เม.ย. 28

เนื่องด้วยน้องต้าจับสลากเข้าเนิสเซอรี่ของคณะพยาบาลศาสตร์ มข ไม่ได้ เพราะมีคนสมัครเยอะมาก แล้วดวงของแม่น้องต้าไม่ดีพอ ครอบครัวน้องต้าจึงให้น้องต้าเข้าเนิสเซอรี่ที่เพื่อนแม่น้องต้าบอกว่าดีและอยู่ใกล้บ้าน ซึ่งก็คือ โรงเรียนอนุบาลกุลศิริ

ใน 3 วันแรก แม่น้องต้าไปส่งและรับน้องต้าทุกวัน ช่วงยังไปโรงเรียนใหม่ๆ ก็ไปรับประมาณบ่าย 2 โมง วันแรกน้องต้านอนเยอะ วันที่ 2 น้องต้าร้องเยอะ วันที่ 3 น้องต้ากินเยอะ วันต่อมาน้องต้าไม่สบาย เป็นหวัด น้ำมูกเยอะ แและไอค่อนข้างมาก จึงไม่ไปโรงเรียน วันที่ 5 น้องต้าไปพบคุณหมอฝึกพูดและคุณหมอเด็กเพื่อเอายาลดน้ำมูกและไอ

ใน 3 วันต่อมา น้องต้ายังร้องไห้อยู่บ้าง แต่วันที่ 7 น้องต้าเดินนำหน้าแม่และเจ้เข้าโรงเรียนและเข้าห้องแต่พอเข้าไปในห้องเรียนของน้องต้า น้องต้ากลับหันมาแล้วร้องไห้ คุณครูของน้องต้าชื่อ คุณครูเพ็ญ ซึ่งดูจะรักน้องต้ามาก เพราะทุกครั้งที่ไปรับน้องต้า ส่วนใหญ่ก็เห็นน้องต้านั่งตักครูเพ็ญ ส่วนเด็กคนอื่นๆ ก็นั่งใกล้ครูเพ็ญ วันที่น้องต้าไม่ได้ไปโรงเรียน คุณครูท่านอื่นก็เล่าว่า คุณครูเพ็ญถามหาลูกชายของเค้า :)

เม.ย. 18

ตอนนี้น้องต้าอายุ 1 ขวบ 10 เดือน สังเกตมานานว่าน้องต้าเป็นเด็กถนัดซ้าย เวลาเค้ากินข้าวด้วยตัวเค้าเองตอนแรก เค้าจะใช้มือข้างซ้ายถือช้อน แต่พอเห็นคนอื่นถือช้อนขาขวา เค้าก็จะถือช้อนข้างขวาตาม เวลาเค้ายกขาขึ้นบันไดก่อน เค้าก็จะยกขาซ้ายก่อน แต่พอเห็นแม่ยกขาขวา ก็เปลี่ยนมายกขาขวาก่อน เวลาเค้าจับปากกาหรือดินสอก็จะเลือกจับด้วยมือซ้ายก่อน อีกประการหนึ่งก็คือคุณปู่ของน้องต้าถนัดซ้าย คุณพ่อของน้องต้าก็ถนัดซ้ายแต่เขียนหนังสือข้างขวา คิดว่าเป็นไปได้สูงที่น้องต้าจะถนัดซ้าย เนื่องจากเรื่องความถนัดซ้ายขวาอาจมีปัจจัยด้านกรรมพันธุ์อยู่ด้วย

ในเรื่องพัฒนาการของน้องต้านั้นตอนนี้เป็นห่วงเรื่องพัฒนาการพูดของเค้า ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการด้านอารมณ์และสังคมของเค้าด้วย เพราะเค้าไม่สามารถสื่อสารในสิ่งที่ทำให้คนอื่นเข้าใจได้ ทำให้คนอื่นไม่เข้าใจเขา ดูเหมือนอาม่าน้องต้าจะเข้าใจน้องต้ามากที่สุด รู้สึกแย่ที่ตัวเองเป็นแม่ที่ไม่ดี ไม่เข้าใจลูกและไม่ส่งเสริมพัฒนาการของลูกเท่าที่แม่คนหนึ่งจะทำได้ น้องต้ายังพูดไม่เก่ง พูดได้ไม่กี่คำ และพูดไม่ชัดหลายคำ ก็เลยสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวกับการถนัดซ้ายของเค้าไหม ปรากฎว่าลองไปค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตดู พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องดังที่ พ.ญ.พิกุล อาศิรเวช [1] เขียนไว้ว่า
“เด็กที่ถนัดซ้ายมีโอกาสจะมีปัญหาด้านพัฒนาการทางภาษาอยู่แล้ว คืออาจมีโอกาสพูดช้าหรือพูดไม่ชัดอยู่แล้ว เนื่องจากเด็กถนัดซ้าย คือสมองซีกซ้ายซึ่งควบคุมร่างกายซีกขวายังพัฒนาไม่ถึงวุฒิภาวะ และสมองซีกซ้ายก็เป็นที่อยู่ของศูนย์การควบคุมภาษาด้วยค่ะ”

จากการสำรวจตัวเอง พบว่าตัวเองยังเป็นแม่ที่ไม่ดี จะพยายามตั้งใจ เข้าใจและให้เวลากับการเลี้ยงลูกมากขึ้น

ในเรื่องของการแก้ไขปัญหาน้องต้าพูดช้า ได้ไปพบแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านหูแล้ว แพทย์ 2 ท่านที่เชี่ยวชาญด้านกายภาพทางหูและการได้ยินก็ลงความเห็นว่าหูของน้องต้าปกติ ในวันที่ 27 เมษายนนี้จะไปพบผู้เชี่ยวชาญในการฝึกพูด วิธีแก้ไขปัญหาเด็กพูดช้าตามที่ พ.ญ. วินัดดา ปิยะศิลป์ แนะนำมีดังนี้

1. พาลูกไปพบกุมารแพทย์เพื่อตรวจเช็คพัฒนาการทุกด้าน
2. ในกรณีที่สงสัยว่ามีปัญหาการได้ยิน ควรตรวจการได้ยินทุกราย เพราะปัจจุบันเครื่องช่วยฟังสามารถช่วยเด็กให้ได้ยินเสียง และทำให้เด็กพูดตามออกมาได้ง่ายกว่า ในกรณีที่เด็กมีความบกพร่องในการรับรู้เสียง
3. ฝึกพูดโดยนักอรรถบำบัด และฝึกกระตุ้นพัฒนาการในด้านอื่น ๆ ที่ช้า ไปพร้อมๆกันโดยนักกระตุ้นพัฒนาการ
4. ปรับสภาพแวดล้อมของเด็กให้เหมาะสม ถ้าคุณต้องการให้เด็กพูดได้ เด็กก็ต้องอยู่ท่ามกลางคนที่พูดกับเด็ก สบสายตา และมองหน้ามองตา คุยกันไป เล่นด้วยกันไปกับเด็ก อย่าปล่อยให้เด็กเล่นอยู่คนเดียวนาน ๆ
5. พ่อแม่แบ่งเวลามาฝึกฝนเด็กด้วยตนเอง เพราะจะไม่มีใคร อดทนกับลูกได้ดีเท่าพ่อแม่ การส่งเด็กไปให้ผู้เชี่ยวชาญฝึก ทำได้อย่างมาก 1 – 2 ครั้งต่อ 2 สัปดาห์ แต่ถ้าพ่อแม่ไปเรียนรู้วิธีการฝึกฝน และนำกลับมาฝึกสอนลูก จะทำให้ความสามารถในการพูด มองหน้า สบตากัน ดีขึ้น พาไปตรวจเช็คความคืบหน้าของความสามารถเด็กอย่างน้อยทุก 3 เดือน

แหล่งอ้างอิง
[1] พ.ญ.พิกุล อาศิรเวช เปลี่ยนลูกถนัดซ้ายให้ถนัดขวาทำให้ติดอ่างจริงหรือ…
[2] พ.ญ. วินัดดา ปิยะศิลป์ สารพันปัญหาเด็ก..ตอน..พูดช้า

เม.ย. 17

น้องต้าเริ่มเดินทางเมื่อน้องต้าอายุประมาณ 9 เดือน โดยเดินทางไปที่กรุงเทพพร้อมครอบครัว เพราะคุณแม่ต้องไปนำเสนอบทความวิจัยในเดือนมีนาคม 2552 จากนั้นน้องต้าก็เดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกเมื่อน้องต้าอายุ 10 เดือน น้องต้าเดินทางไปลาวในเดือนเมษายน 2552 เพราะคุณแม่ต้องไปอบรมให้กับบุคลากรของการไฟฟ้าลาวเกี่ยวกับการออกแบบฐานข้อมูล จากนั้นน้องต้าก็เดินทางไปภูเก็ตในเดือนพฤษภาคม 2552 เพราะคุณแม่ไปนำเสนอบทความวิจัยที่นั้น จากนั้นน้องต้าก็เดินทางไปเกาหลีในเดือนกรกฎาคม 2552 เพราะคุณแม่ไปนำเสนอบทความวิจัยที่นั้นอีกเช่นกัน ต่อมาน้องต้าก็ไปสุรินทร์ในเดือนตุลาคม 2552 เพื่อเยี่ยมญาติ จากนั้นน้องต้าก็ไปเชียงใหม่ในเดือนพฤศจิกายน 2552 เพราะคุณแม่ไปงานแต่งงานเพื่อนที่นั้น  ในสิ้นปี 2552 น้องต้าก็ไปที่ดูไบเพราะคุณพ่อไปนำเสนอบทความวิจัยที่นั้น  ว่างเว้นเพืยงแค่ 2 เดือน น้องต้าก็ลุยต่อในเดือนมีนาคม 2553 น้องต้าไปเชียงใหม่ เชียงรายเพื่อจะไปไหว้เช้งเม้งและเยี่ยมญาติ  ล่าสุดในเดือนเมษายน 2553  น้องต้าไปสงกรานต์ที่บ้านคุณปู่คุณย่าที่สุรินทร์  ครั้งล่าสุดนี้เป็นครั้งแรกที่อาม่าน้องต้าไม่ได้ไปด้วย เพราะอาม่าแก่แล้ว สุขภาพไม่ค่อยดี ไม่อยากเดินทาง  และน้องต้าก็โตพอสมควรแล้วด้วย นอกจากนี้ก็มีป้าและลูกของป้าน้องต้า (เจ้หญิง๗) ช่วยดูแลอาม่าที่บ้านด้วย  คุณแม่น้องต้าจึงได้รู้ซึ้งถึงความโชคดีที่มีอาม่าคอยช่วยเลี้ยงน้องต้า เพราะคุณแม่น้องต้าต้องตามป้อนข้าวน้องต้าเองทุกมื้อ

น้องต้าชอบเที่ยว ชอบดูนั้นดูนี้  งอแงน้อยลงเมื่อโตขึ้นตอนอยู่ในรถ ตอนขากลับมาจากสุรินทร์มาขอนแก่น บอกให้นอนก็นอน :) คุณแม่ได้งีบพักเอาแรงบ้าง ไปเชียงใหม่มาก็ทำให้น้องต้าพูดจ้ะเอ๋เป็นเพราะคุณลุงเขยน้องต้าพูดเก่ง เล่นกับเด็กเก่ง ตอนนี้น้องต้าก็ทำอะไรได้เองหลายอย่างแล้ว เช่น แกะเมล็ดองุ่นออกเองเป็น  เปิดปิดขวดน้ำดื่มเองเป็น  เดินขึ้นบันได้โดยเกาะราวเองเป็น น้องต้าชอบเดินขึ้นรถบันไดและเนินหลายรอบ อย่างวันนี้แวะสวนสาธารณะบึงพลาญชัยที่ร้อยเอ็ด น้องต้าก็เดินขึ้นลงเนิน 5 รอบ เดินขึ้นลงบันได 4 รอบ ตอนนี้ก็ได้แต่ลุ้นและพยายามฝึกให้น้องต้าพูดได้หลายคำมากขึ้น น้องต้าพูดได้บางพยัญชนะ เช่น ป บ น  และ จ  เช่น ปู่ แนน้ (นมในภาษาจีน) บู่ จ้ะ ปี จ้ะเอ๋

ต้ากับพ่อแม่ที่หน้าพิพิธภัณฑ์เล่นได้ที่เชียงราย
ดูปลาขาวที่วัดร่องข่นไปแลบลิ้นไป

ต้าทำตาหวานบนหน้าตักของน้า

สรุปประเทศที่น้องต้าไปมา: เวียงจันทน์ ลาว, โซล และเชจู เกาหลี, ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์

จังหวัดที่น้องต้าไปมาและแวะเที่ยวหรือพัก: เชียงใหม่, เชียงราย, สุรินทร์, ร้อยเอ็ด, ภูเก็ต, กรุงเทพ