ชีวิตที่หลากหลาย ภายใต้สายธารน้ำใจเมืองยะลา

8 ความคิดเห็น โดย ลุงเอก เมื่อ 29 ตุลาคม 2009 เวลา 9:01 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #

วันนี้(28)ลุงเอกมายะลา แวะไปเยี่ยมเกลอเก่าหลายคน สองคนแรกคือหนูน้อยอ้อยควั้น ที่สำนักงานเกษตรยะลา อีกคนคือคุณยาว เกษตรยะลา ถามทุกข์สุขกันพอประมาณกับเวลา เจอหลานอีกสองคนคือหนูนุช ชาวบล็อกใหม่ที่กำลังมีไฟ อีกคนชื่อมลายูจำไม่ได้เลยครับขอโทษด้วย

จากนั้นมานั่งร้านกาตาเฟ่ ทานกาแฟคุยกัน นัดเครือข่ายมาเจออีกสองคนคือ อ.จารุวัจน์ จาก ม.อิสลาม ยะลา และคนเสียงเล็กๆ ฟูอ๊าด นักขีดเขียนวิถีชีวิตคนใต้ คุยกันอย่างเมามัน ก็มี อ.อัสมัน จากวิทยาลัยอิสลาม มอ.ปัตตานี มาหาลุงเอก ขอนัดสัมภาษณ์งานปริญญาเอก เรียนอยู่ใน ม.มาเลเซีย พูดเรื่องสิทธิคนมุสลิมภาคใต้กับการเมืองไทย ตามรัฐธรรมนูญปี 50

ก่อนหน้าจะมาที่นี่ลุงเอกแวะไปฟังเวทีการปกครองแบบพิเศษในภาคใต้  คนที่นั่นสนใจกันมากแบบสุดๆ ดูจากภาพเอาเอง

;

 ห้องใหญ่ๆนั้นแน่นเอียด เขาอยากมีรูปแบบปกครองที่สนองต่อความต้องการเขามากกว่าสนองกระสันต์รัฐแบบปัจจุบัน  พอกลางคืนลุงเอกไปคุยกับเครือข่ายองค์กรภาคประชาชน 25 องค์กร คุยกันจนถึงสี่ทุ่มครึ่งด้วยความสุขของทุกฝ่ายในเรื่องเดียวกันกับการจัดการสัมมนา รายละเอียดยังไม่อยากเล่าสนุกมันๆทั้งนั้น

ระหว่างนั่งรถจากยะลามาปัตตานีหนึ่งชั่วโมง ยมคำคืนที่เขาไม่ทำกันผ่านทั้งด่านผ่านทั้งป่าสวนมา เงียบสงัด

วันนี้(29)จะเข้าไป มอ.สักหน่อยเยี่ยมญาติ ก่อนขึ้นเครื่องกลับ กทม.


ส่งท้ายปีเก่า ของคนใกล้ตาย

10 ความคิดเห็น โดย ลุงเอก เมื่อ 29 ตุลาคม 2009 เวลา 8:02 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 6

ทุกข์ของคนเรานั้นอยู่ที่กายหรือใจกันแน่ ลุงเอกว่าสังคมไทยเรานั้นมีคนป่วยกายมากมายเห็นได้ทั่วไป แถมมีคนพิการทางจิตก็มากหลาย เราจะทำอย่างไรกันดีกังสังคมมนุษย์นี้

มีโอกาสผ่านไปแถวถนนแจ้งวัฒนะหลายครั้งล้วนลานตาที่มงเห็น ที่ทำงานใหม่ของลุงเอกข้างหน้าคือศูนย์ราชการ มองไปเห็นศาลปกครองยืนตระหง่านสร้างเอาไว้โก้หรูใหญ่โต ดูประหนึ่งว่าหาที่ใหญ่ๆไว้ให้คนทะเลาะกันมาใช้ เราจะสนับสนุนกิจกรรมนี้หรือนี่

แต่ใจมาหดหู่อยู่ที่ว่าความใหญ่โตนั้น แสดงว่าสังคมเรามีคดีความทางการปกครองมากหลายใช่ใหม คงจะไม่มีใครปฏิเสธได้ ก็งั้นแสดงว่าคนไทยมีปัญหากันมากจนยากจะแก้ไข ใช่ใหมครับ ก็คงตอบว่าใช่ เพราะเรามัวแต่คิดสั้นไม่คิดยาวนั่นเอง

ลุงเอกคงจะดีใจถ้าได้เห็นศาลเล็กๆ แสดงว่าคนไทยมีความสงบสุขไร้ทุกข์ ไม่ต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในศาล ผู้พิพากษาจะได้ทำงานเฉพาะที่สำคัญเพื่อบ้านเมืองบ้าง

อยากให้สังคมไทยช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกัน ที่จะไม่สร้างบรรยากาศให้ต้องทะเลาะกัน ชิงดีชิงเด่นกันแบบสังคมทุนนิยมเสรีที่นำมาสู่ชีวิตเราได้ใหม ที่จะต้องแข่งขันกันเอาให้ตายไปข้างหนึ่ง มาให้ความรู้กันที่จะอยู่อย่างสันติสุข ได้ใหม

เมื่อเร็วๆนี้ไปดูงานที่ศาล ท่านบรรยายให้ฟังว่าต่อไปนี้ทางศาลจะมียุทธศาสตร์ใหม่ที่จะให้ความรู้ลงไปถึงชุมชน เรียกว่าสกัดกั้นไม่ให้คนเอาแต่เรื่องมาฟ้องร้องกันให้คดีรกศาล ลุงเอกเห็นด้วยกับวิถีเชิงป้องกันนี้อย่างยิ่ง ก่อนตายคงได้เห็น

ที่น่าทุกข์อีกเรื่องหนึ่งของสังคมไทยก็คือวงการแพทย์ สังคมที่มีการทะเลาะเบาะแว้งไม่กันเองก็กับคนไข้ เพราะเดี๋ยวนี้ไปที่ไหนก็จะมีการแข่งขันสร้างโรงพยาบาลเอาให้ใหญ่ๆเอาไว้ ก็ลุงเอกดูตัวเลขประชากรไทยไม่เพิ่มมาหลายปี ก็เพราะคุมกำเนิดได้ดี การตายและเกิดแทบจะเท่ากันเท่ากัน

แล้วมาตะบันสร้างมันแต่โรงพยาบาลใหญ่ๆทำไม หรือว่าวงการแพทย์เราล้มเหลว โรงพยาบาลของทหารเองลุงเอกก็เห็นสร้างกันเสียใหญ่โต แต่ทหารก็ยังเจ็บป่วยเหมือนเดิม ขยายกันจนทหารแพทย์มีมากกว่าทหารรบทั้งหมดทุกเหล่าในกองทัพ อีกหน่อยคงใช้ทหารแพทย์ออกรบแทนคงจะได้

หันมาดูโรงพยาบาลใกล้ๆบ้านที่เขาว่ากันเป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่อยู่ข้างบ้าน ในการใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ตรงนี้ ๔๐ ปีผ่านมา ยังเห็นโรงพยาบาลแห่งนี้ขยายการก่อสร้างไม่หยุดหย่อน อย่างนี้แสดงว่าวงการแพทย์เราเก่งรักษาใช่ใหม ขอตอบว่าใช่ ถ้านับงบประมาณตัวเลขคงใช้ไปมากโขอยู่ ถามว่าถ้าคนไม่เข้าโรงพยาบาลจะดีใหม ต้องตอบว่าดีแน่เข้าเท่าที่จำเป็น

ตัวลุงเอกเองเข้าโรงพยาบาลนับน้อยครั้งมาก แต่ก็ผ่านชีวิตมาหกสิบกว่าปีแล้ว วงการแพทย์เขาบอกว่าผู้ชายไทยอายุเฉลี่ย ๗๒ ปี มีคนในกระทรวงสาธารณสุข บอกลุงเอกว่าไม่ใช่ต้อง ๗๖ แต่เท่าไรก็เอาเถอะ เท่าไรก็เท่านั้น แต่ให้รู้ว่าแกกำลังจะใกล้เข้าเส้นตายไปทุกทีแล้วนะ

ลุงเอกอยากเห็นวงการแพทย์ไทยใช้เงินไปในทางให้ความรู้แก่ชุมชนชาวบ้านถึงที่ชุมชน ในแนวทางป้องกันมากกว่าการสร้างแต่วัตถุ เป็นงานเชิงรุก ขอให้ใช้งบประมาณส่วนใหญ่ไปในการนี้ อย่าเอามาสร้างมันแต่ตึกๆๆๆ

โรงพยาบาลไหนมีคนมารักษาน้อย โรงพยาบาลเล็กๆ แต่ชุมชนมีคนมาก คนในชุมชนนั้นมีคนป่วยน้อยต้องให้รางวัลอย่างมากเลย ไม่ใช่ให้รางวัลที่รักษาคนได้มากๆ ที่ไหนคนป่วยมากขยายแต่โรงพยาบาลต้องตัดงบประมาณดีใหม

อยากให้สังคมไทยร่วมสร้างภูมิคุ้มกัน เรียกว่าทำเชิงป้องกันมากกว่าทำแต่แก้ไข ที่เป็นระยะสั้นไม่ว่าจะเรื่องของความขัดแย้ง การขึ้นโรงขึ้นศาล การดูแลความเจ็บป่วย ขอให้ๆความรู้เชิงป้องกันให้มากๆ

ชาติหน้าเกิดใหม่จะได้มีความสุขบ้าง แต่ยังไม่รู้จะได้เกิดเป็นคนหรือสัตว์ แล้วไปอยู่ส่วนไหนของโลกก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าชีวิตอยู่ในโลกใบนี้อีกไม่กี่ปีลุงเอกก็จะตายแล้ว แต่ทำไมคนไทยยังโหยหาอะไรกันอยู่อีกหนาสร้างแต่ตึกใหญ่แต่ใจยังเล็กอยู่


เขียนเรื่องที่ไม่มีใครเขียน ทัวร์สามทหารเสือ

7 ความคิดเห็น โดย ลุงเอก เมื่อ 29 ตุลาคม 2009 เวลา 8:01 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3

จากการไปร่วมเฮ 6 ทหารนอกแถวพาสามทหารเสืออันประกอบด้วยหมอเจ๊ อึ่ง และอุ๊ยจันตา ที่หลงมานั่งรถกับลุงเอก พอออกจากค่ายพ่อขุนเม็งรายก็ตะลุยขึ้นเขาดอยทอง ไปกราบไหว้พระธาตุจอมทอง
คนเชียงรายและคนมาเที่ยวเชียงรายมักไม่มีใครสนใจที่จะมาวัดนี้ เหตุเพราะว่าวัดนี้มีมาก่อนอณาจักรพ่อขุนเม็งรายหลายร้อยปี หรืออาจจะพันปีก็เป้นได้

เรียกว่าเป็นวัดเก่าแก่วัดแรกก็ว่าได้ในเชียงราย ความที่เคยมารับราชการอยู่ถิ่นนี้ 5 ปีตั้งแต่ปี 2515 มาที่ค่ายนี้บ่อยจึงทำให้ทราบ มาเมื่อไรที่เชียงรายก็มักให้คนออกนอกเส้นทางไปชมเสมอเพราะเก่าแก่จริงๆ

พ่อขุนเม็งรายน่ะท่านมาพบวัดนี้เมื่อปีปี พ.ศ. ๑๘o๕ คือตามช้างมาแล้วมาเจอวัดจึงสร้างเมืองอยู่ที่นี่ ว่ากันว่ามีเขียนไว้ในพงศวดารโยนกของพระยาประชากรจักรกล่าวว่า พระเถระนามพระพุทะโฆษา ชาวโกศลเมืองสุธรรมวดีได้ออกไปสู่เมืองลังกาทวีปนำคัมภีร์พระไตรปิฏก แห่งลังกาทวีปมาสู่โยนกนครไชยบุรีศรีเชียงแสน ในวันจันทร์ขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๖ ปีชวด มหาศักราชได้ ๓๓๕ (พ.ศ. ๑๔๘๓) นำพระบรมสารีริกธาตุ ๓ ขนาดรวม ๑๖ องค์ ถวายแก่พระเจ้าพังคราช เจ้าเมืองโยนกนาคพันธ์ พระองค์ได้แบ่งพระธาตุส่วนหนึ่งบรรจุลงมหาสถูปบนดอยทอง ขนานนามว่าพระธาตุดอยจอมทอง เพื่อเป็นมงคลนามของเมืองมีพิธีสรงน้ำพระธาตุทุกวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ (เดือน ๕ เหนือ)

ในวัดจะมีกรุวัฒนธรรม บรรจุเรื่องราวทางวัฒนธรรมของชาติไทย โดยบรรจุไว้เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2544 เขียนบอกไว้ว่ากำหนดเปิดอีก 100 ปีข้างหน้า คือวันที่ 19 มกราคม 2644 ลุงเอกคงตายแล้วมาเกิดใหม่ อาจจะเป็นสุนัขอยู่แถวนั้นก็ได้ ที่ทำอย่างนี้เพราะต้องการให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้า สืบต่อมรดกอันดีงามของชาติไทยต่อไป แต่ทำไม่ไม่มีใครใคร่ไปดูหนา…

วัดพระธาตุจอมทอง หรือวัดดอยทอง เป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง 1 ใน 9 เป็นสถานที่ตั้งของเสาสะดือเมือง 108 หลักสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพญามังราย เสาสะดือเมืองนี้เป็นรูปแบบสมมุติของจักรวาลอันเป็นคติที่มีมาแต่โบราณ ด้านหน้าหันไปทางทิศตะวันออก ลานรอบนอกหมายถึงแผ่นดิน ล้อมรอบด้วยคูน้ำอันเปรียบได้กับน้ำในขอบจักรวาล รอบในยกขึ้นเป็นหกชั้นหมายถึงสวรรค์ทั้งหกของกามภูมิ แล้วยกขึ้นอีกสามชั้นซึ่งหมายถึงรูปภูมิ อรูปภูมิ และชั้นบนสุดเปรียบได้กับนิพพาน สำหรับตัวเสาสะดือเมืองเป็นดั่งเขาพระสุเมรุ ตั้งอยู่บนฐานสามเหลี่ยม หมายถึงตรีกูฏบรรพตหรือผาสามเส้า ล้อมด้วยเสา 108 ต้น อันหมายถึงสิ่งสำคัญในจักรวาล และล้อมรอบอีกชั้นด้วยร่องน้ำห้าร่องซึ่งเปรียบเป็นปัญจมหานทีลดหลั่นเป็นชั้นไหลลงสู่พื้นดินตามคติโบราณของล้านนา

เสาสะดือเมืองนี้จะใหญ่เท่าห้ากำมือและสูงเท่ากับความสูงของพระเจ้าแผ่นดิน โคนเสาสะดือเมืองนี้จึงใหญ่เท่ากับห้าพระหัตถ์กำ และสูงเท่ากับส่วนสูงแห่งพระวรกาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระองค์ได้เสด็จมาเจิมเสาสะดือเมืองนี้ เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2531 ชาวเชียงรายจะมาสรงน้ำเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของชาวเมือง และเชื่อว่าน้ำที่สรงเสาสะดือเมืองแล้วเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ (อ่านได้ในแผ่นหินอ่อนที่อธิบายความครับ)


เรื่องเล่าวันหยุด กับความสุขในการดูละครแบบไม่รู้เรื่อง

3 ความคิดเห็น โดย ลุงเอก เมื่อ 17 ตุลาคม 2009 เวลา 9:44 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 149

หลังกลับมาจากเบตงลงเครื่องมา ลูกสาวแสนสวย บอกว่ามีบัตรดูละครสองใบ ให้คุณพ่อกับคุณแม่ไปดูเอาใหม  มีหรือจะตอบปฏิเสธของฟรีอย่างนี้แหละชอบหนักหนา ตอบรับทันที ความที่เป็นคนไร้สาระ จึงไม่ได้ถามไถ่อะไรมากนัก  ไม่รู้ว่าชื่อเรื่องอะไร ถึงเวลาก็ไปดุ่ยๆเข้าโรงละครกรุงเทพเลย ความที่กรุงเทพวันนี้มันวิกฤติหลายๆเรื่องจริงๆโดยเฉพาะการจราจรนี่แสนสาหัสมากที่สุด ผู้ว่า กทม.ที่ผ่านมาก็ไม่ทำอะไร มาคนใหม่นี่ยิ่งสาหัสหนักใหญ่ ขอร้องเรียนประชาชนซะเลย

ไปถึงโรงละครกรุงเทพอยู่ปลายถนนเพชรบุรีตัดใหม่  รีบวิ่งเข้าโรง(ละคร)อย่างไม่ชักช้า ละครเริ่มเล่นไปแล้ว เรื่องอะไรก็ไม่รู้  ใครแสดงก็ไม่รู้ดูเอามันอย่างเดียว นี่แหละความไร้สาระของลุงเอก  แล้วคนที่กำลังมานั่งอ่านที่ลุงเอกเล่านี่อีกระวังจะรับเอาเชื้อไร้สาระไปด้วย

เริ่มดูละครไปพักใหญ่เอ๊ะทำไมมันพูดแต่ตัวเลข  แต่งกายก็คล้ายทหาร ชื่อแต่ละคนเป็นตัวเลขหมดเช่นท่านแสนพัน ท่านพันหนึ่ง คนรักพระเอกชื่อพายอาร์ แต่พระเอกชอบเรียกว่า 3.14 พระเอกเวลากอดนางเอกก็แบบหุ่นยนตร์ กอดรัดเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์  ฉันรักเธอเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ พูดอะไรเป็นตัวเลขเป็นเปอร์เซ็นต์ไปหมด หรือฉันเกลียดเธอแบบมีนัยสำคัญ

ทำอไรใช้อำนาจ ตัวเลขตัดสิน ลงโทษรุนแรง

เป็นอย่างไรเล่ามาถึงตอนนี้  ใครยิ้มออกมาแปลว่าเป็นพวกไร้สาระ  แต่ถ้ายังคิดไม่ออก  คิ้วย่น  หน้าบึ้งให้รู้ไว้เถอะว่าพวกเจ้าเป็นพวกมีสาระ ตอนเขาเบรคครึ่งเวลารีบออกมาดูชื่อเรื่อง ว่าเรื่องอะไร อ้อ”เร่ขายฝัน”เฉลียง เดอะมิวสิคเคิ้ล นี่แหละเป็นที่มาของการดูละครที่ไม่รู้เรื่อง เอาละเมื่อรู้ชื่อเรื่องแล้ว จะดูว่ามันจะขายฝันอะไรหวา  ดูไปดูมา กลายเป็นว่าเมืองที่ลุงเอกดูตอนต้นๆเรื่องนั้นเป็นเมืองมีสาระ มันเครียดไปทั้งเมือง เหมือนเมืองไทยตอนนี้เลยว่ะมันเป็นเมืองมีแต่สาระ หลักการ เครียดเป็นบ้า

พอมาดูอีกเมืองหนึ่งมันน่าสนุกสนานมีแต่เรื่องไร้สาระ จะตั้งชื่อลูกคนหนึ่งมันก็ให้ออกความเห็นระดมสมองกันตลอด  ไม่ว่าจะคิดเรื่องอะไรขึ้นมาออกคามคิดเปลี่ยนแปลงได้ตลอดตามที่คนออกเสียง ไอ้เมืองโน้นมันตัดสินด้วยอำนาจกฏหมายตลอด

ความที่พระเอกอยู่เมืองสาระ นางเอกอยู่เมืองไร้สาระ นางเอกจะมีความสุขกับการฝันถึงจะได้เจอพ่อที่หายไปจากตกเหวเมื่อยี่สิบปีมาแล้ว  จนท้ายตาบอดแล้วตกไปอยู่เมืองสาระ นางเอกก็จะมายืนตรงที่พ่อตกเหวทุกวัน จนกลายเป็นที่พบปะผู้คนของเมืองนี้ไป พระเอกได้รับคำสั่งให้โจมตีเมืองไร้สาระเป็น ผบ.ฝูงบิน ปรากฏว่าหลงฝูงเครื่องไปตกในเมืองไร้สาระ พวกไร้สาระช่วยเหลือรอดตายมาได้  จากคนแข็งกระด้างกลายเป็นคนอ่อนโยน

พวกเมืองไร้สาระบอกพระเอกว่าพร้อมเอามือชี้ที่หัวทางขมับซ้ายแล้วบอกว่าให้ใช้ตรงนี้น้อยๆหน่อย แล้วมาชี้ที่หน้าอกตัวเองตรงหัวใจว่าให้ใช้ตรงนี้ให้มากๆหน่อย

อีกคำเด็ดๆคือพวกไร้สาระจะถามว่าเจ้าเคยฝันใหม พวกสาระบอกไม่เคยฝัน  เขาบอกว่าให้ลองฝันเแยอะๆสิ  ชีวิตจะมีความสุขเพราะพวกสาระจะอยู่กับตัวเลข

ดูเรื่องนี้แล้วย้อนมาดูตัวเอง  ความไร้สาระของละครเรื่องนี้ ช่างตรงกับจริตตัวเองจริงๆเลย  โอ๊ยดูละครที่ไม่รู้เรื่องแต่มีความสุขมั๊กๆ 

ใครอยากอยู่เมืองไร้สาระตาลุงเอกมา  ใครไม่เคยฝันลองหัดฝันดู หมอประเวศบอกว่าเราต้องจิตนาการมากๆจะสามารถแก้ปัญหาได้  ใช้ความรู้อย่างเดียวแก้ปัญหาไม่ได้เพราะความรู้มันล้าสมัยต้งแต่เมื่อพูดจบแล้ว  จินตนาการทำให้เกิดปัญญา ใช้จินตนาการแล้วเสริมความรู้จะแก้สรรพสิ่งได้ครับ


เมืองในหมอก เบตง

13 ความคิดเห็น โดย ลุงเอก เมื่อ 14 ตุลาคม 2009 เวลา 20:09 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 161

ห่างหายไปนานเชียวแต่ก็ยังเวียนว่ายมาแอบดู ชีวิตไปเบิกบาน งานเบอะบ่ะ เดินสายไปทั่ววันนี้ก็กำลังนั่งอยู่ที่แอร์พอร็ตเมืองปีนัง รอนั่งเครื่องกลับตอนสามทุ่ม

เหตุที่มาทางเบตงส่งเทศบาลเข้าประกวดรับรางวัลพระปกเกล้าด้านสมานฉันท์สันติสุข ชีวิตคนที่นี่ก็สุขสบายดีอันที่จริงมาที่นี่ได้สามทาง คือลงเครื่องหาดใหญ่ไล่ตะบึงเข้าปัตตานี ยะลามาเบตงก็คง สี่ชั่วโมง  ถ้ามาอีกทางหาดใหญ่ สะเดา เข้ามาเลยเซียไปเบตงก็คงสามชั่วโมงครึ่ง  นี่เขาให้มาทางปีนังนั่งรถอีกสองชั่วโมงลงเบตงถือว่าใกล้สุดครับ

ที่นี่อาหารอร่อยมากเบตงมีไก่เบตงที่บอกว่าออกมามีขนเลี้ยงไปขนหลุด โตอีกหน่อยมีขนแล้วก็หลุดอีก  เออเป็นไก่เฉพาะถิ่นจริงๆว่ากันว่าเอาไปเลี้ยงที่ไหนไม่ค่อยรอด  ที่นี่เป็นแอ่งกะทะมี หมอกตลอด น้ำท่าสมบูรณ์

อีกอย่างเป็นกบภูเขาพันธ์เดียวกับแม่ฮ่องสอนหรือเปล่าไม่รู้แต่ตัวเดียวผัดเต็มจานเลย   อีกอย่างมีชื่อปลานึ่งซีอิ๊ว  แถมมีหมูเต้าหู้อีกสุดๆเลย

เมืองนี้มีสัญญาลักษ์พญานาคสองตัวรัดหลักเขต หมายความว่าเป็นเมืองน้ำ ต้นน้ำเลยหละตามแนวชายแดน

ที่สุดยอดที่นี่มีมหาวิทยาลัยมาเปิดในสถานศึกษารวมมีม.บูรพา แม่โจ้ ทักษิณ ราชภัฎยะลา สถาบันจากจีน วิทยาลัยชุมชนและการอาชีพ  เขาบอกว่าเสาร์อาทิตย์คนมาเรียนกันเต็มเลยเอาจุดเด่นๆมาเปิด สอนทั้งภาษาอาหรับ  ยาวี อังกฤษ จีน ไทย ทันสมัยสุดๆ ก่อสร้างอาคารใช้เงินร้อยห้าสิบล้านสุดยอดเลย

ที่นี่เป็นเมืองพหุสังคมโดยแท้มีคนจีน มุสลิมและไทยพุทธ นายกเทศมนตรีเป็นจีน  มีรองสามคน ไทยพุทธ  ไทยมุสลิมและไทยจีน ครบเลยมีกิจกรรมทางศาสนาทั้งสาม  มีเทศกาลต่างๆทุกศาสนามาร่วม  คนมุสลิมก็ได้การ์ดเชิญกฐินเขาก็มาร่วมด้วย

คงเล่าไม่หมดเอาแค่นี้ก่อน คิดถึงทุกๆคนครับ



Main: 0.029435873031616 sec
Sidebar: 0.0077941417694092 sec