แม่
อ่าน: 4614ช่วงนี้สังเกตุเห็นลูกชายเขาคุยกระหนุงกระหนิงกับ “แม่” ของเขาบ่อยๆ ไม่รู้ว่าแอบไปปรึกษาเรื่องแฟนหรือเปล่า แม่เขาจะรู้ดีว่าลูกชายปลื้มคนแบบใหน ผมว่าน่าจะเป็นคนที่เก่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดังที่ผมอ่านเจอในหนังสือของลูกชาย
แม่
“แม่” พูดยากน่ะครับที่จะเขียนถึง “แม่” โดยเฉพาะแม่ของผมเพราะว่าท่านเป็นคนที่โลดโผนมากคือ มีหลากหลายรสชาติ และมีหลากหลายอารมณ์มาก แม่เป็นเหมือนเบื้องหลังความสำเร็จของพ่อก็ว่าได้ แม่คอยช่วยเหลือพ่อในหลายๆ เรื่อง แต่ผมขอเล่าเรื่องของท่านในฐานะที่เป็นคนพิเศษ เป็นแม่ที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่งที่คอยเลี้ยงดูผมมาตั้งแต่เกิด
ชื่อภาพ “อุ้ม”
ขอเท้าความไปถึงการศึกษาของแม่ เพื่อจะได้เข้าใจถึงเรื่องที่ผมจะเล่าต่อจากนี้ แม่จบจากวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา วิทยาเขตเพาะช่าง คณะศิลปกรรม เอกวิชาประติมากรรมสากล (ที่เดียวกับพ่อ) แม่เป็นที่ปรึกษาที่ดีมากของครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือผมเองก็เคยใช้บริการให้คำปรึกษาจากแม่มาแล้ว แม่จะให้คำแนะนำดีๆ กับผมตลอด ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ
ชื่อภาพ “อิง”
เอกลักษณ์โดดเด่นของแม่ก็คือ อาการ “ติส” ขออ้างอิงอาการนี้มาจากหนังสือกลิ่นสีและกาวแป้งว่า อาการ “ติส”นั้นคืออาการที่อารมณ์ศิลปินนั้นพุ่งถึงขีดสุด จะมีอาการต่างๆ นานา เช่น แม่อยากวาดรูปมาก ก็สั่งให้ผมซื้อกระดาษวาดสีน้ำจากเชียงใหม่ไปให้ท่าน ลองทายราคาดูสิครับว่าราคาแผ่นล่ะเท่าไรแผ่นหนึ่งก็ขนาด 18×22 นิ้ว…………ราคามันแผ่นล่ะ 150 บาทครับ……แพงมาก แม่บอกให้ซื้อมา 2 แผ่น ทั้งหมดก็ 300 บาทถ้วนครับ ด้วยความหนักใจว่าจะเอากลับบ้านยังไง ผมเลยตัดสินใจไปซื้อกระบอกพลาสติคสำหรับใส่กระดาษเขียนแบบ แต่ปรากฏว่ากระดาษขนาด 300 เกรม นั้นมันเเข็งมากม้วนเข้าไปในกระบอกไม่ได้ ผมต้องนั่งรถประจำทางกลับบ้านจากเชียงใหม่ไปเชียงรายพร้อมกับกระดาษ เขียนสีน้ำราคา 300 บาทกับ กระบอกเปล่าๆ ที่ไม่ได้ใส่อะไรไว้ข้างในเลย ผมสังเกคุเห็นมีคนมองผมแปลกๆ ตลอดทางเลยครับ พอถึงเชียงรายพ่อเห็นถึงกลับแปลกใจว่าผมแบกอะไรมาด้วย ราวกับกระบอกอาวุธลับติดหลังของพวกนินจา
ชื่อภาพ “โอบ”
แม่ชอบซื้อหนังสือมาเก็บไว้ อ่านบ้างไม่อ่านบ้าง หนังสือที่แม่ชอบซื้อจะเป็นแนว ศิลปะการเขียนสีน้ำ ซื้อครั้งละหลายเล่ม ราคาที่ผมจำได้มีเล่มหนึ่งราคา 600 บาท พ่อได้แต่หัวเราะ เพราะเข้าใจแม่ดี พ่อบอกกับผมว่า “รู้จักแม่น้อยไปแล้ว” ผมก็ยิ้มรับมุขของพ่อผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบซื้อหนังสือเก็บไว้เหมือนกับแม่ ถึงแม้จะไม่ได้อ่านก็ตามขอแค่ได้ซื้อมาเก็บไว้ก่อน เหมือนกับการสะสมของรักของหวงอีกแบบหนึ่ง
ผมทำงานได้หลายอย่าง เป็นเกือบทุกอย่างเลยก็ว่าได้ เพราะมีแม่ที่สอนให้ฝึกทำตั้งแต่เล็กๆ รวมถึงการทำอาหารด้วย แม่บอกว่าผมทำอาหารเป็นตั้งแต่ ป.3 แล้ว เท่าที่ผมจำได้ผมเริ่มทำอาหารให้พ่อแม่ทานโดยการเดินไปจ่ายตลาดเองตั้งแต่ ป.6 โดยได้วิชาจ่ายตลาดมาจากพ่อและแม่ โดยท่านจะสอนให้ตรวจสอบคุณภาพสินค้า หรือสอบถามรายละเอียดเพื่อให้ได้สินค้าที่ครงกับความต้องการและมีคุณภาพ เพราะเงินของเราก็ไม่ใช่เงินปลอมเหมือนกัน
ครั้งหนึ่งผมไปซื้อกับข้าวที่ตลาด ผมถามแม่ค้าว่าใส่ผงชูรสหรือเปล่า แม่ค้าเขาก็ไม่สนใจในคำถามของผม และไม่ยอมตักอาหารให้ผมสักที ผมรออยู่นานมากจนแม่เดินมาบอกว่า เขาไม่ขายให้เพราะทุกอย่างใส่ผงชูรสหมด ต่อไปเราก็เลิกซื้อกับข้าวเจ้านี้เขาไม่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ไม่ยอมบอกข้อมูลข้อเท็จจริง และลัดคิวเด็กถือว่าน่ารังเกียจที่สุด แม่เป็นนักสิทธิมนุษยชนด้วยนะเนี่ย
ตอนเรียนจบ ม.3 ผมเลือกเรียน ปวช. เพื่อนของผมยังงงเลยครับที่ผมตัดสินใจเรียน อิเล็กทรอนิกส์ นึกว่าผมไปเรียนคหกรรมศาสตร์ ซึ่งก็อดยิ้มไม่ได้ ผมว่าก็ดีนะที่ทำอาหารเป็น เพราะจะได้ไม่ลำบาก เมื่อเราต้องอยู่คนเดียว แต่พอถึงเวลาที่ผมอยู่หอพักจริงๆ ผ่านมาแล้ว 4 ปียังไม่เคยทำอาหารกินเองที่หอพักเลยสักครั้ง มีแต่ตอนกลับบ้านเท่านั้นที่พอจะได้แสดงฝีมืออยู่บ้าง
ชื่อภาพ “ทำไปได้” ภาพแม่กับเพื่อนๆ ของลูกชาย ทายดูสิครับคนใหนคือ แม่
นอกจากวิชาทำอาหารแล้วผมก็ได้เรียนวิชาศิลปะที่ล้ำลึกมาจากท่านพ่อ และท่านแม่ พ่อของผมจะเก่งเรื่องลายเส้นและการออกแบบ แม่ของผมจะเก่งเรื่องการลงสี ทั้งสีน้ำและสีน้ำมัน สีที่แม่ใช้ราคาก็แพงเช่นเดียวกัน พ่อชอบแซวว่า สีของแม่นั้นหกใส่กระดาษยังออกมาสวยเลย ผมจำได้ว่าตอนผมเรียนอยู่ ป.1 ได้วาดภาพระบายสีส่งเข้าประกวด แต่ครูสอนศิลปะไม่เชื่อว่าผมทำเองบอกว่าพ่อแม่ทำให้ ทั้งๆที่ผมทำเอง ก็รู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อยครับที่ไม่ได้รางวัล แต่แม่ก็ได้ให้กำลังใจผมว่า “ไม่เป็นไรหรอกถ้าเราทำจริงๆ ไม่มีใครเชื่อก็ไม่เป็นไร เรารู้ตัวเองว่าเราทำเองเป็นฝีมือของเรา เราภูมิใจกับงานที่ออกมาดีแค่นี้ก็พอแล้วหละ ใครไม่เชื่อไม่เห็นจะเป็นไรเลย” แม่ของผมสอนได้อย่างแยบยลซึ่งก็คล้ายๆ กับการปิดทองหลังพระ แม้ใครไม่เห็นแต่เราเองที่เห็น
ตอนนี้ผมยังชอบวาดรูปอยู่เพราะว่าการวาดรูปนั้นทำให้เราได้ฝึกสมาธิ ทำให้ผมใจเย็นขึ้น
ชื่อภาพ “อย่าดื้อกับลูกนะครับแม่”
เอกลักษณ์อีกอย่าหนึ่งของแม่คือ ชอบนุ่งผ้าถุงแบบโบราณ และแอบหยิบผ้าขาวม้าของพ่อมาคล้องคอ ซึ่งก็ดูเข้ากันดีกับพ่อ นอกจากนั้นอาการดูหนัง ดูทีวี แล้วแม่หัวเราะจนตัวงอ ส่วนพ่อยิ้มแค่มุมปากหรือไม่ก็ส่งเสียงหึหึอยู่ในลำคอ แม้จะมีบางครั้งที่แม่แสดงอะไรบ้าๆบอๆออกมา มันก็เหมือนเป็นการผ่อนคลายอย่างหนึ่ง ผมก็พอเข้าใจอาการติสของแม่นะครับ เพราะแม่เป็นคนที่ละเอียดอ่อน และก็เข้มแข็งมาก เรียกว่าเป็นแรมโบ้หญิงประจำบ้านเลยละครับ
ชื่อภาพ “แรมโบ้หญิง”
บันทึกนี้โพสต์เมื่อ วันที่ วันศุกร์, 17 กรกฏาคม 2009 เวลา 3:53 (เย็น) และจัดไว้ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่. ติดตามอ่านการแสดงความเห็นได้ที่ฟีดนี้ RSS 2.0. คุณสามารถจะ ฝากความคิดเห็นไว้, หรือ แทร็กย้อนหลัง จากเว็บไซต์ของคุณได้.
#2:: themiti 17 กรกฏาคม 2009 เวลา 6:12 (เย็น)
แต่สิ่งที่มองเห็นกับสิ่งที่เป็นจริง หาใช่สิ่งเดียวกันไม่
หากมองผ่านมุมมองของผมแล้ว จะรู้ว่า……………
………………พี่นายน่ารักที่สุดในโลกต่างหาก…………………
มายิ้มกันต่อในตอนหน้านะครับ