บทเรียนจากฝ่ายทันตกรรม
อ่าน: 1456หลายเดือนมานี่ มีอันต้องไปเยี่ยมเพื่อน-พี่-น้องที่โรงพยาบาลอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะแผนกทันตกรรม
จะว่าไป ผู้เขียนเป็นคนนิสัยไม่ดี poor hygine เรื่องฟันมาตลอด อิอิ เพราะขี้เกียจ หรือเรียกว่า..ไม่เห็นโรงศพไม่หลั่งน้ำตา จริงๆแหละค่ะ
ตอนเด็กๆ ก็จะกลัวหมอฟันมาก ไม่ชอบเลยห้องฟัน แต่คุณหมอบอกอะไรก็ไม่ค่อยจะจำ
มีหลักฐานความดื้อ อยู่ในช่องปาก ซึ่งสมัยก่อน ยังเป็นการอุดฟันด้วยวัสดุสีเงินๆ ผู้เขียนมีหลักฐานอยู่หลายซี่เลย อิอิ
ไม่นับกับซี่ที่ต้องถอนทิ้งไปนะคะ แต่ก็ไม่ค่อยจำ ดื้อจริงๆ โชคดีที่ถอนไปตอนช่วงเป็นฟันน้ำนม จึงไม่ได้เป็นแม่นางฟันหลอ
เอาหละ…
จนรู้ว่า ตัวเองจะได้ไป อเมริกาแน่แท้
การเตรียมตัวก็เกิดขึ้น เสื้อผ้า หน้าผม เอ๊ย…ไม่ใช่ค่ะ
เรื่องของการตรวจร่างกาย ทุกๆอย่าง รวมถึงทันตกรรม
ไม่มีใครบังคับหรอก แต่ความงกของตัวเอง ไม่อยากไปเป็นอะไรต่างบ้านต่างเมือง แม้ว่าเขาจะซื้อประกันสุขภาพให้ก็ตาม อิอิ ก็ได้เรื่อง…
นึกถึงคำของหลวงพ่อที่มรณภาพไปแล้ว ทันที ทุกครั้งที่ผู้เขียนพาท่านไปตรวจสุขภาพ (บังคับกันไป อิอิ )
“ไปตรวจเช็คหาโรค ก็จะได้โรคสิ ”
ครั้งนี้ ผู้เขียนได้เรื่องจริงๆค่ะ ไม่ถึงกับได้โรคหรอกเนอะ
ระบบร่างกายรวมๆทั่วไปปกติ น้ำหนักเกิน
อ่ะนะ อันนี้ รู้อยู่แล้ว ข้อมูลเชิงประจักษ์ 555 ผ่านโลด…
แต่…ทันตกรรม ไม่ผ่านนิ
เหงือกร่น ( สมน้ำหน้าแปรงฟันไม่เป็นเอง ) ทำให้เสียวฟัน… (ดีจะได้กินอะไรไมอร่อย )
คุณหมอฟันใจดี ก็แนะนำให้รักษารากฟัน และนัดให้เป็นระยะ ๆ
ผู้เขียนต้องไป ตามทันตแพทย์หญิงนัด อยู่ทั้งหมด 8 นัด อ่ะค่ะ
ขนาดวันที่ 14 เมษายน (วันครอบครัว) ผู้เขียนยังไม่ขาดนะคะ เพราะหมอก็ไม่ยอมหยุดนัดนิ (เด็กดีไหม)
จนเมื่อ ต้นพฤษภาคม ก็แล้วเสร็จค่ะ และทันตแพทย์หญิงท่านก็ไม่ได้นัดอีก
เราเองก็ดีใจเพราะเสร็จทันก่อนเดินทาง (ครั้งนั้น ว่าจะไปช่วงsummer ) แต่ที่สุดได้เดินทางตุลาคม
555 อันนี้เป็นโรคเลื่อน จากสถานการณ์บ้านเมือง
ผู้เขียนมีความสุขกับการใช้ปาก ทั้งในเมืองไทยและอเมริกาเรื่อยมา
จนกระทั่งวันนึง เอ๊ะ…อะไรแข็งๆ
อ๊ะ…จ๊ากกกกกกกก
ฟันแตก
ตรวจเช็คดูก็ทราบว่าเป็น แตกจากซี่ที่รักษารากฟัน
เอ๋…เราก็ไม่ได้กินของแข็งนา (อิฐ ดิน ปูน เหล็กก้ไม่เคยแอ้ม…)
วันต่อมาจึงรีบไปหาหมอฟัน อิอิ หาเรื่องไปเยี่ยมเพื่อนๆ
คราวนี้ได้พบนายทันตแพทย์ ท่านใจดีดูให้และให้ความรู้ว่า
ฟันที่เคยรักษารากฟันจะเปราะเพราะ โพรงประสาทนั้นเสียไปแล้ว (อันนี้เคยรู้)
เพราะฉะนั้นเมื่อรักษารากฟันแล้วจะต้องทำครอบฟันไว้ เพราะเสี่ยงกับการแตกหักเสียเนื้อฟันได้
(แป่วววววววว อันนี้ ไม่เคยรู้ ไม่มีใครแนะนำ และดันไม่รู้จักหาความรู้อีก)
นายทันตแพทย์ใจดี ท่านก็ตรวจๆ ท่านก็บอกว่า วันนี้ท่านนัดเยอะ
พอดีท่านอัยการ(ไม่ได้อยู่เกาะ) มารอทำฟันตามนัดด้วย และของผู้เขียนดูอาการแล้วน่าจะต้องตรวจละเอียดและหาทางบูรณะ ใช้เวลานาน ท่านจึงมาดูเวลา แล้วหากำหนดนัดอย่างเร็วให้ใหม่ วันนั้นจึงอุดชั่วคราวมาให้
อีกสองวันต่อมา…
ผู้เขียนไปอีกตามนัด ทันตแพทย์ท่านก็ใจดีเหมือนเคย (ไม่ค่อยดุ)
ตรวจแล้วก็เรียกทันตแพทย์หญิงอีกท่านมาช่วยกันดู…เช็คกันอย่างละเอียด
เพราะคุณหมอทั้งสองท่าน (แต่ไม่ใช่ท่านเดิมที่เคยรักษารากฟันเรานะ) พยายามอย่างยิ่งในการรักษาเนื้อฟัน
…
บทสรุป ก็คือฟันเราแตกแบบเฉลียง และลึกลงไปในเหงือก เลยคอฟันเลงไปอ่ะค่ะ
สุดจะเยียวยาแล้ว…
หมอชายท่านอยากจะเก็บ แต่หมอหญิงท่านว่า เก็บไว้ก็ไม่รอด วันนี้เก็บ อีกไม่เกิน อาทิตย์คนไข้ก็ต้องมาอีก
ท่านก็ปรึกษากัน หมอชายอยากจะรักษาฟันแท้ๆของเราสุดๆ..
ผู้เขียนในฐานะเจ้าของฟัน..
ก็เกรงใจและเข้าใจนะคะว่า คงเป็น case หิน (ยาก)ที่จะเก็บรักษาเนื้อฟันไว้
จึงขออนุญาตว่า… ถอนเลยก็ได้ค่ะคุณหมอ !!
หมอหญิง : คนไข้ทำใจแล้วนะคะ
หมอชาย: คนไข้ต้องใส่ฟันปลอมนะครับ
ผู้เขียน : ค่ะ
หมอชาย: ผมอยากเก็บไว้ครับ แต่คงต้องใช้วิธีการละเอียดมากและคงรับรองผลไม่ได้
ที่จริงคนไข้ควรได้ทำครอบฟันตั้งแต่แรก อย่างที่ผมเคยอธิบายนะครับ ฟันที่ได้ทำรักษารากฟันแล้วจะเปราะ
แตกได้ง่าย แม้ว่าคนไข้จะไม่ได้เคี้ยวของแข็งมาก ผมอยากจะทำรัดคอฟันไว้ แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้วครับ
แตกเสี้ยวลงไปในเหงือกแล้ว
ผู้เขียน : คุณหมอถอนเถอะค่ะ
หมอหญิง: ถอนยากเหมือนกันนะพี่ ฟันที่เคยรักษารากฟันนี่ รากแข็งแรงเชียว
ผู้เขียน : ขอยาชาด้วยนะคคุณหมอพี่ ขี้ขลาดอ่ะ
หมอชาย : ฝากหมอหญิงทำต่อนะครับ
…
สรุป…วันนี้ผู้เขียนจึงเสียฟันบดเคี้ยว 1 ซี่ ในวัย 40 เฮ้อ…กว่าจะถอนได้ หมดยาชา ไป 3 เข็ม
เวลาตั้งแต่เริ่มถอนประมาณครึ่งชั่วโมงค่ะ ชาไปทั้งหน้า สั่นจนไม่กล้าขับรถกลับบ้านเอง
ต้อง sms ให้น้องสาวมาขับรถพากลับบ้านค่ะ
จากนั้นผู้เขียนปวดมาก … ต้องทานยาแก้ปวดติดต่อกันเป็นอาทิตย์เลยค่ะ เพราะบาดเจ็บเยอะกว่าจะเอาฟันออกได้
ขนาดลูกหลานมารับปริญญา ผู้เขียนยังกินเลี้ยงกับเขาได้ไม่สะดวกเลยค่ะ (แย่จัง) เพราะเนื้อเหงือกยังปิดไม่สนิท
กินเยอะเศษอาหารลงไป ยิ่งจะปวดเนอะ
บทเรียนครั้งนี้ ได้ข้อคิดสู่การปฏิบัติที่ดี
1. แปรงฟันให้เป็น แปรงขึ้นแปรงลง อย่าถูๆ ไปแนวขวาง ไม่อย่างนั้นเหงือกจะร่น
2. ใช้ยาสีฟันแบบ ลดอาการเสียว
3. แปรงชนิดขนแปรงนุ่ม
4. ใช้ไหมขัดฟัน ไม่ควรใช้ไม้จิ้มฟัน
5. ถ้าต้องรักษารากฟันต้องรีบทำครอบฟัน
6. ถ้าต้องอุดฟันเลือกแบบวัสดุสีเงินจะทนทานกว่า วัสดุสีคล้ายฟัน
7. ยาแก้ปวดประจำเดือนใช้แก้ปวดฟันดีกว่าจริงๆ อิอิ พิสูจน์แล้ว
8. ฟันบดเคี้ยวล่าง ควรใส่ฟันปลอมแบบถาวร ซึ่งปัจจุบันราคาเป็นหมื่น แต่เบิกได้จ่ายเพิ่มแค่ 4000 บาท
9. รากฟันเทียม ราคา 30,000 บาท ซี่เดียวนะเนี่ย…อันเล็กๆเท่ารากฟันแท้อ่ะแหละค่ะ
No related posts.
Next : กลิ้ง..ๆ..ๆ ไปปากน้ำโพ ดีไหมค๊า… » »
ความคิดเห็นสำหรับ "บทเรียนจากฝ่ายทันตกรรม"