ก.ค. 16

ในยุคปัจจุบันซึ่งเป็นโลกแห่งการแข่งขัน คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจมีความวิตกกังวลว่าลูกของเรามีความเก่งและความสามารถที่จะเอาตัวรอดและประสบความสำเร็จในสังคมได้หรือไม่ เด็กบางคนอาจเก่งในด้านคณิตศาสตร์ ด้านศิลปะ ด้านภาษา ด้านกีฬา ซึ่งผู้ปกครองต้องคอยสังเกตในความเก่งและความถนัดของลูกและตอบสนองต่อความสนใจนั้น ดังนี้

• มีปฏิสัมพันธ์กับลูกให้มากที่สุด โดยอย่าให้ทีวีเป็นพี่เลี้ยงลูก งานวิจัยหลายชิ้นระบุว่าการที่เด็กนั่งนิ่งๆ และให้เด็กได้รับการสื่อสารทางเดียว โดยการใช้สายตามองภาพที่เคลื่อนไหวสลับไปมาอย่างรวดเร็ว จะทำให้เด็กเป็นโรคสมาธิสั้น มีพัฒนาการทางด้านภาษาล่าช้า และเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ จากรายงานของ American Academy of Pediatrics (AAP) พบว่า ปัจจุบันความก้าวร้าวรุนแรงที่เห็นจากโทรทัศน์และสื่อต่าง ๆ มีเพิ่มขึ้นมาก ประมาณร้อยละ 60 ของรายการต่าง ๆ ซึ่งน่าเป็นห่วงที่พบว่ารายการของเด็กโดยเฉพาะการ์ตูนของบางประเทศจะมีความก้าวร้าวรุนแรงสอดแทรกอยู่ด้วยเสมอ

• ให้ความรักกับลูกอย่างสม่ำเสมอและไม่มีเงื่อนไข กอดลูก หอมลูกทุกครั้งเท่าที่จะทำได้ นักจิตวิทยาส่วนใหญ่เชื่อว่า ความผูกพันที่มั่นคงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านสุขภาพของเด็ก (Bentzen และ Frost, 2003) การที่เด็กได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่อย่างเต็มที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ลูก ทำให้ลูกมีฐานอารมณ์ที่มั่นคงและจะสร้างลูกให้เป็นคนที่สามารถแสดงความรักกับผู้อื่นได้ด้วย

• ให้กำลังใจและชมเชยลูกเสมอ เด็กที่ได้รับความสนใจและคำชมเชยอยู่เสมอ จะมีพัฒนาการทางสมองดีกว่าเด็กที่ถูกปล่อยปะละเลย จากการศึกษาเด็กที่ถูกทอดทิ้ง และอยู่ในสถานรับเลี้ยงไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่และปล่อยปะละเลย จะมีพัฒนาการที่ล่าช้าในทุกด้าน

• สร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม และปลอดภัย โดยมีเครื่องเล่นที่เหมาะสม กับพัฒนาการ เช่นไม้บล็อก ให้ลูกได้เล่น ซึ่งช่วยให้เด็กมีสมาธิมากขึ้นและยังช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ รู้จักการแก้ปัญหาพัฒนาด้านสติปัญญาด้านการคิดวิเคราะห์ และที่สำคัญเด็กได้รับความสนุกสนานอีกด้วย

• ให้ลูกรับประทานอาหารที่ครบหมู่ เนื่องจากร่างกายของเด็กกำลังเจริญเติบโต การรับประทานอาหารให้ครบหมู่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ผัก เกลือแร่ วิตามิน และไขมัน จะช่วยให้ลูกมีเซลสมองที่เจิญเติบโตได้ดีและมีร่างกายที่แข็งแรง

• อ่านหนังสือให้ลูกฟังมากๆ การอ่านหนังสือให้ลูกฟังจะช่วยพัฒนาภาษาของลูก ซึ่งลูกอาจจะไม่เข้าใจคำศัพท์ หรือเรื่องราวทั้งหมด แต่การอ่านให้ลูกฟังบ่อยๆและซ้ำๆจะช่วยให้ลูกมีพัฒนาการด้านภาษามากขึ้นจนคุณพ่อคุณแม่จะแปลกใจเลยทีเดียว การพูดคุยและถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆกับลูกจะช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของลูกได้เป็นอย่างดี

• ให้ลูกมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่น ลูกจะได้รับการพัฒนาด้านร่างกายและด้านสติปัญญา อีกทั้งยังได้พัฒนาทักษะทางด้านสังคมในการปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาความฉลาดของลูกก็คือสองมือของพ่อแม่ที่คอยดูแลเอาใจใส่ลูกด้วยการให้ความรัก ความอบอุ่น ความสนิทสนม โดยการแสดงออกในการมีปฏิสัมพันธ์กับลูก พูดคุยกับลูก เล่นกับลูก ซึ่งพฤติกรรมของพ่อแม่ดังที่กล่าวมานั้นจะเป็นเหมือนวิตามินขนานเอกที่ช่วยพัฒนาศักยภาพของลูกน้อยในทุกด้าน เพราะว่า “สองมือของพ่อแม่สร้างลูกให้ฉลาดได้จริงๆ”

ที่มา: http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000096305

มิ.ย. 28

น้องต้าครับ

แม่ขอโทษด้วยนะที่แม่ดูแลลูกไม่ดีพอ ลูกเป็นไข้สูงตอนกลางคืนในคืนหนึ่งในวันที่ 19 พฤษภาคม แม่ก็พยายามเช็ดตัวให้ลูก ลูกก็คงจะง่วง ไม่อยากให้แม่เช็ดตัว แม่จึงให้ลูกกินยาลดไข้ ลูกก็ยอมกิน แม่ก็นึกว่าไข้จะลด จึงปล่อยให้ลูกและแม่หลับไปด้วยความง่วงและเหน่อย แต่ลูกไข้สูงมากจนลูกชัก พ่อและแม่รีบพาลูกไปโรงพยาบาล แม่ขอโทษที่แม่ดูแลลูกไม่ดี แม่ควรจะเช็ดตัวให้ลูกจนกว่าไข้จะลด หรือพาลูกไปโรงพยาบาลตั้งแต่เนิ่นๆ

มาวันนี้วันที่ 28 มิถุนายน แม่ก็ให้ลูกถือแก้วน้ำที่แม่ได้รับเป็นของขวัญเนื่องในโอกาสไปบรรยายในวิชาสัมมนาของนักศึกษาปริญญาเอก ภาควิชาชีววิทยา แม่ก็ดูลูกถือตลอดและแม่พยายามไม่ให้ลูกถือต่อไปโดยการบอกให้ลูกเอาไปให้เจ้ออมสินซึ่งเป็นลูกพี่สาวของแม่ ลูกก็เดินไปที่เจ้ออมสิน แม่ก็นึกว่าลูกจะให้เจ้ออมสิน แต่ลูกไม่ยอมให้ ถือไปถือมา จนลูกหกล้มและแก้วบาดมือลูก ลูกต้องเย็บ 4 เข็ม และล้างแผลเป็นเวลา 1 สัปดาห์ แถมยังต้องกินยาป้องกันการติดเชื้อด้วย แม่ขอโทษที่ทำให้ลูกเจ็บและลำบากหลายวัน แม่น่าจะมีจิตใจที่เข้มแข็งมากกว่านี้ ไม่ตามใจลูกมากเกินไป

แม่ขอโทษจริงๆ แม่ผิดไปแล้ว แม่สัญญาว่าแม่จะพยายามดูแลลูกให้ดีกว่านี้ และจะใจแข็งกับลูกมากขึ้น จะป้องกันเหตุอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับลูกได้ให้มากกว่านี้ ลูกให้อภัยแม่เถอะนะ เวลาลูกเจ็บ แม่เจ็บยิ่งกว่า ทุกครั้งที่ลูกต้องไปโรงพยาบาล แม่ร้องไห้เพราะแม่รับรู้ถึงความเจ็บของลูก

รักลูกเสมอ
- แม่ต้อม

มิ.ย. 27

เมื่อน้องต้าอายุ 2 ขวบ น้องต้าสามารถบอกฉี่ได้ จริงๆ น้องต้าบอกฉี่มาได้สัก 1-2 เดือนก่อนห้นานี้แล้ว คุณครูเพ็ญบอกว่าน้องต้าบอกฉี่ได้แล้ว และน้องต้าชอบตดให้ครูเพ็ญดม อยู่กัน 2 คนก็ตดให้กันดมอยู่นั่นแหละ ฟังครูเพ็ญพูดก็ขำๆ ดี น้องต้าชอบครูเพ็ญมาก เวลาไปโรงเรียนก็จะโผเข้าไปกอดครูเพ็ญ เวลาแม่ไปรับน้องต้าก็มักจะเห็นน้องต้าเล่นกับครูเพ็ญหรือนั่งตักครูเพ็ญ ครูเพ็ญก็บอกแม่ว่า ถ้าเพื่อนคนอื่นมานั่งตักครูเพ็ญ น้องต้าก็จะไม่ยอม จะผลักเพื่อนออก ถ้าน้องต้าพูด แล้วครูเพ็ญไม่สนใจ น้องต้าก็จะงอน โชคดีที่ครูเพ็ญไม่รำคาญน้องต้า แต่กลับเอ็นดูน้องต้า แม่เคยโทรไปที่โรงเรียนเพื่อจะบอกว่าน้องต้าว่าน้องต้าไม่สบาย จะไม่ไปโรงเรียน ครูคนอื่นที่รับโทรศัพท์ก็บอกว่า อ้อ มิน่าละ ครูเพ็ญถึงได้บ่นว่า ลูกชายครูเพ็ญหายไปไหน วันนี้ทำไมไม่มา

น้องต้าชอบแต่งตัวหล่อด้วย เวลาอาม่าเลือกเสื้อกางเกงให้น้องต้าใส่ น้องต้าก็จะไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อและกางเกงที่น้องต้าชอบใส่มาให้อาม่าใส่ให้ เสื้อตัวโปรดของน้องต้าคือเสื้อเชิ๊ตลายดอกสีฟ้า ชอบใส่ทั้งเช้า เย็น และก่อนนอน ส่วนกางเกงโปรดของน้องต้าจะเป็นกางเกงผ้าสีดำ น้องต้าชอบหวีผมเองด้วย น้องต้าชอบแปรงฟันทีต้องเอาแปรงมาจุ่มๆ กับน้ำก่อน ทั้งเจ้หญิงและแม่ต่างก็พยายามให้น้องต้าแปรงฟันทุกเช้าและก่อนนอน เจ้หญิงสอนให้น้องต้าเช็ดน้ำมูกเองด้วยนะ เวลามีใครบอกให้น้องต้าเช็ดน้ำมูก น้องต้าก็จะหาทิชชูหรือผ้ามาเช็ดน้ำมูกด้วยตนเอง

น้องต้าชอบน้องเป็ด เวลาต้าอยากอึ ต้าก็จะถามหาน้องเป็ด เพราะอาม่าให้น้องต้านั่งอึกับน้องเป็ด เมือ่วานไปเซ็นทรัลขอนแก่นมา น้องต้าก็เห็นครอบครัวน้องเป็ดตัวเล็ก ๆ มีแม่เป็ด 1 ตัว ลูกเป็ด 3 ตัว น้องต้าก็ถือเอาไว้ และไม่ยอมปล่อย จนคนขายของต้องดึงแท็กออกเพื่อจะคิดเงิน ตอนเดินทางกลับมาบ้าน น้องต้าก็ถือน้องเป็ดตลอดเวลาและเหนื่อยมากจนผลอยหลับด้วยตัวเองที่คาร์ซีท พอตื่นเช้าขึ้นมา ก็ถามหาน้องเป็ด และถือน้องเป็ดไว้ตลอด

มิ.ย. 18

ต้าครับ

วันนี้ลูกอายุครบ 2 ขวบ แม่ดีใจที่ลูกเกิดมา จริงๆ ลูกเองก็คงจะดีใจที่ได้เกิดมาเหมือนกัน เพราะลูกเข้าฝันแม่หลายรอบตั้งแต่ก่อนที่แม่จะแต่งงานกับพ่ออีก แม่ฝันถึงเด็กชายคนหนึ่งที่มาเกาะแขนแม่ มาเล่นชิงช้าใกล้ๆ แม่ ตอนลูกเข้าฝันแม่ครั้งแรก แม่ไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ จนกระทั่งเข้าฝันครั้งที่ 2 ครั้งที 3 … แม่จึงคิดว่าลูกตั้งใจที่จะมาเกิดกับแม่จริงๆ

แม่ยังจำได้ดีถึงแววตาที่ลูกมองแม่เมื่อลูกคลอดออกมาจากท้องแม่ ลูกมีตาที่โตมาก ตอนลูกเล็กมาก ๆ แม่คิดว่าลูกหน้าเหมือน Jedi นะ ตอนโตขึ้นแวว Jedi ลดลงแล้วแหละ :P แม่คลอดธรรมชาติ แต่แม่คงอยู่ รพ นานที่สุดในบรรดาแม่ที่คลอดธรรมชาติ แม่ตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะให้ลูกได้กินแต่นมแม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งที่แม่จะให้กับลูกได้ ในช่วงแรก น้ำนมแม่น้อยมาก จนน้ำหนักลูกลด แม่จึงต้องอยู่ รพ จนกว่าลูกจะน้ำหนักเพิ่มขึ้น แม่คลอดใน รพ ศรีนครินทร์ ทซึ่งส่งเสริมการให้นมแม่ ซึ่งมีส่วนช่วยมากที่ทำให้แม่ให้นมแม่สำเร็จ ถ้าไม่ใช่ รพ ที่ส่งเสริมการให้นมแม่ และไม่มีคุณหมอที่เชี่ยวชาญด้านนมแม่อย่าง อ หมอกุสุมา แม่ก็คงจะให้นมแม่ได้ไม่สำเร็จ แต่บุคคลที่ขาดไม่ได้คืออาม่าของลูก อาม่าของลูกช่วยปลอบลูกตอนทีลูกร้องไห้ แม่ตอนนั้นเหนื่อยมากและไม่รู้วิธีที่จะปลอบให้ลูกหยุดร้องได้ดีเท่ากับอาม่าของลูก พยาบาลชมว่าอาม่าลูกนะใจเย็นและใจดี เมื่อลูกโตขึ้น ลูกต้องดีกับอาม่ามากๆ นะครับ

พอกลับมาถึงบ้าน แม่ก็ยังมีปัญหาในเรื่องการให้นม จนกระทั่งเพื่อนที่ดีของแม่คือ ป้าตุ๊กตาเค้าแนะนำให้แม่เข้า เว็บนมแม่ ซึ่งก็ช่วยทำให้แม่รู้เทคนิคดีๆ มากขึ้นและมีเพื่อนที่ดีมากมายจากการรู้จักกับแม่ๆ และหมอในเว็บนี้ หลายครั้งที่แม่เหนื่อยและไม่สบายเพราะไม่ได้พัก เพราะลูกกินนมบ่อยและนาน บางทีแม่นั่งให้นมลูก 4-5 ชั่วโมงต่อครั้ง แม่ก็คิดที่จะบอกให้พ่อซื้อนมผสม แต่แม่ก็ถามตัวเองว่าแม่ได้ทำดีที่สุดแล้วเหรอยัง แม่พยายามอดทนและพยายามที่จะทำตามเทคนิคต่างๆ และด้วยความเช่วยเหลือของหลายคนในบ้าน ไม่ว่าจะเป็น อาม่าและคุณพ่อ แม่ก็ให้นมแม่กับลูกโดยไม่ได้ให้นมผสมหรือนมอย่างอื่นจนกระทั่งลูกอายุ 1 ขวบ แม่จึงเริ่มให้นมอื่นแต่ก็ยังให้นมแม่อยู่จนกระทั่งลูกอายุ 1.4 ขวบที่ลูกไม่ได้กินจากเต้าแม่ เพราะลูกกัดนมแม่หลายครั้งจนเป็นแผล และลูกงอแงมากเมื่อนมอาจจะมาไม่ทันใจลูก อาม่าจึงแนะนำว่าให้ลูกหย่านมเถอะ แม่ไม่อยากให้ลูกและอาม่าต้องลำบากใจ จึงหย่านมในตอนนั้น แต่แม่ก็พยายามปั้มนมให้ลูกจนถึงตอนนี้ ถึงแม้นมจะออกมาไม่มาก แต่แม่ก็เชื่อว่า นมแม่จะช่วยเป็นภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ให้กับลูก และเป็นสายใยที่แม่อยากจะสื่อให้ลูกว่าแม่อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกเสมอ

ตอนนี้ลูกมีคนที่รักลูกหลายคนมาอยู่กับลูกในบ้านนะ ลูกโชคดีที่มีเจ้หญิงมาเล่นกับลูก มาพูดกับลูกบ่อยๆ มาร้องเพลงให้ลูกฟัง มาอุ้มลูกพาลูกไปเที่ยวนั้นเที่ยวนี้ ลูกร่าเริงและแจ่มใสขึ้นเยอะเมื่อมีเจ้หญิงมาอยู่กับลูกที่บ้าน แม่ก็รู้สึกขอบคุณเจ้หญิงมากที่ช่วยแม่ พ่อ และอาม่าในการเล่นกับลูก

แม่ดีใจที่ลูกเป็นคนที่พยายามทำอะไรด้วยตัวเอง ตอนนี้ลูกเปิดปิดก๊อกน้ำเอง เปิดปิดประตูเอง ถอดกางเกงเอง ถอดและใส่รองเท้าแตะเอง แม่อยากให้ลูกทำอะไรด้วยตัวเองได้ไปเรื่อยๆ และแม่เองก็ดีใจที่ลูกชอบเข้าไปเล่น สัมผัส และกอดกับเพื่อนๆ คนอื่นในวัยเดียวกัน ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะแม่ชอบกอดลูกบ่อย วันนี้ตอนลูกไปวัด ลูกก็เข้าไปจับมือกับพี่คนหนึ่ง

วันนี้วันเกิดลูก แต่ตั้งแต่ลูกเกิดมา แม่ไม่เคยเอาเค้กให้ลูกทานในวันเกิด ไม่เคยจัดงานวันเกิดให้ลูกด้วย ที่ไม่จัดไม่ใช่เพราะไม่รักลูก แต่คิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม คุณพ่อและอาม่าของลูกก็ไม่สนับสนุนที่จะให้มีเค้กหรือมีการจัดงานวันเกิดด้วย แต่แม่อยากให้การเกิดของลูกเป็นการเกิดที่มีประโยชน์ต่อคนอื่นบนโลกนี้ตั้งแต่ลูกเกิดมา วันครบรอบวันเกิดลูกเมื่อลูกอายุ 1 ขวบ แม่ได้ตอบแทนสังคมเว็บนมแม่ด้วยการเขียนคู่มือในการใช้กระดานสนทนาเพื่อให้แม่ๆ สามารถใช้กระดานสนทนาได้ง่ายขึ้น แม่อยากทำดีแทนลูก วันครบรอบวันเกิดลูกเมื่อลูกอายุ 2 ขวบ ครอบครัวของเราได้พาลูกไปทำบุญที่วัดโมกข์และทำบุญให้เด็กๆ ที่บ้านแคนทองซึ่งเป็นบ้านรับเลี้ยงเด็กกำพร้า และแม่ตั้งใจจะทำอย่างนี้ทุกปีในวันครบรอบวันเกิดลูก

ในวันครบรอบเกิดของลูก แม่อยากให้ลูกระลึกเสมอว่า

ลูกโชคดีกว่าเด็กหลายๆ คน และแม่อยากให้ลูกแบ่งปันความโชคดีของลูกให้กับเพื่อนๆ มนุษย์ที่เค้าขาดแคลนหลายสิ่งมากกว่าลูก

ลูกจะทำสิ่งต่างๆ เพื่อประโยชน์ของคนรอบข้างและคนอื่นในสังคม ในกำลังที่ลูกจะทำได้ การเกิดของลูกควรจะมีประโยชน์ต่อผู้อื่น

ลูกจะไม่เรียกร้องที่จะได้วัตถุต่างๆ ในวันเกิดลูก แต่ลูกจะใช้โอกาสนี้ในการให้วัตถุต่างๆ กับคนอื่น

ลูกจะใช้เวลาในวัด ในห้องสมุดเด็กมากกว่า ในห้างเพราะในวัด มีคุณธรรมที่ลูกสามารถเรียนรู้ได้ ในห้องสมุดเด็ก มีหนังสือที่จะทำให้ลูกมีความสุขกับการจินตนาการไปกับตัวหนังสือ แต่ในห้าง มีแต่สิ่งที่จะกระตุ้นให้ลูกมีความอยากนั่น อยากนี่ และเมื่อไหร่ที่เรามีความอยาก ความสุขสงบในชีวิตเราก็จะหลบออกไป วันนี้ครอบครัวเราก็ไปวัด ไปทำบุญที่บ้านแคนทอง ไปดูปลา และไปห้องสมุดกัน ซึงลูกก็ชอบห้องสมุดมาก อยู่หลายชั่วโมงจนลูกนั่งหลับไปเอง

การที่ลูกเกิดมาทำให้แม่ตั้งใจจะพัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่มีความสุข จากการใช้หลักธรรมในการดำเนินชีวิต พัฒนาความรู้ความสามารถของตนเองเพื่อที่จะช่วยคนอื่นได้ แม่อยากให้ลูกเป็นแบบนี้ แม่จึงต้องเป็นแบบนี้ก่อน แม่จะไม่หวังให้ลูกเป็นมากกว่าสิ่งที่แม่จะเป็นได้

สุดท้ายนี้ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยโปรดดลบันดาลให้ลูกมีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยอันตรายทั้งปวง มีความสดชื่น ร่าเริง แจ่มใส เป็นเด็กดีของทุกคน

รักลูกเสมอ
- แม่ต้อม

พ.ค. 04

เพื่อช่วยให้น้องต้าพูดได้เร็วขึ้น แม่น้องต้าจะเรียนภาษามือและสอนภาษามือให้น้องต้า

วันนี้ (4 พ.ค. 53) คำที่แม่น้องต้าเรียนรู้คือ

  1. แม่
  2. พ่อ
  3. รถ
  4. บอล
  5. หนึ่ง
  6. สอง
  7. สาม
  8. สี่
พ.ค. 04

น้องต้าจะชอบกินยา น้องต้าชอบเปิดขวดยาเอง ปิดขวดยาเอง ถ้าบอกว่า กินยา น้องต้าจะรีบไปหา และอ้าปากกว้างๆ ให้คนป้อนยาให้

พ.ค. 01

น้องต้าพูดได้น้อยคำเมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน แม่น้องต้าจะพยายามฝึกน้องต้าพูดมากกว่านี้และเขียนบันทึกคำที่น้องต้าพูดได้ เพื่อเวลาไปพบหมอฝึกพูด จะได้รายงานได้ถูกต้องมากขึ้น คำที่น้องต้าพูดได้ตอนนี้คือ
1) จ้ะเอ๋
2) ต้อม (หม่าต้อม)
3) ปิค (ปิคอัพ)
4) ป้า
5) จ้ะ (เวลาเห็นอะไรสกปรก)
6) ฉี่
7) แน้นนะ (นม)
8) เจ้
9) ปู่
10) บู่ (สบู่)
11) ตก
12) บัส (รถบัส)
13) จ้าง (ช้าง)
14) ตู (ครู)
15) จิตต์ (ม่าจิตต์)
16) ป้อ (พ่อ)
17) เปิด
18) จาด (ธงชาติ)
19) ทิด (อาทิตย์)
20) ต้า (ตัวต้าเอง)
21) ปิด
22) นี้
23) สี่
24) เป็ด
25) ยูง (นกยูง)
26) ลา (จากเพลง ล่าล้าลา ล้าล่าลา)
27) ประตู
28) เทอด
29) ลุง
30) แป้ง
31) ปลา
32) พุง
33) ตา
34) ตู้
35) ป๊อป
36) ดิน
37) สอ
38) สี
39) จี้
40) เอามา
41) ตุ๊ก
42) ปาก
43) ยา
44) รถ
45) เพลน
46) กด
47) จก
48) พี
49) ทูน
50) ตูน

เม.ย. 28

เนื่องด้วยน้องต้าจับสลากเข้าเนิสเซอรี่ของคณะพยาบาลศาสตร์ มข ไม่ได้ เพราะมีคนสมัครเยอะมาก แล้วดวงของแม่น้องต้าไม่ดีพอ ครอบครัวน้องต้าจึงให้น้องต้าเข้าเนิสเซอรี่ที่เพื่อนแม่น้องต้าบอกว่าดีและอยู่ใกล้บ้าน ซึ่งก็คือ โรงเรียนอนุบาลกุลศิริ

ใน 3 วันแรก แม่น้องต้าไปส่งและรับน้องต้าทุกวัน ช่วงยังไปโรงเรียนใหม่ๆ ก็ไปรับประมาณบ่าย 2 โมง วันแรกน้องต้านอนเยอะ วันที่ 2 น้องต้าร้องเยอะ วันที่ 3 น้องต้ากินเยอะ วันต่อมาน้องต้าไม่สบาย เป็นหวัด น้ำมูกเยอะ แและไอค่อนข้างมาก จึงไม่ไปโรงเรียน วันที่ 5 น้องต้าไปพบคุณหมอฝึกพูดและคุณหมอเด็กเพื่อเอายาลดน้ำมูกและไอ

ใน 3 วันต่อมา น้องต้ายังร้องไห้อยู่บ้าง แต่วันที่ 7 น้องต้าเดินนำหน้าแม่และเจ้เข้าโรงเรียนและเข้าห้องแต่พอเข้าไปในห้องเรียนของน้องต้า น้องต้ากลับหันมาแล้วร้องไห้ คุณครูของน้องต้าชื่อ คุณครูเพ็ญ ซึ่งดูจะรักน้องต้ามาก เพราะทุกครั้งที่ไปรับน้องต้า ส่วนใหญ่ก็เห็นน้องต้านั่งตักครูเพ็ญ ส่วนเด็กคนอื่นๆ ก็นั่งใกล้ครูเพ็ญ วันที่น้องต้าไม่ได้ไปโรงเรียน คุณครูท่านอื่นก็เล่าว่า คุณครูเพ็ญถามหาลูกชายของเค้า :)

เม.ย. 18

ตอนนี้น้องต้าอายุ 1 ขวบ 10 เดือน สังเกตมานานว่าน้องต้าเป็นเด็กถนัดซ้าย เวลาเค้ากินข้าวด้วยตัวเค้าเองตอนแรก เค้าจะใช้มือข้างซ้ายถือช้อน แต่พอเห็นคนอื่นถือช้อนขาขวา เค้าก็จะถือช้อนข้างขวาตาม เวลาเค้ายกขาขึ้นบันไดก่อน เค้าก็จะยกขาซ้ายก่อน แต่พอเห็นแม่ยกขาขวา ก็เปลี่ยนมายกขาขวาก่อน เวลาเค้าจับปากกาหรือดินสอก็จะเลือกจับด้วยมือซ้ายก่อน อีกประการหนึ่งก็คือคุณปู่ของน้องต้าถนัดซ้าย คุณพ่อของน้องต้าก็ถนัดซ้ายแต่เขียนหนังสือข้างขวา คิดว่าเป็นไปได้สูงที่น้องต้าจะถนัดซ้าย เนื่องจากเรื่องความถนัดซ้ายขวาอาจมีปัจจัยด้านกรรมพันธุ์อยู่ด้วย

ในเรื่องพัฒนาการของน้องต้านั้นตอนนี้เป็นห่วงเรื่องพัฒนาการพูดของเค้า ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการด้านอารมณ์และสังคมของเค้าด้วย เพราะเค้าไม่สามารถสื่อสารในสิ่งที่ทำให้คนอื่นเข้าใจได้ ทำให้คนอื่นไม่เข้าใจเขา ดูเหมือนอาม่าน้องต้าจะเข้าใจน้องต้ามากที่สุด รู้สึกแย่ที่ตัวเองเป็นแม่ที่ไม่ดี ไม่เข้าใจลูกและไม่ส่งเสริมพัฒนาการของลูกเท่าที่แม่คนหนึ่งจะทำได้ น้องต้ายังพูดไม่เก่ง พูดได้ไม่กี่คำ และพูดไม่ชัดหลายคำ ก็เลยสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวกับการถนัดซ้ายของเค้าไหม ปรากฎว่าลองไปค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตดู พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องดังที่ พ.ญ.พิกุล อาศิรเวช [1] เขียนไว้ว่า
“เด็กที่ถนัดซ้ายมีโอกาสจะมีปัญหาด้านพัฒนาการทางภาษาอยู่แล้ว คืออาจมีโอกาสพูดช้าหรือพูดไม่ชัดอยู่แล้ว เนื่องจากเด็กถนัดซ้าย คือสมองซีกซ้ายซึ่งควบคุมร่างกายซีกขวายังพัฒนาไม่ถึงวุฒิภาวะ และสมองซีกซ้ายก็เป็นที่อยู่ของศูนย์การควบคุมภาษาด้วยค่ะ”

จากการสำรวจตัวเอง พบว่าตัวเองยังเป็นแม่ที่ไม่ดี จะพยายามตั้งใจ เข้าใจและให้เวลากับการเลี้ยงลูกมากขึ้น

ในเรื่องของการแก้ไขปัญหาน้องต้าพูดช้า ได้ไปพบแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านหูแล้ว แพทย์ 2 ท่านที่เชี่ยวชาญด้านกายภาพทางหูและการได้ยินก็ลงความเห็นว่าหูของน้องต้าปกติ ในวันที่ 27 เมษายนนี้จะไปพบผู้เชี่ยวชาญในการฝึกพูด วิธีแก้ไขปัญหาเด็กพูดช้าตามที่ พ.ญ. วินัดดา ปิยะศิลป์ แนะนำมีดังนี้

1. พาลูกไปพบกุมารแพทย์เพื่อตรวจเช็คพัฒนาการทุกด้าน
2. ในกรณีที่สงสัยว่ามีปัญหาการได้ยิน ควรตรวจการได้ยินทุกราย เพราะปัจจุบันเครื่องช่วยฟังสามารถช่วยเด็กให้ได้ยินเสียง และทำให้เด็กพูดตามออกมาได้ง่ายกว่า ในกรณีที่เด็กมีความบกพร่องในการรับรู้เสียง
3. ฝึกพูดโดยนักอรรถบำบัด และฝึกกระตุ้นพัฒนาการในด้านอื่น ๆ ที่ช้า ไปพร้อมๆกันโดยนักกระตุ้นพัฒนาการ
4. ปรับสภาพแวดล้อมของเด็กให้เหมาะสม ถ้าคุณต้องการให้เด็กพูดได้ เด็กก็ต้องอยู่ท่ามกลางคนที่พูดกับเด็ก สบสายตา และมองหน้ามองตา คุยกันไป เล่นด้วยกันไปกับเด็ก อย่าปล่อยให้เด็กเล่นอยู่คนเดียวนาน ๆ
5. พ่อแม่แบ่งเวลามาฝึกฝนเด็กด้วยตนเอง เพราะจะไม่มีใคร อดทนกับลูกได้ดีเท่าพ่อแม่ การส่งเด็กไปให้ผู้เชี่ยวชาญฝึก ทำได้อย่างมาก 1 – 2 ครั้งต่อ 2 สัปดาห์ แต่ถ้าพ่อแม่ไปเรียนรู้วิธีการฝึกฝน และนำกลับมาฝึกสอนลูก จะทำให้ความสามารถในการพูด มองหน้า สบตากัน ดีขึ้น พาไปตรวจเช็คความคืบหน้าของความสามารถเด็กอย่างน้อยทุก 3 เดือน

แหล่งอ้างอิง
[1] พ.ญ.พิกุล อาศิรเวช เปลี่ยนลูกถนัดซ้ายให้ถนัดขวาทำให้ติดอ่างจริงหรือ…
[2] พ.ญ. วินัดดา ปิยะศิลป์ สารพันปัญหาเด็ก..ตอน..พูดช้า

เม.ย. 17

น้องต้าเริ่มเดินทางเมื่อน้องต้าอายุประมาณ 9 เดือน โดยเดินทางไปที่กรุงเทพพร้อมครอบครัว เพราะคุณแม่ต้องไปนำเสนอบทความวิจัยในเดือนมีนาคม 2552 จากนั้นน้องต้าก็เดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกเมื่อน้องต้าอายุ 10 เดือน น้องต้าเดินทางไปลาวในเดือนเมษายน 2552 เพราะคุณแม่ต้องไปอบรมให้กับบุคลากรของการไฟฟ้าลาวเกี่ยวกับการออกแบบฐานข้อมูล จากนั้นน้องต้าก็เดินทางไปภูเก็ตในเดือนพฤษภาคม 2552 เพราะคุณแม่ไปนำเสนอบทความวิจัยที่นั้น จากนั้นน้องต้าก็เดินทางไปเกาหลีในเดือนกรกฎาคม 2552 เพราะคุณแม่ไปนำเสนอบทความวิจัยที่นั้นอีกเช่นกัน ต่อมาน้องต้าก็ไปสุรินทร์ในเดือนตุลาคม 2552 เพื่อเยี่ยมญาติ จากนั้นน้องต้าก็ไปเชียงใหม่ในเดือนพฤศจิกายน 2552 เพราะคุณแม่ไปงานแต่งงานเพื่อนที่นั้น  ในสิ้นปี 2552 น้องต้าก็ไปที่ดูไบเพราะคุณพ่อไปนำเสนอบทความวิจัยที่นั้น  ว่างเว้นเพืยงแค่ 2 เดือน น้องต้าก็ลุยต่อในเดือนมีนาคม 2553 น้องต้าไปเชียงใหม่ เชียงรายเพื่อจะไปไหว้เช้งเม้งและเยี่ยมญาติ  ล่าสุดในเดือนเมษายน 2553  น้องต้าไปสงกรานต์ที่บ้านคุณปู่คุณย่าที่สุรินทร์  ครั้งล่าสุดนี้เป็นครั้งแรกที่อาม่าน้องต้าไม่ได้ไปด้วย เพราะอาม่าแก่แล้ว สุขภาพไม่ค่อยดี ไม่อยากเดินทาง  และน้องต้าก็โตพอสมควรแล้วด้วย นอกจากนี้ก็มีป้าและลูกของป้าน้องต้า (เจ้หญิง๗) ช่วยดูแลอาม่าที่บ้านด้วย  คุณแม่น้องต้าจึงได้รู้ซึ้งถึงความโชคดีที่มีอาม่าคอยช่วยเลี้ยงน้องต้า เพราะคุณแม่น้องต้าต้องตามป้อนข้าวน้องต้าเองทุกมื้อ

น้องต้าชอบเที่ยว ชอบดูนั้นดูนี้  งอแงน้อยลงเมื่อโตขึ้นตอนอยู่ในรถ ตอนขากลับมาจากสุรินทร์มาขอนแก่น บอกให้นอนก็นอน :) คุณแม่ได้งีบพักเอาแรงบ้าง ไปเชียงใหม่มาก็ทำให้น้องต้าพูดจ้ะเอ๋เป็นเพราะคุณลุงเขยน้องต้าพูดเก่ง เล่นกับเด็กเก่ง ตอนนี้น้องต้าก็ทำอะไรได้เองหลายอย่างแล้ว เช่น แกะเมล็ดองุ่นออกเองเป็น  เปิดปิดขวดน้ำดื่มเองเป็น  เดินขึ้นบันได้โดยเกาะราวเองเป็น น้องต้าชอบเดินขึ้นรถบันไดและเนินหลายรอบ อย่างวันนี้แวะสวนสาธารณะบึงพลาญชัยที่ร้อยเอ็ด น้องต้าก็เดินขึ้นลงเนิน 5 รอบ เดินขึ้นลงบันได 4 รอบ ตอนนี้ก็ได้แต่ลุ้นและพยายามฝึกให้น้องต้าพูดได้หลายคำมากขึ้น น้องต้าพูดได้บางพยัญชนะ เช่น ป บ น  และ จ  เช่น ปู่ แนน้ (นมในภาษาจีน) บู่ จ้ะ ปี จ้ะเอ๋

ต้ากับพ่อแม่ที่หน้าพิพิธภัณฑ์เล่นได้ที่เชียงราย
ดูปลาขาวที่วัดร่องข่นไปแลบลิ้นไป

ต้าทำตาหวานบนหน้าตักของน้า

สรุปประเทศที่น้องต้าไปมา: เวียงจันทน์ ลาว, โซล และเชจู เกาหลี, ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์

จังหวัดที่น้องต้าไปมาและแวะเที่ยวหรือพัก: เชียงใหม่, เชียงราย, สุรินทร์, ร้อยเอ็ด, ภูเก็ต, กรุงเทพ