กังหันลมแห่งความสุข

ถ้าเราสามารถติดกังหันลมได้ในทุกบ้านของประเทศไทย คงจะดีไม่น้อย  แต่ในพื้นที่ ที่มีดีในด้านอากาศร้อน ส่วนลมนี่แทบจะไม่เคยได้สัมผัสนี่ เปรียบได้ก็คงเหมือนกับกำลังจะซื้อเสื้อกันหนาว หนาๆ ใหญ่ๆ มาใส่ในกรุงเทพแน่ๆถ้ามีคนคิดจะติดกังหันลม  เพราะมันไม่เหมาะเอาซะเลย  ติดโซล่าเซลล์ยังจะเข้าท่าซะกว่า….

แต่เอาละ ในฐานะที่ผมชอบกังหันลมเป็นพิเศษ ก็เลยเกิดความคิดว่า ถ้าลมไม่ดี  มันจะไม่ดีแค่ใหน  และถ้าเอาที่ไอ้ไม่ดีมาใช้ละ จะใ้ช้อะไรได้บ้าง ก็เลยเกิดเป็นไอเดียที่จะติดกังหันลมเพื่อจะทดลองดู ขนาดที่เราเลือกใช้คือ กังหันลม 2kW

สถานที่ที่เราทำการทดลองนี่ เป็นพื้นที่ในกรุงเทพติดกับมอเตอร์เวย์ ซึ่งตอนแรกคิดว่า มันจะได้รับพลังงานจากรถที่วิ่งไปเร็วๆบ้าง  แต่เผอิญที่ที่ได้ ดันมาไกล้ด่านเก็บเงิน คนเลยต้องชะลอความเร็วเหลือแค่ศูนย์ ทำให้อนิษสงอันนี้หมดไป

ผลก็คือ จากการตั้งเสาวัดลมความสูง 7 เมตรเอาไว้ประมาณ 1 อาทิตย์  กำลังลมที่ได้รับอยู่ที่ประมาณ 3.5 m/s ซึ่งพอเอามาเทียบกำลังงานกับแผนภูมิการผลิตไฟฟ้าของกังหันลมแล้ว จะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 8%  หรือตกเป็นค่าไฟปีละประมาณ 5,000 บาท (ราคาค่าไฟพื้นฐานปกติ ไม่มี adder - เงินอุดหนุนจากภาครัฐใดๆ) เทียบเท่ากับบ้านหนึ่งหลังที่เสียค่าไฟเดือนละประมาณ 400 บาท

มันฟังดูดีมากเลย สำหรับผมนะ…และดูดีสำหรับคนที่อยากมีส่วนร่วมในการช่วยกอบกู้โลกด้วยพลังงานสะอาด  เพราะถ้ามองแต่ในด้านธุรกิจอย่างเดียว ใช้พลังงานจากฟอสซิลที่นับวันเอาแต่สร้างปัญหาและหมดลงเรื่อยๆ  ถ้าเราไม่ช่วยกันใช้พลังงานสะอาดแบบนี้ แล้วราคาเขาจะสู้กับโรงไฟฟ้าจากฟอสซิลได้อย่างไร

แต่ในทางตรงกันข้าม สำหรับผู้ที่มองเรื่องความคุ้มค่าด้านการลงทุนเป็นหลัก ว่าซื้ออันนี้ อันนั้นต้องคืนทุนกี่ปี ผลตอบแทนกี่เปอรเซ็น อันนี้ไม่ตอบโจทย์ท่านแน่ๆครับ   แต่บางที เราก็ต้องคิดนะว่าหลังคาที่มุงบ้านเราอยู่ ครัวที่เราใช้ทำอาหาร  มันคืนทุนให้เรากี่เปอรเซ็น บางทีไอ้การคิดแบบนี้นี่แหละ มันทำให้โลกเรามันเลวร้ายมากขึ้น เพราะมัวแต่คิดทุกอย่างเป็นผลตอบแทนไปหมด  ต่อไปคงไม่มีใครช่วยอะไรใคร ถ้าไม่มีผลตอบแทนให้กันและกัน

วันหน้าหากพลังงานฟอสซิลหมดไป….ค่าไฟเพิ่มมากขึ้นเดือนละหลายร้อยเท่า ก็คงต้องจ่ายกันใช่ใหมครับ  แต่ถ้าวันนี้เราช่วยกันใช้พลังงานสะอาดที่ได้มาฟรีๆ ก็สามารถชะลอการใช้ฟอสซิลได้  ช่วยกันใช้พลังงานสะอาดวันนี้คือการซื้ออนาคตในวันหน้านะครับ