู่ชมให้พระทั้งวัดทราบ ฝึกแบบเอาชีวิตเข้าแลก จนหลวงปู่บอกว่าตึงไป
บวชได้ ๑๓ วัน ก็ค้นพบครั้งใหญ่ บอกหลวงปู่ว่า พระธรรมเป็นเช่นนี้เอง แต่ สุดท้ายก็ต้องสึก เพราะ ให้คำสาบานกับภรรยาไว้ ในโบสถ์คาธอลิกว่า “จะดูแลเธอชั่วชีวิต” … I do ..
หลวงปู่บอกว่า เป็นฆราวาสก็ดี สอนได้อีกแบบหนึ่ง แล้ว หลวงปู่ ก็ไล่ให้ไปหา อาจารย์คนใหม่ … งง โดนไล่เฉยเลย
จนในที่สุดมาเจอ พระอาจารย์สำราญ ที่วัดป่าธรรมอุทยาน ขอนแก่น คราวนี้ หันมาฝึกแนววิปัสสนา ไปอยู่คนเดียว นอนในป่าช้า หันมาแยกรูป แยกนาม แยกจิตกับความคิด สะสมกำลังสติ จนค้นพบตนเองอย่างไม่ผิดพลาดแล้วว่า ” เรา เป็นไผ” เกิดมาทำซากอะไร ความสงสัยในหลายๆเรื่องก็หมดไป มั่นใจ แน่ใจ ในพระธรรม ล้าน % … ฟังดูขี้โม้จริงๆ ของแบบนี้ ต้องลองฝึกเอง ไม่ลองไม่รู้ครับ ทำเองเจอเอง
ฝึกจน หลวงพ่ออนุญาตให้ ออกไปสอนคนอื่นได้แล้ว ก็เริ่มอาละวาดสอนธรรมะ แนวจิตดูจิต ตั้งแต่ ปี 2544 จนถึงเดี๋ยวนี้ ก็ 8 ปีแล้ว
ตอนนี้ มาทำ สถานที่ปฏิบัติ ชื่อ “ร่มธรรม” อยู่ที่ ตำบลคลองม่วง อำเภอปากช่อง สอนธรรมะแนวการเรียนรู้เชิงประจักษ์ (Action learning) มีการใช้ สุนทรียสนทนา (Dialogue) และ อื่นๆ
รู้จักตนเอง คือ รู้จัก แยกแยะจิต กับ ความคิด ออกจากกันได้ชัดเจน จิตว่างๆ เอาสติไปควบคุมความคิด ไม่ใช่ เอาจิตไปควบคุมความคิด
สุขก็เพราะความคิด ทุกข์ก็เพราะความคิด
ต้นตอแห่งทุกข์ เกิดขึ้นที่จิต ก็ต้องรู้จักดับที่จิต
กระบวนการที่จิตไม่ว่าง เป็นกระบวนการทำงานของขันธ์ ๕ เราก็ต้องเฝ้าฝึก ศึกษา ตามดู ตามรู้ ตามละ เอาสติเป็นเจ้านายของเรา
พระธรรม เป็นของจริง ของแม้ มีอยู่จริง ใครไปเจอ ก็จะพูดออกมาตรงกันหมด ไม่มีขัดแย้งกัน จะเป็นศาสนาไหนก็ช่าง หากมาเจอพระธรรม ก็เจอเรื่องเดียวกัน ไม่ขัดกัน
ขออวยพรให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน จงโชคดีมี “สติ” เยอะๆ ครับ อ่านแล้วอย่ามาเชื่อผมมาก ต้องทำเอง รู้เอง มีกัลยาณมิตร มีครูบาอาจารย์ที่เหมาะสม ทำๆๆๆๆๆๆ ก็จะเจอธรรม ไม่ทำ ก็ไม่เจอธรรม ไม่ธรรม ก็คือ ไม่ทำ