ก้าวที่พลาดไป
วันนี้ได้หัวข้อการเขียนบันทึกจากประสบการณ์ตรง เพราะความประมาทจึงเป็นที่มาของความผิดพลาดจนทำให้เจ็บตัว เรื่องมีอยู่ว่าวันนี้มีอุบัติเหตุที่นานทีหลายปีถึงจะเกิดสักหน จำไม่ได้เหมือนกันว่าก้าวเดินยังไงถึงได้พลาดพลัดตกบันไดบ้าน เคราะห์ยังดีที่ตกแค่สามขั้น (ถึงไม่ใช่โชคสามชั้นแต่ก็ยังถือว่าโชคพอจะมีอยู่) ผลกระทบจึงแค่ฟกช้ำเท่านั้นเอง นึกโทษตัวเองในใจถ้าไม่ประมาทเดินถือของสองมือก็คงไม่เป็นเช่นนี้ บันใดมีราวให้จับแต่ดันไม่จับ เลยต้องยอมรับความเจ็บปวดเช่นนี้ (อูยยยย..)
หลายๆ คนก็คงจะเคยมีความรู้สึกแบบเดียวกัน การก้าวพลาดทำให้เราเจ็บกาย แต่ความผิดพลาดทำให้เจ็บใจ เมื่อเราตกบันใดไปแล้วก็คงยากที่จะแก้ไขอะไรได้ ความเจ็บปวดเกิดขึ้นแล้วเอาคืนไม่ได้ มีแต่จะทำอย่างไรที่จะรักษาบาดแผลที่เกิดขึ้นให้หายเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ครั้นจะสร้างบันใดที่มีความปลอดภัยสูงกว่าเดิม แต่ถ้าหากเราประมาทเลินเล่ออีกก็ย่อมจะพลัดตกได้อีกในวันข้างหน้า ซึ่งเปรียบได้กับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีต เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรที่เกิดขึ้นแล้วได้ ความเสียใจในความผิดพลาดก็คงจะเรียกกลับคืนมาไม่ได้เช่นกัน คำตอบที่พอจะเป็นไปได้มีเพียงทำใจยอมรับสภาพที่เกิดขึ้น และหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นซ้ำรอยเดิมอีก
จะเห็นได้ว่าตัวเราเองคือสาเหตุของปัญหาและผลที่เกิดก็เกิดกับตัวเราเช่นเดียวกัน ร่องรอยของความเสียใจกับความผิดหวังในอดีตจะลบเลือนได้เร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถปรับตัวได้ดีแค่ไหน การที่จะปรับตัวได้เราต้องรู้ตัวเอง รับรู้ความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง และทำความเข้าใจด้วยเหตุและผล เฉกเช่นเดียวกับรอยฟกช้ำที่เกิดขึ้นจากการก้าวพลาดตกบันได มันจะหายไปอย่างรวดเร็วได้หากเราเข้าใจและเรียนรู้วิธีการปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง การปฐมพยาบาลที่ดีจะไม่ทำให้เหลือรอยฟกช้ำไว้เตือนความทรงจำอยู่นาน เช่นเดียวกับคนที่สามารถปรับความคิดความเข้าใจของตัวเองได้จะไม่ทุกข์ระทมกับความขื่นขมในสิ่งผิดพลาดอย่างเป็นวรรคเป็นเวร
ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองทั้งสิ้น พอมานึกทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็พบว่ามีหลายเรื่องเหมือนกันที่เราขาดทุนเพราะเกิดความทุกข์ใจมากกว่าสบายใจ และเหตุการณ์แต่ละครั้งมักจะรบกวนจิตใจอยู่หลายเพลาเหมือนกัน คอยคิดถึงแต่สิ่งที่ผิดพลาดและนำมากดดันและบั่นทอนกำลังใจตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก เสียใจเสียความรู้สึกแต่ไม่มีอะไรดีขึ้นมา นึกโทษคนอื่นก็แล้วแต่ก็ไม่ได้ทำให้สบายใจขึ้น บางครั้งส่งผลให้เกิดความเฉยชาและเหนื่อยหน่าย (อาการเหนื่อย+เบื่อหน่าย) ซึ่งอาการเหล่านี้เองเป็นบ่อนทำลายกระบวนการทำงานอย่างยิ่งยวด ก่อให้เกิดความเฉื่อย และพัฒนาการด้านลบในการทำงาน หากปล่อยไว้จะเกิดอันตรายอย่างยิ่ง ทางแก้ไขคือต้องรีบชาร์ตแบตเตอรี่อย่างเร่งด่วน การชาร์ตแบตเตอรี่ที่ว่านี้คือ “กระบวนการฟื้นคืนสติให้กับตนเอง” นั่นเอง
ทุกครั้งที่เกิดปัญหาเช่นนี้กับตัวเอง ถือว่าโชคยังดีที่มีคนคอยเตือนสติให้คิดได้ บุคคลที่เป็นกำลังใจที่สำคัญ คอยโอบกอดและพร้อมให้สวมกอดตลอดเวลาด้วยความเต็มใจและสมยอม และเป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุดในโลก คนผู้นั้นก็คือแม่สุดที่รักของข้าพเจ้านั่นเอง ทุกครั้งที่ได้กอดท่านทำให้มีกำลังใจที่เกินร้อย (แรงส์ ยิ่งกว่า M 150 เสียอีก….. อิอิอิ) แม่จึงเป็นคนสำคัญที่สุด แม้แต่อาการเจ็บตัวครั้งนี้ก็เช่นกัน แม่คือผู้ให้พยาบาล ณ จุดเกิดเหตุ รอยฟกช้ำแทบไม่มีให้เห็นเพราะแม่รีบประคบเย็นทันทีหลังเกิดเหตุ ณ เวลาแห่งความเจ็บปวดในตอนนี้ยาต้านการอักเสบขนานใดสรรพคุณก็ไม่อาจเทียบเท่ากับยาใจจากแม่ได้เลย ถึงจะเจ็บทั้งตัวแต่ก็รักหมดทั้งใจนะจุ๊บ จุ๊บ (JJJ)
2 ความคิดเห็น
ชอบมุมคิดที่ละเอียด นุ่มนวลค่ะ
สิ่งมีชีวิตในโลกนี้ต่างมี”สัญญาณเตือนภัย”
ไมยราบจะหุบใบเมื่อมีการกระเทือน
มนุษย์ก็เหมือนกันมีความรู้เจ็บ รู้ปวด รู้ร้อน รู้หนาวของร่างกายและจิตใจ
ความเจ็บ ความช้ำ เป็นสัญญาณบอกให้เรียนรู้ ระวัง ป้องกันและหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดต่อๆไป
ความผิดพลาด พลั้งเผลอ จึงเป็นคุณ
ถ้ารู้จักปรับใช้เป็นสัญญาณเตือนตน
มีความสุขในปีใหม่ตลอดไปนะคะ
ฝากกราบคุณแม่ที่ท่านมีลูกน่ารักแบบนี้ด้วยค่า ^ ^
พ่วง! แต่ช้าแต่ หายเร็ว ๆ น้า ^^
เห็นด้วยเลยค่ะว่าครอบครัวเป็นต้นทุนชีวิตที่เรามีนะคะ ครูปูก็ใช้วิธีคล้าย ๆ กันค่ะ เวลาที่อะไรต่ออะไรมันหนักหนาไปแล้วก็จะใช้วิธีชาร์ตแบทตัวเองด้วยการโทรกลับบ้านไปคุยเล่นเฉย ๆ ซะงั้น ไม่มีประเด็นอะไรหรอกค่ะ แล้วก็ไม่เคยเล่าเรื่องงานหรือความยากลำบากที่ชีวิตเคยเจอให้ที่บ้านฟังเสียด้วยสิคะ
“แม่กินข้าวหรือยัง วันนี้ยายทำอะไร” แค่นี้ก็หายเป็นปลิดทิ้งแล้วค่ะ ไอ้ที่วุ่น ๆ ตะีกี้ก็หันกลับมาลุยได้ใหม่ คงเป็นความอุ่นใจและพลังแห่งความรักและความปรารถนาดีที่ท่านส่งผ่านมาให้กับเรากระมังคะ แล้วพอเรารู้สึกอุ่น ๆ มันก็เลยไป warm up พลังงานในตัวให้ฟื้นกลับขึ้นมาใหม่ (นึกถึงหนังกำลังภายในขึ้นมาเลยวุ๊ยส์ :P)
ว่าแต่คุณแม่พวกเราจะรู้กันบ้างไหมคะว่าแต่ละคนเปรียบเทียบแม่เป็นเครื่องดื่มชูกำลังงี้ หม้อแบตเตอรี่งี้ งาม ๆ ทางน้าน กั่กๆๆๆ