ก้าวที่พลาดไป

โดย noina เมื่อ 3 January 2011 เวลา 12:02 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2373

 


    วันนี้ได้หัวข้อการเขียนบันทึกจากประสบการณ์ตรง เพราะความประมาทจึงเป็นที่มาของความผิดพลาดจนทำให้เจ็บตัว เรื่องมีอยู่ว่าวันนี้มีอุบัติเหตุที่นานทีหลายปีถึงจะเกิดสักหน จำไม่ได้เหมือนกันว่าก้าวเดินยังไงถึงได้พลาดพลัดตกบันไดบ้าน เคราะห์ยังดีที่ตกแค่สามขั้น (ถึงไม่ใช่โชคสามชั้นแต่ก็ยังถือว่าโชคพอจะมีอยู่) ผลกระทบจึงแค่ฟกช้ำเท่านั้นเอง นึกโทษตัวเองในใจถ้าไม่ประมาทเดินถือของสองมือก็คงไม่เป็นเช่นนี้ บันใดมีราวให้จับแต่ดันไม่จับ เลยต้องยอมรับความเจ็บปวดเช่นนี้ (อูยยยย..)

หลายๆ คนก็คงจะเคยมีความรู้สึกแบบเดียวกัน การก้าวพลาดทำให้เราเจ็บกาย แต่ความผิดพลาดทำให้เจ็บใจ เมื่อเราตกบันใดไปแล้วก็คงยากที่จะแก้ไขอะไรได้ ความเจ็บปวดเกิดขึ้นแล้วเอาคืนไม่ได้ มีแต่จะทำอย่างไรที่จะรักษาบาดแผลที่เกิดขึ้นให้หายเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ครั้นจะสร้างบันใดที่มีความปลอดภัยสูงกว่าเดิม แต่ถ้าหากเราประมาทเลินเล่ออีกก็ย่อมจะพลัดตกได้อีกในวันข้างหน้า ซึ่งเปรียบได้กับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีต เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรที่เกิดขึ้นแล้วได้ ความเสียใจในความผิดพลาดก็คงจะเรียกกลับคืนมาไม่ได้เช่นกัน คำตอบที่พอจะเป็นไปได้มีเพียงทำใจยอมรับสภาพที่เกิดขึ้น และหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นซ้ำรอยเดิมอีก

จะเห็นได้ว่าตัวเราเองคือสาเหตุของปัญหาและผลที่เกิดก็เกิดกับตัวเราเช่นเดียวกัน ร่องรอยของความเสียใจกับความผิดหวังในอดีตจะลบเลือนได้เร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถปรับตัวได้ดีแค่ไหน การที่จะปรับตัวได้เราต้องรู้ตัวเอง รับรู้ความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง และทำความเข้าใจด้วยเหตุและผล เฉกเช่นเดียวกับรอยฟกช้ำที่เกิดขึ้นจากการก้าวพลาดตกบันได มันจะหายไปอย่างรวดเร็วได้หากเราเข้าใจและเรียนรู้วิธีการปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง การปฐมพยาบาลที่ดีจะไม่ทำให้เหลือรอยฟกช้ำไว้เตือนความทรงจำอยู่นาน เช่นเดียวกับคนที่สามารถปรับความคิดความเข้าใจของตัวเองได้จะไม่ทุกข์ระทมกับความขื่นขมในสิ่งผิดพลาดอย่างเป็นวรรคเป็นเวร

ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองทั้งสิ้น พอมานึกทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็พบว่ามีหลายเรื่องเหมือนกันที่เราขาดทุนเพราะเกิดความทุกข์ใจมากกว่าสบายใจ และเหตุการณ์แต่ละครั้งมักจะรบกวนจิตใจอยู่หลายเพลาเหมือนกัน คอยคิดถึงแต่สิ่งที่ผิดพลาดและนำมากดดันและบั่นทอนกำลังใจตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก เสียใจเสียความรู้สึกแต่ไม่มีอะไรดีขึ้นมา นึกโทษคนอื่นก็แล้วแต่ก็ไม่ได้ทำให้สบายใจขึ้น บางครั้งส่งผลให้เกิดความเฉยชาและเหนื่อยหน่าย (อาการเหนื่อย+เบื่อหน่าย) ซึ่งอาการเหล่านี้เองเป็นบ่อนทำลายกระบวนการทำงานอย่างยิ่งยวด ก่อให้เกิดความเฉื่อย และพัฒนาการด้านลบในการทำงาน หากปล่อยไว้จะเกิดอันตรายอย่างยิ่ง ทางแก้ไขคือต้องรีบชาร์ตแบตเตอรี่อย่างเร่งด่วน การชาร์ตแบตเตอรี่ที่ว่านี้คือ “กระบวนการฟื้นคืนสติให้กับตนเอง” นั่นเอง

    ทุกครั้งที่เกิดปัญหาเช่นนี้กับตัวเอง ถือว่าโชคยังดีที่มีคนคอยเตือนสติให้คิดได้ บุคคลที่เป็นกำลังใจที่สำคัญ คอยโอบกอดและพร้อมให้สวมกอดตลอดเวลาด้วยความเต็มใจและสมยอม และเป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุดในโลก คนผู้นั้นก็คือแม่สุดที่รักของข้าพเจ้านั่นเอง ทุกครั้งที่ได้กอดท่านทำให้มีกำลังใจที่เกินร้อย (แรงส์ ยิ่งกว่า M 150 เสียอีก….. อิอิอิ) แม่จึงเป็นคนสำคัญที่สุด แม้แต่อาการเจ็บตัวครั้งนี้ก็เช่นกัน แม่คือผู้ให้พยาบาล ณ จุดเกิดเหตุ รอยฟกช้ำแทบไม่มีให้เห็นเพราะแม่รีบประคบเย็นทันทีหลังเกิดเหตุ ณ เวลาแห่งความเจ็บปวดในตอนนี้ยาต้านการอักเสบขนานใดสรรพคุณก็ไม่อาจเทียบเท่ากับยาใจจากแม่ได้เลย ถึงจะเจ็บทั้งตัวแต่ก็รักหมดทั้งใจนะจุ๊บ จุ๊บ (JJJ)

Post to Facebook

« « Prev : สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๔

Next : เวลาเดินเท่ากัน » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น

  • #1 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 January 2011 เวลา 8:35 am

    ชอบมุมคิดที่ละเอียด นุ่มนวลค่ะ

    สิ่งมีชีวิตในโลกนี้ต่างมี”สัญญาณเตือนภัย”
    ไมยราบจะหุบใบเมื่อมีการกระเทือน
    มนุษย์ก็เหมือนกันมีความรู้เจ็บ รู้ปวด รู้ร้อน รู้หนาวของร่างกายและจิตใจ
    ความเจ็บ ความช้ำ เป็นสัญญาณบอกให้เรียนรู้ ระวัง ป้องกันและหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดต่อๆไป

    ความผิดพลาด พลั้งเผลอ จึงเป็นคุณ
    ถ้ารู้จักปรับใช้เป็นสัญญาณเตือนตน

    มีความสุขในปีใหม่ตลอดไปนะคะ
    ฝากกราบคุณแม่ที่ท่านมีลูกน่ารักแบบนี้ด้วยค่า ^ ^

  • #2 krupu ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 January 2011 เวลา 7:00 pm

    พ่วง! แต่ช้าแต่ หายเร็ว ๆ น้า ^^

    เห็นด้วยเลยค่ะว่าครอบครัวเป็นต้นทุนชีวิตที่เรามีนะคะ ครูปูก็ใช้วิธีคล้าย ๆ กันค่ะ เวลาที่อะไรต่ออะไรมันหนักหนาไปแล้วก็จะใช้วิธีชาร์ตแบทตัวเองด้วยการโทรกลับบ้านไปคุยเล่นเฉย ๆ ซะงั้น ไม่มีประเด็นอะไรหรอกค่ะ แล้วก็ไม่เคยเล่าเรื่องงานหรือความยากลำบากที่ชีวิตเคยเจอให้ที่บ้านฟังเสียด้วยสิคะ

    “แม่กินข้าวหรือยัง วันนี้ยายทำอะไร” แค่นี้ก็หายเป็นปลิดทิ้งแล้วค่ะ ไอ้ที่วุ่น ๆ ตะีกี้ก็หันกลับมาลุยได้ใหม่ คงเป็นความอุ่นใจและพลังแห่งความรักและความปรารถนาดีที่ท่านส่งผ่านมาให้กับเรากระมังคะ แล้วพอเรารู้สึกอุ่น ๆ มันก็เลยไป warm up พลังงานในตัวให้ฟื้นกลับขึ้นมาใหม่ (นึกถึงหนังกำลังภายในขึ้นมาเลยวุ๊ยส์ :P)

    ว่าแต่คุณแม่พวกเราจะรู้กันบ้างไหมคะว่าแต่ละคนเปรียบเทียบแม่เป็นเครื่องดื่มชูกำลังงี้ หม้อแบตเตอรี่งี้ งาม ๆ ทางน้าน กั่กๆๆๆ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.35477209091187 sec
Sidebar: 0.28789806365967 sec